ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 305-1 โน้มน้าวใจอาจารย์ซิ่วถิง
พอได้ยินที่ทหารรายงาน เยี่ยหลีตกตะลึงไปครู่ใหญ่ จนกระทั่งม่อซิวเหยายกมือขึ้นมาแตะ นางถึงได้สติกลับมา
“อาหลี…” ม่อซิวเหยาก้มหน้ามองภรรยาผู้สงบเงียบในอ้อมกอดนิ่งๆ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ หลังจากจูเยี่ยนตาย ก็มีแม่ทัพผู้เฒ่ามาปลิดชีพต่อหน้านางอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะพูดจากเหตุและผลหรือความรู้สึก นางล้วนเข้าใจสิ่งที่พวกเขาเลือก เพราะหากเป็นนาง นางจะไม่ยอมจำนนต่อศัตรู แม่ทัพผู้เฒ่าทั้งสองจงรักภักดีต่อซีหลิงมาทั้งชีวิต การตายสามารถล้างมลทินได้ทั้งหมด ต่อให้เป็นศัตรูก็ยังยกย่องในศักดิ์ศรีนี้ แต่เยี่ยหลีกลับเริ่มรู้สึกว่านางรับไม่ไหวแล้ว บางทีสองสามวันนี้คงเห็นคนตายมามากเกินไปกระมัง
“อาหลี เจ้าเป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ม่อซิวเหยาพยุงนาง เอ่ยถามอย่างห่วงใย “พวกเรากลับกันก่อนเถิด เรื่องอื่นค่อยว่ากันใหม่พรุ่งนี้” เยี่ยหลีจับแขนเขาไว้พลางส่ายหน้า ก่อนจะเผยยิ้มบางๆ เพื่อปลอบโยน “ข้าไม่เป็นอะไร พวกเรามีเวลาอยู่ที่เมืองเปี้ยนไม่มากพอ ถ่ายทอดคำสั่งออกไป ฝังศพแม่ทัพหลงหยางด้วยเกียรติของแม่ทัพใหญ่เถิด ฝัง…ที่เดียวกับแม่ทัพจูเยี่ยนก็แล้วกัน”
ม่อซิวเหยาพยักหน้า ก่อนจะสั่ง “ทำตามที่พระชายาบอก ไปเถิด”
ทหารรับคำสั่งแล้วจากไป ม่อซิวเหยาโบกมือให้คนที่เดินตามอยู่ด้านหลังหลบออกไป ก่อนจะจูงมือเยี่ยหลี อีกมือหนึ่งโอบเอวนางค่อยๆ เดินไปข้างหน้า พลางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “หลงหยางและจูเยี่ยนตายเสียแล้ว อาหลีเสียใจมากหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ก่อนจะเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร อาจเป็นเพราะอายุของแม่ทัพผู้เฒ่าทั้งสองมากเกินไปกระมัง ทั้งสองล้วนเป็นชายชราที่อายุเกินวัยไม้ใกล้ฝั่งแล้ว แต่กลับ…ยากนักที่จะไม่หดหู่” ม่อซิวเหยาเอ่ยเบาๆ “หากอาหลีเสียใจ ต่อไปก็อยู่แต่ในกองทัพเถิด ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว”
เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “ท่านอ๋องคิดว่าข้าเป็นดอกไม้ที่ต้องลมไม่ได้เลยหรือ ก็แค่ความหดหู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะไม่ว่าอย่างไร…แม่ทัพชราทั้งสองต่างก็จงรักภักดีต่อแว่นแคว้นจนถึงที่สุด แต่ตอนนี้ได้ตายจากไปแล้ว…” ม่อซิวเหยาเอ่ย “หรือจะให้ข้าคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายอย่างนั้นหรือ อาหลีบอกว่าให้จัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ ข้าก็ทำตามที่สั่งแล้ว อาหลี อย่าเสียใจเพราะคนอื่นเลย ได้ไหม”
เมื่อได้ยินเสียงกลัดกลุ้มของม่อซิวเหยา เยี่ยหลีจึงเงยหน้าไปมองเขา พอเห็นสายตาเขากำลังจับจ้องมาที่ตน จึงอดยิ้มไม่ได้ นางยกมือขึ้นลูบหัวคิ้วที่กำลังขมวดเป็นปมเล็กๆ พลางเอ่ย “บนโลกนี้ มีเพียงตัวน้อยแล้วก็ท่านตา ท่านลุงเท่านั้นที่เป็นคนสำคัญสำหรับข้า นอกจากพวกเจ้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดทำให้ข้าเสียใจจริงๆ ได้อีก ดังนั้น ม่อซิวเหยาจะต้องไม่เป็นอะไร…”
“ข้าย่อมไม่เป็นอะไรแน่ แล้วยังตัวน้อยอีก…ข้าจะปกป้องคนที่อาหลีรักทั้งหมดให้ดี จะไม่ทำให้อาหลีเสียใจแน่นอน ดังนั้น…อาหลี อย่าไปสนใจคนที่ไม่เกี่ยวข้องเลยได้หรือไม่” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงทุ้ม เยี่ยหลีกะพริบตา เลิกคิ้วพลางมองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าจริงจัง “คนที่ไม่เกี่ยวข้องหรือ”
“อาหลีไม่ได้เสียใจเพราะการตายของจูหลิงหรอกหรือ” ม่อซิวเหยาถามเสียงต่ำ ทว่าเยี่ยหลีได้ยินเสียงกัดฟันกรอดยามที่เขาเอ่ยชื่อจูหลิงออกมา
“จูหลิงน่ะหรือ…” เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “เพียงแค่รู้สึกว่า…เขายังเด็กมาก อีกอย่างแผนของข้าคราวนี้ไม่ใสสะอาดนักเท่านั้นเอง” นางย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่เพียงเท่านี้ เยี่ยหลีไม่ใช่คนความรู้สึกช้า ใช่ว่านางจะไม่เข้าใจความรู้สึกของจูหลิง แต่กระนั้น หากไม่พูดถึงว่านี่เป็นเพียงการพบหน้าจูหลิงเป็นครั้งแรก ไม่พูดถึงว่าทั้งสองมีจุดยืนที่ตรงกันข้ามกัน ภายในใจของเยี่ยหลี ไม่มีชายคนใดสำคัญไปกว่าม่อซิวเหยาอีก ชะตาได้ลิขิตไว้แต่แรกแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ นางรู้สึกผิดต่อจูหลิง ไม่ใช่เพราะนางรู้สึกพิเศษอะไรกับจูหลิง แต่เพียงเพราะตนทรยศต่อความจริงใจของใครคนหนึ่งไปก็เท่านั้น แต่เรื่องอื่นๆ ที่เหลือนี้ก็ไม่จำเป็นต้องให้ม่อซิวเหยารับรู้ สามีภรรยา…จะมีคำโกหกด้วยเจตนาดีบ้าง ก็ไม่ถือว่าผิดไม่ใช่หรือ
“อาหลีไม่ได้ทำผิด หากเขาจับได้ เขาก็จะฆ่าอาหลี” ม่อซิวเหยากัดฟัน เอ่ย “ทว่า…ต่อไปอาหลีอย่าแอบทำเรื่องพวกนี้อีกเลย หากเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร หากจำเป็นต้องใช้หญิงสาวจริงๆ อย่างมากก็แค่ให้พวกฉินเฟิงฝึกปรือขึ้นมาสักสองสามคนก็พอแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เยี่ยหลีกรอกตามองบน ว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
เมื่อแน่ใจแล้วว่าเยี่ยหลีรับปากอย่างตั้งใจ ม่อซิวเหยาถึงได้พยักหน้าด้วยความพอใจ จูงมือเยี่ยหลีเดินต่อไปข้างหน้า
อาจารย์ซิ่วถิงอาศัยอยู่ทางตะวันออกของหลงซาน เนื่องจากสำนักหลงซานถูกปิดชั่วคราวโดยกองทัพตระกูลม่อ อาจารย์และลูกศิษย์บางคนที่ไม่มีเวลาหลบหนีจึงถูกจัดแจงให้พักอยู่ในสวนเล็กๆ ห่างจากสำนักหลงซานไปไม่ไกล แม้ว่ากองทัพตระกูลทั้งหมดต่างเป็นทหาร ทว่าพวกเขาต่างเลื่อมใสในปัญญาชน ในเมื่อม่อซิวเหยาไม่ได้ทำอะไรให้คนเหล่านี้ลำบาก ทหารที่ได้รับคำสั่งให้คุมคนเหล่านี้ไว้ ย่อมไม่ทำให้พวกเขาลำบากด้วยเช่นกัน
เมื่อมาถึงประตูสวน ก็บังเอิญได้พบคนคุ้นเคยโดยไม่คาดคิด “พี่สาม ไฉนท่านถึงมาอยู่ที่นี่ได้” คนที่เฝ้าอยู่ที่สวนเล็กๆ แห่งนี้เป็นสวีชิงเฟิงจริงๆ ด้วยฐานะผู้บัญชาการหน่วยย่อยของหน่วยกิเลนและความสัมพันธ์ของเขากับตระกูลสวีอีกทั้งความสัมพันธ์กับตำหนักติ้งอ๋อง การให้เขามาเฝ้าพื้นที่แห่งนี้ย่อมถือเป็นการใช้คนไม่ถูกงาน คนของกองทัพตระกูลม่อทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อยก็ไม่มีทางสั่งให้เขามาทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือสวีชิงเฟิงขอมาทำเอง
ครั้นสวีชิงเฟิงเห็นเยี่ยหลี กลับดีใจอย่างมาก ยิ้มพลางเอ่ย “สำนักหลงซานเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งใต้หล้ามิใช่หรือ ข้าก็…ได้ยินชื่อเสียงมานานก็เลยอยากมาเยี่ยมชมน่ะ” เยี่ยหลีส่ายหน้าเบาๆ พลางยิ้ม แต่ก็ไม่โต้แย้งอะไรเขา แม้สวีชิงเฟิงจะโตมากับตระกูลสวีและเล่าเรียนเขียนอ่านมากับสำนักหลีซานอยู่หลายปีเช่นเดียวกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ฝึกการต่อสู้มาแต่ไหนแต่ไร ที่ทนไม่ได้ที่สุดกคือการต้องนั่งอ่านหนังสือเขียนบทความหน้าโต๊ะเรียน แม้แต่การสอบขุนนางเขาก็ยังไม่เคยเข้าร่วม หากบอกว่าเขาได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์สำนักหลงซานมานานแล้วนึกสนใจอยากมาคารวะละก็ ให้เชื่อว่าพี่ใหญ่ของเขาจะแต่งงานในวันนี้พรุ่งนี้ยังจะดีเสียกว่า แต่พอลองคิดอีกที เยี่ยหลีก็เข้าใจความคิดของสวีชิงเฟิงแล้ว เขาย่อมไม่เห็นด้วยกับการที่ม่อซิวเหยาจะฆ่าเหล่าเชลยศึกพวกนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเกลี้ยกล่อมม่อซิวเหยาได้สำเร็จ ดังนั้นต่อให้ในใจจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้สวีชิงเฟิงจะไม่ชอบการเรียนหนังสือ ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เกิดมาในตระกูลสวี ความเลื่อมใสต่อปัญญาชนไมได้น้อยไปกว่าคนอื่นในตระกูลสวีเลย หากมีเขาเฝ้าอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครกล้ามารังควานแล้ว
“อาจารย์ซิ่วถิงยังสบายดีไหม” เยี่ยหลีถามพลางยิ้ม
สวีชิงเฟิงส่ายหัวอย่างจนปัญญา ชี้นิ้วไปด้านในเพื่อให้นางไปดูด้วยตนเอง เยี่ยหลีก็ไม่ถือ ดึงม่อซิวเหยาเดินเข้าไปด้านใน สวนแห่งนี้ไม่ใหญ่เท่าไรนัก เป็นสวนที่มีทางเข้าออกเพียงสองทางเท่านั้น การตกแต่งมีกลิ่นอายของต้าฉู่และเจียงหนาน ซึ่งมีความประณีตและงดงาม ไม่รู้เหมือนกันว่าสำนักหลงซานสร้างสวนเล็กๆ ที่อยู่โดดเดี่ยวเช่นนี้มาเพื่ออะไร ยังไม่ทันได้เดินเข้าไปในประตูใหญ่ ก็ได้ยินเสียงท่องหนังสือดังก้องกังวานมาจากด้านใน แต่เนื้อหาที่เปล่งออกมานั้นนั้นกลับทำให้คนที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก บทกวีทั้งหมดนี้เสียดสีกองทัพตระกูลม่อและติ้งอ๋องอย่างไม่ต้องสงสัย
เยี่ยหลีและม่อซิวเหยาแอบฟังอยู่หน้าประตูเงียบๆ ไม่เข้าไปรบกวน เห็นเพียงด้านหลังของใครคนนั้นที่นั่งหันหลังให้ประตู นั่งท่องบทแล้วบทเล่าไปเรื่อย สำหรับคนอย่างเยี่ยหลีที่ไม่ปรุโปร่งด้านโคลงกลอนแล้ว การที่เขาสามารถท่องบนกลอนหลายบทที่เมื่อเนื้อหาคล้ายคลึงกันออกมาโดยไม่ซ้ำบทได้ หากไม่ใช่เพราะสถานที่และเวลาไม่ถูกต้อง นางคงได้เทิดทูนเขาให้เป็นเทพไปแล้ว พอเขาท่องถึงท่านที่ว่า “ทะเยอทะยานหวังขึ้นสู่จักรพรรดิ เมืองเปี้ยนโลหิตไหลหลาก” เยี่ยหลีก็กระแอมหนึ่งที ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “อาจารย์ซิ่วถิงช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่งนัก”