ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 304-3 จุดไฟเผาตัวเองและแม่ทัพชื่อดังที่ไม่คุ้นหน้า
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วยิ้มพลางเอ่ย “เฉินซิ่วฟูหรืออาจารย์ซิ่วถิง เจ้าสำนักหลงซาน”
เมื่อได้ยินดังนั้น ไม่เพียงแค่เยี่ยหลีที่ผงะ แม้แต่หลงหยางก็ตกใจเช่นกัน แม้ชื่อเสียงของอาจารย์ซิ่วถิงจะไม่โด่งไปทั่วทุกแว่นแคว้นดั่งอาจารย์ชิงอวิ๋นและตระกูลสวี แต่อย่างไรก็ดีนนไม่ได้หมายความว่าความปราดเปรื่องของอาจารย์ซิ่วถิงจะยิ่งหย่อนไปกว่าอาจารย์ชิงอวิ๋น แต่เมื่อเทียบกับต้าฉู่แล้ว ซีหลิงให้ความสำคัญกับการต่อสู้มากกว่าการเรียนหนังสือมาแต่ไหนแต่ไร ปัญญาชนจึงไม่มีมากเท่าต้าฉู่ สถานะของปัญญาชนโดยเนื้อแท้ไม่ได้สูงส่งดั่งต้าฉู่ และอาจารย์ซิ่วถิงคนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชสำนักเลย เขามุ่งมั่นไปที่การสอนและการให้ความรู้กับผู้คน มองแค่ว่าเขาสามารถทำให้ซีหลิงที่ในสายตาของคนจงหยวนเป็นแคว้นของคนหยาบป่าเถื่อนไม่ต่างอะไรกับหนานจ้าวและเป่ยหรง มีสำนักหลงซานที่แทรกตัวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งยุคได้ ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นถึงความสามารถและความรู้ของท่านอาจารย์ซิ่วถิงได้แล้ว อีกทั้งสำนักหลงซานนั้นต่างกับสำนักหลีซานที่สืบทอดกันมาเป็นเวลานาน สำนักหลงซานมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ก็ด้วยน้ำพักน้ำแรงของท่านอาจารย์ซิ่วถิงเอง
“เหตุใดอาจารย์ท่านนี้ถึงยังอยู่ที่เมืองเปี้ยน ตอนนี้ก็ยังอยู่หรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ม่อซิวเหยาพยักหน้ายิ้มพลางเอ่ย “แน่นอน” ต่อให้เขาอยากฆ่าคนในเมืองเปี้ยนให้สิ้นซากเพียงใด ทว่าเขายังสติดีอยู่ คนประเภทใดที่ฆ่าไม่ได้และปล่อยไปไม่ได้เขาย่อมรู้ดี และในเมืองเปี้ยนแห่งนี้ คนที่มีคุณค่าเช่นนี้ก็มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น ม่อซิวเหยาสั่งให้หน่วยกิเลนไปควบคุมตัวพวกเขาตั้งแต่ก่อนที่จะตีเมืองเปี้ยนแตกแล้ว ต่อให้คิดจะหนีไปก่อนก็หนีไม่ได้อยู่ดี “พวกเราไปเยี่ยมเขาตอนนี้เลยดีหรือไม่” ม่อซิวเหยาถามเบาๆ “ได้ยินมาว่าอาจารย์ท่านนี้โวยวายเก่งใช้ได้”
เยี่ยหลีลุกขึ้นตาม พวกเขาอยู่ในเมืองเปี้ยนไม่นาน ย่อมต้องรีบหาเวลาไปดูอยู่แล้ว
ม่อซิวเหยาปล่อยมือเยี่ยหลี ยิ้มพลางเอ่ย “ข้ามีบางอย่างอยากจะคุยกับแม่ทัพหลงหยาง อาหลีลงไปรอข้าด้านล่างก่อนดีหรือไม่”
เยี่ยหลีเหลือบมองหลงหยางที่นั่งอยู่หน้าหน้าต่างแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไปรอเจ้าข้างล่างนะ”
จนกระทั่งเสียงฝีเท้าก้าวสุดท้ายเงียบหายไป ม่อซิวเหยาจึงหันหน้าไปทางหลงหยางที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เคยอยู่บนใบหน้าหายไปอย่างไร้ร่องรอยนานแล้ว นัยน์ตามืดมนเสมือนมีดแหลมคมและวิญญาณที่ดุร้าย “หากข้าได้ยินว่าเจ้าพูดจาไร้สาระกับอาหลีอีก ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจไม่รู้ลืม!”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าหลงหยางพูดอะไรกับอาหลี แต่ตอนที่เขาเพิ่งขึ้นมา อาหลีมองตนด้วยสายตาแห่งความกังวลแวบหนึ่ง ทว่าไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของม่อซิวเหยาไปได้ ต้องเป็นเพราะหลงหยางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดกับอาหลีเป็นแน่ ถึงทำให้อาหลีเป็นห่วงเขาขึ้นมาเช่นนี้
หลงหยางมองเขาอย่างสงบนิ่ง ไร้ซึ่งความเจ็บปวดรวดร้าวและความโกรธแค้นแทบขาดใจดั่งเช่นเมื่อวาน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “การได้มีพระชายาเช่นนี้ ถือเป็นความโชคดีของติ้งอ๋อง”
ม่อซิวเหยาส่งเสียง เฮอะ ด้วยความเย็นชา นัยน์ตาดุร้ายจ้องมองไปยังเขา หลงหยางส่ายหัวพลางยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “ท่านอ๋องไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะพูดอะไรกับพระชายาได้ ก็แค่คุยกันไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น อีกทั้ง…ต่อไปก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมิใช่หรือ…” เอ่ยถึงตรงนี้ หลงหยางพลันถอนหายใจอย่างเศร้าโศก
ม่อซิวเหยาจับจ้องหลงหยางอย่างครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะเสียงต่ำออกมา “หลงหยาง ไม่ต้องหวังว่าเหลยเจิ้นถิงจะกลับมาได้หรอก ต่อให้กลับมา เขาก็ช่วยอะไรซีหลิงไม่ได้ ข้าให้ทหารสี่แสนนายคอยเขาอยู่ที่ชายแดนแล้ว ทั้งยังมีทหารมือดีจากหนานจ้าวอีกหลายแสน เจ้าลองเดาดูเอาเถิดว่า ทหารที่รักษาการณ์อยู่แต่ละที่จะมีเวลาว่างมาเสริมกำลังไหม แล้วก็พวกแคว้นเล็กๆ ที่เจ้าไปกดขี่ไว้ในตอนนั้นอีก เจ้าลองเดาดูว่าพวกเขาจะใช้โอกาสนี้แก้แค้นหรือไม่ ซีหลิงน่ะ…ไม่รอดแล้ว!”
หลงหยางผงะไป ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงเรียกสติกลับมาได้ เขายิ้มหัวเราะอย่างจนปัญญาออกมาในที่สุด แต่เสียงหัวเราะเขากลับฟังดูอ้างว้างและห่อเหี่ยวเสียเหลือเกิน “สมกับเป็นติ้งอ๋อง วางแผนมาหลายปี…แค่ไม่ลงมือเท่านั้น ทว่าเมื่อได้ลงมือแล้วก็ไม่เหมือนกับคนทั่วไป ช่างเถิด…ข้าแก่แล้ว ถึงเวลาควรตายได้แล้ว เรื่องในอนาคต…ข้าคงเข้าไปยุ่งไม่ไหว…ติ้งอ๋อง เชิญเถิด…”
ด้านนอกประตูชั้นล่าง เยี่ยหลีพอเห็นม่อซิวเหยาเดินออกมาก็ยิ้มต้อนรับ ม่อซิวเหยาสอดมือไปโอบเอวบางของนาง ก่อนจะกระซิบ “เราจะไปเยี่ยมอาจารย์ซิ่วถิงตอนนี้เลยหรือ” เยี่ยหลีกะพริบตาแล้วถามอย่างกังวลใจ “อาจารย์ซิ่วถิงจะไม่ขับไล่พวกเราออกมาใช่ไหม” ปัญญาชนมักมีความเย่อหยิ่ง การกระทำของม่อซิวเหยาในเมืองเปี้ยน อย่าว่าแต่ขับไล่พวกเขาออกมาเลย เกรงว่าต่อให้อาจารย์ซิ่วถิงถือมีดวิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา เยี่ยหลีก็ไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
ม่อซิวเหยาส่งเสียง เฮอะ โอบเยี่ยหลีให้เดินไปข้างหน้า “ใครจะกล้า”
เยี่ยหลีหันไปมองด้านหลังทีหนึ่ง มองอาคารหลังเล็กๆ ที่ยังคงเปิดหน้าต่างไว้ ก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าพูดอะไรกับหลงหยางหรือ แล้วคิดจะจัดการเขาอย่างไร”
นัยน์ตาม่อซิวเหยาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเย็น “บอกเขาว่าต่อไปอย่ามาพูดจาเหลวไหลกับอาหลีอีกน่ะสิ อาหลีไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
เยี่ยหลีผงะ ยื่นมือไปกุมมือที่อยู่บนเอวของตน ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้เป็นห่วง ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะอยู่ด้วยกัน” สีหน้าม่อซิวเหยาพลันอ่อนลง รอยยิ้มบนใบหน้าอ่อนโยนมากขึ้น “อาหลีไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่อยากคิดอะไรมากกับตาแก่ใกล้ตายอย่างนี้ ขอแค่เขาไม่ก่อเรื่องอะไร ข้าไม่สนใจเขาก็สิ้นเรื่อง”
เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “ในสายตาของข้า เขาจะสำคัญกว่าเจ้าได้อย่างไร ซิวเหยา ข้าไม่สนใจหรอกว่าเจ้าจะจัดการเขาอย่างไร” ในฐานะทหาร หัวใจที่จงรักภักดีต่อแว่นแคว้นของหลงหยาง ทำให้นางรู้สึกเลื่อมใส ทว่าหลงหยางติดหนี้ชีวิตผู้คนมานับไม่ถ้วน บวกกับการกระทำในเมืองเปี้ยนครานี้ ต่อให้ม่อซิวเหยาจะประหารชีวิตเขา นางก็จะไม่ว่าอะไร การสูญเสียแม่ทัพเลื่องชื่อคนหนึ่ง ย่อมทำให้ผู้คนเสียดาย ทว่าหลงหยางก็ไม่ถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ทั้งสองเดินไกลออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีทหารวิ่งตามมาด้านหลัง หอบหายใจพลางเอ่ย “ท่านอ๋อง พระชายา หลงหยางจุดไฟเผาตัวเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีตกตะลึง “เกิดอะไรขึ้น” นางหันกลับไป จุดที่พวกเขาอยู่ไม่เห็นอาคารหลังเล็กที่ขังหลงหยางไว้แล้ว แต่เมื่อมองไปยังทิศทางนั้นกลับยังเห็นควันเพลิงขมุกขมัวได้อยู่
นายทหารชะงัก ก่อนจะเอ่ย “แม่ทัพหลงหยางราดสุราลงบนร่างตัวเองแล้วจุดไฟเผาขอรับ”