ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 312-1 บุตรสาวคนโตแห่งตระกูลไป๋และเทศกาลในวันสารทฤดู
“อาหลี ยังไม่สบายอยู่หรือ…ข้าให้จั๋วจิ่งไปตามหมอมาจากนอกเมืองเพื่อมาดูอาการเจ้าแล้ว” เห็นสีหน้าของเยี่ยหลีห่อเหี่ยวกว่าเมื่อวาน ม่อซิวเหยาจึงร้อนใจดั่งไฟสุมทรวง ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด พลางประคองเอวนางอย่างระมัดระวัง เยี่ยหลียิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ไม่เป็นอะไรหรอก เมื่อวานเพียงแค่นอนไม่ค่อยหลับเท่านั้น”
“เพราะไม่มีข้าคอยดูแลใช่หรือไม่ อาหลีจึงนอนไม่ค่อยหลับ” เมื่อได้ยินดังนั้น ม่อซิวเหยาจึงรู้สึกภูมิใจเล็กน้อย และไม่สนใจความคิดของเยี่ยหลี ก่อนจะเอ่ยอย่างแน่วแน่ “คืนนี้ข้าไปอยู่ดูแลอาหลีจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาหลีจะนอนไม่หลับอีก ทุกวันนี้ไม่มีคนคอยดูแลข้างกายเจ้าด้วย ข้าเป็นห่วงไม่อยากให้อาหลีอยู่ตัวคนเดียว”
เยี่ยหลีถลึงตามองม่อซิวเหยาอย่างจนปัญญา ก่อนจะหันไปมองไป๋อวิ่นเฉิงและซุนฮูหยิน ไป๋อวิ่นเฉิงและซุนฮูหยินไม่ได้คิดอะไรพิเรนทร์ พวกเขาเพียงแค่คิดว่าเนื่องจากพระชายาป่วย กลัวว่าท่านอ๋องจะติดไข้ จึงแยกห้องกันนอน ในขณะเดียวกันก็รู้สึกตกใจที่ท่านอ๋องยอมทำงานของบ่าวเพื่อพระชายาด้วยความเต็มใจ เพียงแต่ไป๋อวิ่นเฉิงรู้สึกกังวล ส่วนซุนฮูหยินรู้สึกอิจฉา
“คารวะพระชายา” ทั้งสองคนลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยอย่างพร้อมเพียง
เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “หัวหน้าตระกูลไป๋ ซุนฮูหยินไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
ทั้งคู่ขอบคุณเยี่ยหลี เยี่ยหลีถึงเอ่ยขึ้น “ข้าให้คนเตรียมอาหารว่างไว้ข้างหน้า เชิญท่านทั้งสองย้ายไปนั่งตรงนั้นสักครู่จะดีกว่าหรือไม่” ทั้งสองคนผายมือให้ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเดินไปก่อนด้วยความนอบน้อม
อันที่จริงก็คือเดินอ้อมไปอีกที่หนึ่งเท่านั้น บนโต๊ะหินมีอาหารว่างวางไว้ตามคาด ทั้งแขกและเจ้าบ้านต่างนั่งลง ซุนฮูหยินมองเยี่ยหลี ก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง “สีหน้าของพระชายาไม่ดีนัก ไม่สบายหรือเพคะ”
แน่นอนว่าไป๋อวิ่นเฉิงไม่ยอมให้ซุนฮูหยินได้หน้าแต่เพียงผู้เดียว จึงยิ้มพลางเอ่ยตาม “จวนของข้าน้อยมีหมอฝีมือดีอยู่สองสามคน ให้เขามารักษาพระชายาดีหรือไม่”
เยี่ยหลียิ้มบาง เอ่ย “ขอบคุณทั้งสองท่านมาก น่าจะเป็นเพราะตอนมาถึงซีหลิงในช่วงแรกพักผ่อนไม่เพียงพอ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” นี่ไม่ใช่คำพูดหลบหลีกของเยี่ยหลี ร่างกายของนางแข็งแรงมาตลอด ยกเว้นตอนที่นางตั้งครรภ์และคลอดม่อตัวน้อย เพราะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเสิ่นหยางและหมอหลินจึงได้พยายามอย่างมากในการรักษาและฟื้นฟูร่างกายของนาง เพียงแค่ช่วงนี้นางรู้สึกเบื่ออย่างไม่มีเหตุผล ร่างกายไม่ได้มีอาการอะไรเลย เยี่ยหลีเชื่อมาตลอดว่าว่า ขึ้นชื่อว่าเป็นยาแล้ว ล้วนมีพิษอยู่สามส่วน หากไม่ป่วยจึงไม่เคยไปหาหมอ
ซุนฮูหยินเอ่ย “เมืองหลีห่างจากที่นี่มาก สภาพอากาศก็แตกต่างกัน พระชายาอาจจะยังไม่ชินก็เป็นได้ ในจวนของข้าน้อยมีผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร กลับไปจะสั่งให้คนนำอาหารมาส่งให้ท่าน พระชายาลองดูก่อนก็ได้” จากคำพูดของซุนฮูหยิน เยี่ยหลีไม่ได้ปฏิเสธอย่างถึงที่สุด ทำเพียงยิ้มขอบคุณ ไป๋อวิ่นเฉิงก็ยิ้มตาม พลางเอ่ย “พ่อครัวของข้าน้อยเชี่ยวชาญด้านอาหารของต้าฉู่มาก พระชายาคงไม่คุ้นชินกับอาหารของซีหลิง กลับไปข้าจะให้เขามาทำอาหารให้พระชายาที่นี่แล้วกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเสียหน่อย จะกล้าลำบากหัวหน้าตระกูลไป๋ได้อย่างไร” เยี่ยหลีเอ่ย
ไป๋อวิ่นเฉิงยิ้มพลางเอ่ย “มีโอกาสได้รับใช้พระชายา ถือเป็นบุญวาสนาของพวกข้าพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีไม่ใช่คนไม่รู้เรื่องรู้ราว นางรับความหวังดีของตระกูลซุนแล้ว ก็ไม่อาจปฏิเสธตระกูลไป๋ได้ ความเท่าเทียมไม่ใช่เรื่องจะทำตามอำเภอใจได้ จึงไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน นางพยักหน้าพลางเอ่ย “เช่นนั้นก็ขอบคุณหัวหน้าตระกูลไป๋มาก” ไป๋อวิ่นเฉิงกระวีกระวาดเอ่ยว่า ไม่บังอาจ
มือข้างหนึ่งของม่อซิวเหยาถือแก้วชา มืออีกข้างกลับกุมมือเยี่ยหลีอยู่บนโต๊ะ เขาขมวดคิ้วเนื่องจากสัมผัสได้ถึงความเย็นของมือนาง อาหลีร่างกายแข็งแรงมาตลอด ตอนนี้ร่างกายเย็นไม่ใช่เรื่องที่ดี ต้องบำรุงสักหน่อยแล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงมองหน้าไป๋และซุนด้วยสีหน้าที่อ่อนโยนขึ้นกว่าเดิม
ทั้งสี่คนดื่มชาพลางพูดคุยเรื่องสัพเพเหระไปตามมารยาทของเจ้าภาพและแขกผู้มาเยือน ถ้าไม่นับการต่อสู้อันคลุมเครือระหว่างไป๋อวิ่นเฉิงและซุนฮูหยิน อันที่จริงแทนที่จะบอกว่าเป็นการต่อสู้ เรียกว่าเป็นการที่ไป๋อวิ่นเฉิงพุ่งเป้าไปที่ซุนฮูหยินเพียงฝ่ายเดียวจะดีกว่า ส่วนซุนฮูหยินนั้นหมดสิ้นความสนใจต่อตัวไป๋อวิ่นเฉิงแล้ว
ซุนฮูหยินมองออก ไม่ว่าตอนนี้ไป๋อวิ่นเฉิงจะเอาใจใส่เพียงใด แต่ไม่ช้าก็เร็วตระกูลไป๋ย่อมต้องทำให้พระชายาขุ่นเคืองใจแน่นอน เรื่องนี้ตัดสินได้จากจุดเริ่มต้นของลักษณะครอบครัวของตระกูลไป๋ ในช่วงเริ่มต้นของการก่อตั้งซีหลิง ตระกูลไป๋เป็นตระกูลของนางสนม หากจะพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ไต่เต้าโดยการเกาะชายกระโปรงของผู้หญิงขึ้นมา ในอดีตที่ผ่านมา ตระกูลไป๋มีไม่กี่คนที่เป็นบุคคลคนที่มีความสามรถอันน่าทึ่ง ทว่าปัจจุบันตระกูลไป๋กลับมีมหาเสนาบดีถึงสองสามคนและขุนนางชั้นสูงจำนวนไม่น้อย ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของบุตรสาวตระกูลไป๋ในวังหลัง ดังนั้นแม้ว่าตระกูลไป๋จะเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในซีหลิงมาโดยตลอด แต่ตระกูลขุนนางที่มีความรู้ความสามารถก็แอบดูหมิ่นพวกเขาเช่นกัน
ตอนนี้ตระกูลไป๋ได้หันมาพึ่งพาตำหนักติ้งอ๋อง แต่ตระกูลไป๋รวมทั้งหัวหน้าตระกูลไป๋ต่างไม่ใช่อัจฉริยะที่มีความสามารถอะไรมาก มิฉะนั้นคงไม่ถูกเจิ้นหนานอ๋องปราบปรามมาเป็นเวลาหลายปีเช่นนี้ ทั้งๆ ที่ได้ตำแหน่งฮองเฮา ทว่ากลับไม่อาจพลิกชีวิตได้ หากตระกูลไป๋ยังคงต้องการได้รับตำแหน่งที่สูงในตำหนักติ้งอ๋องและฟื้นฟูความรุ่งเรืองอย่างเมื่อในอดีตกลับมา คงทำได้แต่เดินตามเส้นทางที่เคยเดินเท่านั้น สิ่งนี้จะทำให้ตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวีขุ่นเคืองอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นซุนฮูหยินจึงไม่รู้สึกว่าตนเองต้องต่อสู้กับไป๋อวิ่นเฉิงต่อหน้าติ้งอ๋องและพระชายาติ้งอ๋องเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกขบขันหรอก
แต่ไป๋อวิ่นเฉิงไม่คิดเช่นนั้น ในความเห็นของไป๋อวิ่นเฉิง การที่หญิงหม้ายอย่างซุนฮูหยินมาข่มตัวเองต่อหน้าติ้งอ๋องเป็นเรื่องที่ทนไม่ได้อย่างยิ่ง นอกจากนี้ความเกลียดชังระหว่างตระกูลซุนและตระกูลไป๋ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ หากตระกูลซุนได้รับความสนใจ พวกเขาจะต้องแก้แค้นความแค้นที่มีมาในช่วงหลายปีอย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลไป๋ของเขาเริ่มลงมือก่อนเสียยังจะดีกว่า!
เวลาจวนเที่ยงวัน ไป๋อวิ่นเฉิงและซุนฮูหยินต่างลุกขึ้นและจากไปอย่างรู้หน้าที่ ก่อนจากไปซุนฮูหยินได้เชิญเยี่ยหลีให้ไปงานเทศกาลสารทฤดูที่จะจัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้า เป็นเทศกาลชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งเป็นงานเลี้ยงรวมตัวกันของสตรีประจำเมืองหลวง แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเจ้าของเมืองหลวงแห่งซีหลิงจะใกล้เข้ามาแล้ว แต่ผู้ทรงอำนาจในเมืองหลวงกลับไม่ได้หวาดกลัวและเก็บตัวอยู่แต่บ้าน ในทางตรงกันข้ามพวกเขากลับจัดงานเลี้ยงกันบ่อยขึ้น ผู้นำของแต่ละตระกูล มารดาประจำตระกูลจะรวมตัวกันเพื่อสอบถามเกี่ยวกับแผนการและความปรารถนาของตระกูลอื่นๆ และตระกูลที่เคยเกี่ยวดองและมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันก็ถือโอกาสหารือเส้นทางในอนาคตของตนเอง เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้จำเป็นต้องอาศัยการจัดงานเลี้ยงต่างๆ มาเป็นสื่อกลาง อย่างไรก็ตามแม้ว่าฮ่องเต้แห่งซีหลิงกำลังจะย้ายไปทางใต้ แต่อำนาจส่วนใหญ่ในเมืองหลวงยังคงอยู่ในมือของราชวงศ์ซีหลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความคิดแตกต่างและมีแผนการอื่น ก็มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ามาขอพบติ้งอ๋องอย่างเปิดเผยเฉกเช่นตระกูลไป๋และตระกูลซุน
เยี่ยหลีรู้สึกดีกับซุนฮูหยินผู้สง่างามและใจกว้างมากกว่าเล็กน้อย และเข้าใจด้วยว่าจุดประสงค์ของการจัดเทศกาลชมดอกไม้ในฤดูใบไม้ร่วงในครั้งนี้หรืออะไร เพราะนี่ไม่ใช่แค่การเพลิดเพลินไปกับดอกไม้เท่านั้น เพราะถึงอย่างไรซีหลิงก็ไม่ได้มีดอกไม้ให้ชื่นชมในฤดูใบไม้ร่วงเสียหน่อย หลังจากคิดไปคิดมา นางก็ตอบตกลง ซุนฮูหยินจึงจากไปอย่างมีความสุข
ไป๋อวิ่นเฉิงที่อยู่อีกด้านหนึ่งได้ฟัง ก็ได้แต่แอบวางแผนในใจ ว่าควรดำเนินการตามแผนให้เร็วที่สุดอย่างไรดี
ครั้นไป๋อวิ่นเฉิงกลับถึงจวน ไป๋ฮูหยินที่รออยู่นานแล้ว ก็เข้าไปต้อนรับทันที ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “ท่านพี่ เจอติ้งอ๋องและพระชายาติ้งอ๋องหรือไม่เจ้าคะ”
ไป๋อวิ่นเฉิงพยักหน้าและเห็นความยินดีบนใบหน้าของไป๋ฮูหยิน เอ่ยพลางยิ้ม “เช่นนั้นคนที่เราส่งไป…” ไป่อวิ่นเฉิงส่งเสียงเฮอะเบาๆ ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา “พวกไร้ประโยชน์! เกรงว่าจะตายกันแล้วน่ะสิ” เมื่อได้ยินดังนั้น ไป๋ฮูหยินพลันหัวใจสั่นไหว คนที่ส่งไปให้ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ไม่ใช่บ่าวและสาวใช้ทั้งหมด ทว่าหนึ่งในนั้นยังมีลูกที่เกิดจากอนุตระกูลไป๋ถึงสามคน “นี่มัน…ติ้งอ๋องจิตใจอำมหิตเช่นนี้เชียวหรือ แต่ว่าช่วงนี้หลายๆ คนก็ส่งคนไปไม่ใช่หรือ ไฉนถึงมีแต่ตระกูลเรา…” เพียงแค่สะดุ้งตกใจเท่านั้น ตอนนี้ไป๋ฮูหยินอารมณ์เย็นลงแล้ว แม้ว่าคนที่ถูกส่งออกไปจะเป็นทายาทของตระกูลไป๋ แต่ก็ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนาง นางย่อมไม่ได้รู้สึกสงสารอะไร เพียงแต่กังวลมากกว่าว่าติ้งอ๋องจะไม่พอใจต่อตระกูลไป๋