ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 316-3 ความสูญเสียจนกระอักเลือดของเจิ้นหนานอ๋อง
ท่าทางงามสง่าของสวีชิงเฉินปกคลุมไปด้วยความเย็นเยียบ “ต่อให้ไม่ใช่ความคิดของเหลยเจิ้นถิง เขาก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”
ครึ่งชีวิตหลังของหนานโหวนั้นแม้จะเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเหลวแหลก แต่ก็เคยเป็นแม่ทัพโหดเหี้ยมที่ควบม้าอยู่ในสนามรบมาก่อน เรื่องราวมากมายล้วนวางตัวเองเป็นคนนอกแต่กลับมองได้ละเอียดชัดเจนยิ่ง เขาลูบเคราพลางกล่าวว่า “ครานี้เกรงว่าเหลยเจิ้นถิงจะถูกคนวางแผนใส่ร้ายเสียแล้ว” ความสูญเสียของเจิ้นหนานอ๋องในคราวนี้เรียกได้ว่าไม่น้อยเลยทีเดียว เกรงว่ายามนี้เจิ้นหนานอ๋องคงกำลังเจ็บปวดจนกระอักเลือดออกมาแล้ว ติ้งอ๋องนิ่งเฉยมาหลายปี แต่ทุกคราที่ลงมือกลับสั่นสะเทือนผู้คนทั้งใต้หล้า
ฟู่เจาที่อยู่ข้างกายท่านพ่อของตนเอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “การกระทำของติ้งอ๋องในครานี้เกรงว่าจะขัดขวางชื่อเสียงของท่านอ๋องได้” แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างไกลจากซีเป่ย แต่ชื่อเสียงการสังหารของติ้งอ๋องในครานี้กลับแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งซีเป่ย ที่อื่นๆ ก็คงไม่ต่างกัน พวกเขาที่เป็นคนของตำหนักติ้งอ๋องเข้าใจเป็นอย่างดี บรรดาคนที่ติ้งอ๋องฆ่าไปทั้งหมดนั้นจำนวนไม่ได้เยอะอย่างที่ข่าวแพร่ออกไป เพียงแต่หากพูดไปเช่นนั้น ผลทีได้จะไม่หนักหนาและร้ายแรงเท่าฆ่าคนไปทั้งเมืองจริงๆ ยามนี้ข่าวคราวด้านนอกได้เปลี่ยนเป็นติ้งอ๋องฆ่าคนทั้งเมืองหลวงแห่งซีหลิงไปแล้ว ขนาดข่าวเมืองเปี้ยนที่ปกปิดไว้ก่อนหน้านี้ ก็ยังถูกขุดเอามาพูดกันจนได้ เพียงไม่นาน เหล่าปัญญาชนต่างวิพากษ์วิจารณ์ติ้งอ๋องกันไปในทางที่ไม่ดีนัก แต่ผู้ที่ครองอำนาจของซีเป่ยในยามนี้ รวมถึงสกุลสวีที่เป็นปัญญาชนแห่งซีเป่ยกลับไม่ออกความเห็นใดๆ กับเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฟู่เจาไม่เข้าใจนัก
สวีชิงเฉินยิ้มเย็นกล่าวว่า “พี่ฟู่ยังคงมองไม่ทะลุแจ่มแจ้งนัก มีคำกล่าวว่า ห้ามความร้ายแรงของอุทกภัยเทียบไม่ได้กับการห้ามวาจาคน การปกปิดไว้ไม่สู้ปล่อยออกมา รอให้พวกเขาพูดกันจนพอใจแล้วก็ย่อมหยุดลงในที่สุด”
“นี่จะไม่ส่งผลอะไรกับชื่อเสียงของติ้งอ๋องหรือ” ฟู่เจาขมวดคิ้วถาม เป็นถึงคนของใต้หล้า ก็ต้องให้ความสำคัญกับชื่อเสียงเรียงนามมากเป็นพิเศษ
สวีชิงเฉินโน้มกายไปทางหนานโหวแล้วถามว่า “หนานโหวคิดเห็นเช่นไร”
หนานโหวส่ายหน้ากล่าว “ผู้ชนะเป็นกษัตริย์ผู้แพ้เป็นกบฏ ข่าวลือที่อยู่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเช่นนี้จะนับเป็นอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวลืออย่างไรก็เป็นข่าวลือ รอจนวันที่ข่าวลือถูกทำลายลง ผู้คนในใต้หล้ามีแต่จะยิ่งเทิดทูนติ้งอ๋องมากขึ้นไปอีก ส่วนพวกหนอนหนังสือที่วันๆ เอาแต่หมกมุ่นอ่านตำราจนโง่งมเหล่านั้นก็คงถูกติ้งอ๋องเหยียดหยามไม่สนใจไยดี”
สวีชิงเฉินพยักหน้าหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ที่หนานโหวกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว ความสัมพันธ์ของตระกูลสวีกับตำหนักติ้งอ๋อง…หากยังไม่ถึงคราวสุดวิสัยจริงๆ ตระกูลสวีก็จะไม่ออกปากช่วยติ้งอ๋องง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ทั่วหล้ากำลังสับสนวุ่นวาย ชื่อเสียงเช่นนี้ของติ้งอ๋อง…กลับไม่ใช่ผลร้าย” อย่างน้อยคนที่กลัวม่อซิวเหยาก็มีมากกว่าคนที่กล้าคิดวางแผนทำร้าย ส่วนคนที่กล้าหักหลังติ้งอ๋องคาดว่าก็คงลดลงไปไม่น้อยทีเดียว บางครั้งความกลัวก็เป็นวิธีที่ดีที่จะให้คนยอมสยบแทบเท้า แต่แน่นอนว่านี่ก็ไม่สามารถทำจนเกินกว่าเหตุไปได้ ส่วนเรื่องที่พระชายาติ้งถูกลอบสังหารในครานี้ก็เป็นเหตุผลที่ดีมากไม่ใช่หรือ ภายหน้า…หลีเอ๋อร์คงจะปลอดภัยขึ้นมาบ้างกระมัง ผ่านครานี้ไป ผู้คนทั่วหล้าก็น่าจะรู้แล้วว่า ติ้งอ๋องรักลึกซึ้งต่อพระชายาเพียงใด หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรกับพระชายาขึ้นล่ะก็ นอกจากติ้งอ๋องจะไม่ใจสลายและตกต่ำแล้ว ยังกลับจะยิ่งบ้าคลั่งและเลือดเย็นมากขึ้นอีกด้วย
“ยามนี้ยังดีที่ท่านอ๋องยังอยู่ที่ซีหลิง ไว้ท่านอ๋องกลับมาที่เมืองหลีแล้ว ทางฝั่งซีหลิงจะเกิดการเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดอะไรอีกหรือไม่” หนานโหวยังคงถามด้วยความกังวล
สวีชิงเฉินกล่าว “ชิงปั๋วยังอายุน้อยไปหน่อย หากแต่พอผ่านบทเรียนครานี้ไปแล้ว เขาก็คงจะเข้าใจในคำว่าใช้กฎร้ายแรงกับความวุ่นวายในใต้หล้า[1]นั้นหมายถึงอะไร”
สองพ่อลูกตระกูลหนานโหวสบตากันอย่างอดไม่ได้ ฟู่เจาเลิกคิ้วมองสวีชิงเฉินแล้วกล่าวด้วยความฉงนว่า “คุณชายชิงเฉินไม่เสียดายขุนนางที่มีอำนาจของซีหลิงเหล่านั้นแม้แต่น้อยเลยหรือ” แม้จะกล่าวได้ว่าข้างในมีผู้ข้องเกี่ยวกับผู้สังหารไม่น้อย แต่ทุกคนล้วนทราบดีว่าในนั้นมีคนสนิทของเจิ้นหนานอ๋องอยู่มาก รวมถึงผู้มีความสามารถอย่างแท้จริงของซีหลิงด้วย การกระทำของท่านอ๋องครั้งนี้ช่างทำลายอนาคตในอีกสิบปีข้างหน้าของผู้มีความสามารถในซีหลิงโดยแท้จริง
สวีชิงเฉินแย้มยิ้มเย็น “ขอแค่ท่านอ๋องไม่เข่นฆ่าประชาชนคนธรรมดาก็พอ ส่วนคนพวกนั้น…มีกี่คนกันที่มือบริสุทธิ์โดยแท้จริง ต่อให้บริสุทธิ์…” เขามองออกไปนอกด่านจนสุดสายตา พื้นที่ว่างเปล่านอกด่านเฟยหง กำแพงหักพังทลาย เสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้นไม่ขาดสาย สวีชิงเฉินยกมือขึ้นชี้ออกไปไกลยังที่ที่สายตามองไม่เห็น “มีคนที่บริสุทธิ์กว่าพวกเขาหรือไม่” ผู้บริสุทธิ์ที่แท้จริงคือประชาชนที่กระเสือกกระสนดิ้นรนอยู่ท่ามกลางสงคราม ไม่ใช่พวกขุนนางที่มีอำนาจอยู่ในมือแล้วสั่งให้ก่อสงครามพวกนั้น
หนานโหวถอนหายใจแผ่วเบา “คุณชายชิงเฉินกล่าวได้ถูกต้อง” เมื่อมองออกไปไกลๆ มีที่ใดบ้าง…ที่เคยเป็นเมืองศัตรูของพวกเขา แต่ยามนี้กลับระเหเร่ร่อนพลัดจากถิ่นไปทั่วทุกหนทุกแห่งอย่างโศกเศร้า โลหิตเจิ่งนองดุจสายน้ำ
สวีชิงเฉินหางคิ้วกระตุก กล่าวเสียงเรียบว่า “หากไม่ใช่ความตั้งใจของเจิ้นหนานอ๋อง เช่นนั้นก็เหลือเพียงผู้เดียวที่จะสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้แล้ว…เหรินฉีหนิง ดียิ่ง หากไม่ตอบแทนอะไรเขาสักเล็กน้อย ชิงปั๋วและหลีเอ๋อร์นั้นก็คงเจ็บตัวกันไปเปล่าๆ แล้วใช่หรือไม่ ใครก็ได้”
บุรุษชุดดำคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของสวีชิงเฉิน เป็นเว่ยลิ่นที่ถูกเยี่ยหลีทิ้งไว้ที่ซีเป่ย
“เว่ยลิ่น เจ้าไปที่ฉู่จิง บอกเหลิ่งเฮ่าอวี่ว่าไม่ต้องกลับมาซีเป่ยเป็นการชั่วคราว ช่วยอยู่รักษาการณ์ที่ต้าฉู่ไปก่อน จะต้องรักษาฉู่จิงเอาไว้ให้ได้”
เว่ยลิ่นไม่ถามให้มากความ พยักหน้ากล่าวเสียงต่ำ “ข้าน้อยเข้าใจแล้ว ข้าน้อยขอตัว”
“คุณชายชิงเฉิน ปกป้องฉู่จิงนั้นเกรงว่าจะ…” หนานโหวขมวดคิ้วกล่าว เขาเข้าใจเรื่องในกองกำลังทหารและกำลังรบของต้าฉู่อยู่บ้าง ต่อให้จะมีเหลิ่งหวายและฮว่ากั๋วกงอยู่ อย่างไรฉู่จิงก็คงต้านได้ไม่ถึงสามเดือน หนำซ้ำภายในสามเดือนนี้เกรงว่าทหารตระกูลม่อคงจะส่งกองหนุนไปช่วยฉู่จิงได้ยากนัก
สวีชิงเฉินยิ้มเย็นกล่าว “กองทัพหลายแสนของแม่ทัพหลี่ว์เตรียมจะเคลื่อนไหวแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาเตรียมตัวป้องกันเหลยเจิ้นถิงมาโดยตลอดจึงไม่กล้าทำอะไร ยามนี้เหลยเจิ้นถิงกำลังปะทะกับม่อจิ่งหลีอยู่ ต่อให้อยากจะถอนตัวก็ไม่ทันการแล้ว รอจนกองกำลังที่ปิดล้อมเราไว้ถอนกลับไปแล้วค่อยไปฉู่จิงก็น่าจะทัน ถึงเวลานั้นท่านอ๋องก็น่าจะกลับมาแล้ว”
หนานโหวแอบคิดคำนวณอยู่ในใจ รู้สึกว่าการกระทำของสวีชิงเฉินครานี้แม้จะสุ่มเสี่ยงไปบ้างแต่ก็ไม่นับว่าเป็นไปไม่ได้ สำคัญที่สุดก็คือหากทำสำเร็จ เช่นนั้นอาณาเขตของตำหนักติ้งอ๋องก็จะกว้างขวางกว่ายามนี้ถึงเท่าตัวกว่าๆ เลยทีเดียว
“เพียงแต่หากเป็นเช่นนั้นก็ต้องเผชิญหน้ากับเป่ยหรงและเป่ยจิ้งโดยตรง ทั้งยังมีเหลยเจิ้นถิงที่อยู่ทางใต้นั่นอีก รอเขายืนได้มั่นคง ก็ยากที่จะบอกว่าเขาจะไม่กลับขึ้นเหนือมาร่วมมือกับเป่ยหรงและเป่ยจิ้งปิดล้อมเราอีก ดูจากความกล้าของม่อจิ่งหลีแล้วเกรงว่าคงขวางไม่อยู่และคงขวางไว้ไม่ได้ด้วย”
สวีชิงเฉินยิ้มเย็นกล่าว “เหลยเจิ้นถิงไม่ใช่ว่ายังมีมู่หรงเซิ่นหรือ นอกจากนี้ ในดินแดนต้าฉู่ พวกเรายังมีกองทัพลับที่สามารถใช้ได้ซ่อนอยู่ด้วย”
“…”
[1] ใช้กฎร้ายแรงกับความวุ่นวายในใต้ฟ้า ใช้บทลงโทษที่รุนแรงเพื่อยับยั้งพลเมืองจากสภาพสังคมที่สับสนวุ่นวาย เพื่อให้เกิดสภาวะทางสังคมที่ค่อนข้างมั่นคง