ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 301-4 บทสุดท้ายของจูเยี่ยน
“พระชายา ระวังขอรับ!” เฟิ่งจือเหยาที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขปรายตามองเห็นแสงสีเงินวาบขึ้นทันใด จึงรีบแผดเสียงเตือน อีกด้านหนึ่ง ทหารองครักษ์ของจูหลิงคนหนึ่งเห็นว่าเยี่ยหลีกระทำโดยไม่เลือกวิธีต่อจูหลิง นัยน์ตาก็ส่องประกายอำมหิต และวินาทีที่เยี่ยหลีกับจูหลิงแยกออกจากกัน อาวุธลับแสงสีเงินนั้นก็พุ่งออกไป
ขณะที่ได้ยินเสียงเตือนของเฟิ่งจือเหยา เยี่ยหลีก็ได้ยินเสียงของอาวุธลับดังขึ้นจากด้านหลังเช่นกัน จึงตวัดกริชไปด้านหลังเพื่อป้องกันอาวุธลับนั่นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไป แต่กลับเห็นจูหลิงที่อยู่ไม่ไกลลอยตัวพุ่งเข้ามาทันที เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่จะตั้งท่ารับด้วยฝ่ามือ กลับเห็นว่าจูหลิงใช้มือผลักตัวเอง ทำให้อาวุธลับนั่นพุ่งเข้าที่อกของจูหลิงโดยง่ายดาย
“คุณชาย!” ทหารองครักษ์แผดเสียงร้อง ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ศรธนูยาวของทหารตระกูลม่อก็ได้ทะลวงเข้าที่อกของพวกเขาแล้ว
เยี่ยหลีทรงตัวให้ยืนนิ่ง หันไปมองบุรุษรูปงามเผยใบหน้าที่ตื่นตระหนก เฟิ่งจือเหยาเห็นพระชายาไม่เป็นอะไร จึงถอนหายใจโล่งอกแล้วรีบนำคนเข้ามาตรวจสอบผู้คนกลุ่มนั้นว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้อาวุธลับโผล่ขึ้นฉับพลันเช่นนั้นอีก
อาวุธลับนั่นเป็นลูกดอกกิ่งหลิวกิ่งหลิวที่พบเจอได้ทั่วไป ลูกดอกทั้งเล่มปักเข้าไปในอกของจูหลิง เหลือแต่เพียงหัวลูกดอกสีฟ้าเข้มส่องประกายวาวออกมาด้านนอก สีหน้าของเฟิ่งจือเหยาเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเอ่ย “ลูกดอกอาบยาพิษ” หลินหันมองจูหลิงที่ล้มนอนบนพื้น และพูดเสียงเรียบ “ต่อให้เขาไม่กันเอาไว้ ลูกดอกก็ยิงไม่โดนพระชายาหรอก” แต่เดิมกริชบนมือของเยี่ยหลีก็สามารถปัดลูกดอกที่ลอยมานี้ร่วงตกลงไปได้ แต่กลับถูกจูหลิงเข้ามารับไว้ก่อน
ชายหนุ่มที่สง่างามขยับริมฝีปากยิ้มอย่างลำบากก่อนจะพูด “ข้าแพ้แล้ว…ชีวิตนี้ของข้า ไม่นึกว่าจะเป็นเช่นนี้…”
เยี่ยหลีพูดอย่างสงบนิ่ง “ชนะหรือแพ้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของทหาร มีแต่ผู้มีชีวิตรอดเท่านั้นถึงจะสามารถพลิกเกมได้ หากตายก็เท่ากับไม่เหลืออะไรอีกแล้ว” จูหลิงอึ้ง แล้วส่ายหน้ายิ้มให้นางทันที “มาพูดในตอนนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย…ไม่คิดว่าตัวเองจะพ่ายแพ้เช่นนี้…เหมือนกับที่ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเจ้าจะเป็น…จะเป็นพระชายาติ้งอ๋อง…”
เยี่ยหลีเงียบ จูหลิงยิ้มบางๆ “เจ้าไม่ต้อง…ไม่ต้องรู้สึกผิด ข้าเหนื่อยแล้ว…เหนื่อยแล้ว…” ชัดเจนว่าพิษของลูกดอกกิ่งหลิวไม่ใช่พิษอ่อนๆ ธรรมดาแต่อย่างใด ภายในเวลาไม่นานริมฝีปากของจูหลิงก็มีเลือดดำไหลซึมออกมา และดวงตาก็ปิดลงอย่างช้าๆ
เยี่ยหลีมองดูภาพของศพท่ามกลางป่าเบื้องหน้า มองดูชายหนุ่มสวมชุดขาวนวลจันทร์ที่เปื้อนด้วยรอยเลือดทั้งกาย และหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างสงบ ก็พลันรู้สึกเย็นวาบเข้ากระดูก จนอดไม่ได้ที่จะกอดแขนตัวเองไว้
“พระชายา เดิมทีเขาก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้ว มิใช่ความผิดของท่านเลย” หลินหันพูดเสียงต่ำ แม้ว่าจูหลิงจะไม่บังลูกดอก พระชายาก็จะไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน พวกเขายืนไกลขนาดนั้นยังเห็นได้ชัด จูหลิงที่อยู่ด้านข้างจึงย่อมต้องมองออก ตั้งแต่ตอนที่เขาดึงดาบขอต่อสู้ ก็ได้เตรียมใจยอมรับความตายไว้แล้ว ชายหนุ่มผู้หยิ่งยโสเช่นนี้กลับต้องลิ้มลองกับความพ่ายแพ้อันหดหู่ขนาดนี้ตั้งแต่การรบครั้งแรกของชีวิต เขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก
“ข้ารู้” เยี่ยหลีพยักหน้าพลางพูด “เก็บกวาดสนามรบ กลับไปเสริมกำลังแม่ทัพจาง!”
“ขอรับพระชายา” เฟิ่งจือเหยารับคำ
ในเมืองเล็กที่ไกลออกไปหลายสิบกว่าลี้ จูเยี่ยนที่ไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสงบกลางดึก ยืนอยู่บนกำแพงเมืองทอดสายตามองออกไปไกล ทันใดนั้นในใจของเขาพลันเกิดความรู้สึกหวาดหวั่นอย่างชอบกล ขณะเหม่อมองไปทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ มุมปากก็สั่นระรัว และหยดน้ำตาทั้งสองข้างค่อยๆ ไหลรินลงบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น
“หลิงเอ๋อร์…”
ทหารรักษาการณ์ในเมืองเล็กของซีหลิงบุกโจมตีกะทันหันในช่วงเวลายามสี่[1] แม้ว่าทหารตระกูลม่อชั้นผู้ใหญ่และผู้น้อยล้วนเตรียมการเฝ้าระวังเอาไว้แล้ว แต่ว่ายามสี่เป็นเวลาที่พวกแม่ทัพส่วนใหญ่รู้สึกง่วงหงาวหาวนอนพอดี แล้วเกิดการบุกโจมตีฉับพลันขึ้นมา จึงทำให้ทหารตระกูลม่อเกิดความสับสนวุ่นวายเล็กน้อย ทว่า อย่างไรก็เป็นทหารฉกาจที่ผ่านมาแล้วร้อยศึก ทหารตระกูลม่อก็ได้โต้ตอบอย่างรวดเร็ว และเริ่มฆ่าฟันกับกองทัพใหญ่ซีหลิงของจูเยี่ยนขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจูเยี่ยนถึงได้ให้ทหารออกมาบุกจู่โจมกะทันหันเล่า” ด้านหลังกองทัพใหญ่ จางฉี่หลานจ้องสนามรบที่อยู่ตรงหน้าและถามเสียงขรึม เขาขี่ม้าศึกมาครึ่งชีวิตย่อมดูออกว่าบรรยากาศทหารรักษาการณ์ของซีหลิงตรงหน้าเหล่านี้ไม่เหมือนกับก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง และรู้สึกได้ชัดถึงความรู้สึกยอมจำนนต่อความตาย พร้อมกับอยากจะพาทหารตระกูลม่อให้ลงไปตายด้วย เมื่อเงยหน้ามองเงาร่างซูบชราที่ยืนนิ่งตรงอยู่บนกำแพงเมืองไกลๆ จางฉี่หลานก็มักจะรู้สึกว่ามีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้เกิดขึ้นอยู่ตลอด ดูจากความสามารถและประสบการณ์ของจูเยี่ยน เขาจะไม่ตัดสินใจบุกโจมตีอย่างบุ่มบ่ามเช่นนี้อย่างแน่นอน
ฉินเฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับมีสีหน้าปกติ และพูดอย่างเรียบเฉย “ทางฝั่งพระชายาน่าจะทำสำเร็จแล้ว แต่ว่า…พวกเรายังไม่ได้รับข่าวสารเลย เหตุใดจูเยี่ยนถึงได้ข่าวสารแล้วล่ะ”
“สำเร็จหรือ” จางฉี่หลานหันกายกลับไปคว้าคอเสื้อของฉินเฟิง “เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเสียที ตกลงว่าพระชายาไปทำอะไรกันแน่” ฉินเฟิงปัดมือที่คว้าคอเสื้อของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน “พระชายาไปตรวจสอบสถานที่ที่พวกทหารหลายแสนคนของจูหลิงอยู่ แล้วก็…ที่แห่งนั้นน่าจะมีเสบียงอีกจำนวนมากอะไรทำนองนั้น เช่นนี้ พวกเราก็ไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องเสบียงกับความต้องการของทหารไปพักหนึ่งแล้ว”
“ว่าอย่างไรนะ” จางฉี่หลานตื่นตระหนก “พระชายาไป…” ฉินเฟิงยิ้มพลางพูด “มิเช่นนั้นท่านแม่ทัพคิดว่าพวกเราเฝ้าอยู่ที่เมืองซ่อมซ่อเช่นนี้หลายวันเพื่ออะไรกันเล่า ถ้าหากพวกเขาซ่อนอยู่ในเขาลึกไม่ยอมออกมา พวกเราก็ต้องส่งกองทัพใหญ่จำนวนสามสี่แสนนายเข้าไป จะทำอะไรพวกเขาได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าพวกเขาออกกันมาแล้วหรือ พอพวกเขาออกมา พวกเราก็สามารถใช้โอกาสนี้ยึดที่นี่ได้ แล้วก็ กองทัพของศัตรูจำนวนหนึ่งแสนนายที่กลับไปเมื่อคืนก่อนน่าจะไม่เหลือแล้ว ไม่อย่างนั้นจูเยี่ยนคงไม่บ้าคลั่งได้ขนาดนี้”
จางฉี่หลานสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกว่าตัวเองเกือบตกใจเพราะข่าวที่รับรู้กะทันหันนี้จนพรากชีวิตเขาไปแล้ว แต่ว่านี่…อย่างไรก็ถือว่าเป็นข่าวดีไม่ใช่หรือ แม้ว่าจูเยี่ยนจะบ้าคลั่ง แต่การต่อสู้ในช่วงเวลาที่ท้องฟ้ามืดมิดไร้แสงไฟเช่นนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัว กำลังทหารของทั้งสองฝั่งไม่ต่างกันเท่าไร สุดท้ายแล้วใครชนะใครแพ้ก็พูดยากอยู่ดี
ขณะที่ทหารสองฝ่ายสู้รบกันอย่างวุ่นวาย ก็มีเสียงดังสนั่นมาจากที่ไกลๆ ทหารตระกูลม่อที่คุ้นเคยกับพวกเขาล้วนเผยสีหน้าแห่งความยินดี
“นั่นหน่วยอัศวินเมฆาดำ! หน่วยอัศวินเมฆาดำมาแล้ว!” ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ทหารขี่ม้าสีดำตะบึงมาถึงราวกับพายุ และบุกเข้ามากลางสนามรบอย่างว่องไวปานสายลม ไม่นาน สนามรบที่แต่เดิมมีกำลังทหารเท่าเทียม ก็ปรากฏว่ามีฝั่งหนึ่งได้เปรียบขึ้นมา ที่ด้านหลังของกองอัศวินเมฆาดำ เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาขี่ม้าตัวเก่งตะบึงลงตามกันมา แล้วเข้าไปรวมกับค่ายทหารตระกูลม่ออย่างรวดเร็ว
มองเห็นเยี่ยหลีกลับมาแต่ไกล จางฉี่หลานก็รีบพาคนเข้าไปต้อนรับ “พระชายา!”
เยี่ยหลีกวาดสายตามองดูสนามรบตรงหน้า เหลือบเห็นเงาร่างแก่ชราและโดดเดี่ยวบนกำแพงเมือง จึงชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้น “แม่ทัพจางไม่ต้องพิธีรีตองหรอก สถานการณ์การรบเป็นอย่างไรบ้าง” จางฉี่หลานยิ้มพูด “พระชายาวางใจเถิด ถ้ามีหน่วยอัศวินเมฆาดำเข้าร่วม ก็สามารถกำจัดทหารรักษาการณ์ของซีหลิงได้อย่างสิ้นซากก่อนฟ้าสว่างแน่นอน” เห็นเยี่ยหลีกลับมาด้วยตาตัวเอง ครานี้จางฉี่หลานถึงวางใจลงทั้งหมดได้ หลายวันก่อน ชายาพร้อมกับฉินเฟิงและคนอื่นๆ มาบอกว่า ท่านอ๋องสั่งพวกนางให้มาช่วยป้องกันเมืองด้วยกัน ทว่า หลังจากที่พระชายามาครั้งนั้นแล้วก็ไม่เห็นเงาอีกเลย จนกระทั่งเมื่อครู่ถึงจะรู้ว่าพระชายาไปทำอะไร จึงทำให้เขาได้แต่หวาดผวาจนหัวใจเต้นระรัวจนถึงตอนนี้ ก็ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพระชายาแล้ว พวกเขาจะรับมือกับท่านอ๋องอย่างไรกันเล่า
[1] ยามสี่ หมายถึงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม