ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 317-1 ฮ่องเต้ซีหลิงย้ายเมืองหลวง
สองพ่อลูกหนานโหวได้ฟังที่สวีชิงเฉินพูดก็ต่างตกใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ตำหนักติ้งอ๋องกับต้าฉู่แตกหักกันมานานหลายปีเช่นนี้ นึกไม่ถึงว่าในดินแดนต้าฉู่จะยังกำลังทหารซ่อนเอาไว้ แม้กระทั่งในตอนนี้ที่ดินแดนต้าฉู่วุ่นวายไปถ้วนทั่วแล้วแต่ก็ยังคงปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ได้ นี่ทำให้ทั้งคู่ต่างตื่นตะลึงกับข้อมูลลับที่ซ่อนไว้ของตำหนักติ้งอ๋อง เพียงแต่พวกเขาทั้งสองต่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร สวีชิงเฉินไม่ได้บอกโดยละเอียด พวกเขาก็ย่อมไม่ถามต่อ
หนานโหวมองธงทิวโบกพลิ้วปลิวไสวที่ห่างออกไปจากด่านไม่ไกลนัก แล้วเอ่ยถามขึ้น “กองทัพของเป่ยหรงและซีหลิงที่อยู่นอกด่านนั่นคุณชายชิงเฉินเห็นควรให้จัดการเช่นไร”
สวีชิงเฉินกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “เป่ยหรงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะลงใต้ไปบุกยึดดินแดนของต้าฉู่ ไม่น่าจะวกมาตีเราแน่ ส่วนซีหลิงนั้นก็เพียงแค่โบกธงตะโกนสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาทหารเป่ยหรงเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้…สองกองทัพนี้ เราก็จัดการกินรวบไปพร้อมกันเสียเลย”
หนานโหวมองสวีชิงเฉินแล้วกล่าว “คุณชายชิงเฉินมั่นใจถึงเพียงนี้เชียว”
สวีชิงเฉินยิ้มกล่าว “เดินทัพสู้รบนั้นเป็นเรื่องของหนานโหว จะมาถามข้าน้อยได้อย่างไรว่ามั่นใจหรือไม่ พูดแล้วก็ให้ละอายยิ่งนัก ให้ข้าน้อยคิดคำนวณวางแผนการนั้นพอจะทำได้ ส่วนเรื่องจัดขบวนเดินทัพต่อสู้พวกนี้กลับไม่ใช่ข้าน้อยที่เป็นผู้นำ” หนานโหวหัวเราะกล่าว “คุณชายถ่อมตัวเกินไปแล้ว” ข้อคิดเห็นของสวีชิงเฉินเมื่อครู่นี้นับได้ว่าเป็นคนที่พอเข้าใจการศึกอยู่บ้าง หากแต่เมื่อเทียบกับคนที่มีความสามารถสร้างผลงานล้ำเลิศในการปกครองแล้ว จุดนี้กลับไม่โดดเด่นนัก
“ถ่อมตัวเกินไปอะไรกัน ศึกครานี้คงต้องลำบากหนานโหวและแม่ทัพหลี่ว์แล้ว” สวีชิงเฉินกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึม
เมื่อรู้ว่าเขาฝากฝังด่านเฟยหงและเหล่าทหารตระกูลม่อไว้กับตน ในใจหนานโหวพลันร้อนรุ่ม กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชายชิงเฉินโปรดวางใจ ข้าจะทำอย่างเต็มความสามารถไม่มีเกียจคร้านแม้เพียงน้อย”
“ดียิ่ง” สวีชิงเฉินพยักหน้ายิ้มแล้วกล่าวว่า “ให้พวกเป่ยหรงได้รู้ลองดูเสียหน่อย ว่าหลายปีที่ไม่ได้สู้รบกันนี้ ทหารตระกูลม่อสู้พวกมันไม่ได้แล้วหรือไม่”
คำพูดสบายๆ ประโยคนี้กลับทำให้หนานโหวอดที่จะรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้ แม้ครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของเขาจะรบทัพจับศึกมาไม่น้อย แต่การนำทัพตระกูลม่อเข้าจัดการกับเป่ยหรงและซีหลิงสองทัพใหญ่อันแข็งแกร่งนั้นล้วนเป็นเรื่องที่เขาไม่เคยคิดฝันมาก่อน
นอกเมืองหลวงซีหลิงวันนี้เต็มไปด้วยฝูงชนมากมาย บรรยากาศน่าสะพรึงกลัว ทหารอารักขาของซีหลิงได้เปลี่ยนเป็นเหล่าทหารตระกูลม่อในชุดสีดำยืนมาอยู่บนกำแพงเมืองแทน นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าจากนี้ไปเมืองหลวงซีหลิงแห่งนี้ได้ตกเป็นของกองทัพตระกูลม่อไปเรียบร้อยแล้ว นอกประตูเมืองมีธงสีเหลืองอร่ามปักลายมังกรโบกสะบัดปลิวไสว รถม้าหลากหลายประเภทจอดเรียงรายอยู่ข้างถนนนอกเมืองหลวงเพื่อรอเวลาออกเดินทาง วันนี้เป็นวันที่ฮ่องเต้ซีหลิงจะออกเดินทางจากเมืองหลวงซีหลิงเพื่อไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่เมืองอัน โดยมีขุนนางผู้ทรงอำนาจและขุนนางในราชสำนักที่ติดตามไปด้วย
ส่วนประชาชนคนธรรมดาที่ติดตามฮ่องเต้ออกไปจากซีหลิง แม้จะมีอยู่บ้างแต่ก็ไม่นับว่ามากนัก สำหรับประชาชนนั้นการจงรักภักดีต่อประมุขและรักชาติบ้านเมืองเป็นเรื่องที่ไกลตัวจากพวกเขามาก ยิ่งไปกว่านั้นเมืองหลวงซีหลิงไม่ได้โดนทหารตระกูลม่อบุกยึดให้แตกพ่าย แต่เป็นฮ่องเต้ซีหลิงเองที่ยินยอมสละให้ เช่นนี้แล้วประชาชนที่ตามเสด็จของพระองค์จึงมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ชื่อเสียงของทหารตระกูลม่อนั้นดีงามมาโดยตลอด ให้ละทิ้งที่ทางทำมาหากินของครอบครัวที่อยู่มาหลายชั่วอายุคนแล้วตามเสด็จไปในที่ที่ไม่รู้จักเช่นนั้น ไม่สู้อยู่มีชีวิตสุขสบายภายใต้ร่มเงาของตำหนักติ้งอ๋องจะดีกว่าหรือ
ดังนั้นแล้ว กลุ่มฝูงชนที่เบียดเสียดกันจนอากาศแทบจะเล็ดรอดผ่านไปไม่ได้อยู่ด้านนอกเมืองนี้ บ้างมาดูความคึกคัก บ้างมาส่งขบวนเสด็จ ซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลกว่าพวกที่ตามเสด็จเสียอีก นี่จึงทำให้ฮ่องเต้ซีหลิงอดที่จะรู้สึกอ้างว้างไม่ได้ แต่ใต้หล้านี้สิ่งที่มีเยอะที่สุดก็คือประชาชนคนธรรมดา พระองค์จึงไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาชนเหล่านี้มากมายนัก
“ติ้งอ๋องและพระชายามาแล้ว”
ฮ่องเต้จะเสด็จออกเดินทาง ม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีย่อมต้องมาส่งขบวนเสด็จอยู่แล้ว ดีที่รักษาตัวอยู่หลายวันเยี่ยหลีจึงอาการดีขึ้นมาไม่น้อย เพียงแต่สวีชิงปั๋วยามนี้ยังคงนอนอยู่บนเตียงขยับไม่ได้
ม่อซิวเหยายื่นมือไปโอบเอวเยี่ยหลีเข้ามากอดไว้ในอกโดยไม่สนสายตาผู้คนที่อยู่รอบๆ แม้สักนิด แต่เยี่ยหลีกลับตกใจที่พบว่าผู้คนโดยรอบโดยเฉพาะขุนนางผู้มีอำนาจระดับสูงเหล่านั้น สีหน้าที่มองพวกนางดูไม่เคารพนบนอบกันอย่างเคย ซ้ำยังเต็มไปด้วยความหวาดกลัวอย่างขีดสุด พอมองให้ละเอียดจึงพบว่า สายตาสะพรึงกลัวของคนเหล่านี้กลับไม่ได้มองมาที่นางแต่เป็นคนข้างกาย จึงอดเหลือบมองไปที่ม่อซิวเหยาด้วยความฉงนไม่ได้
เนื่องจากเยี่ยหลีกำลังมีครรภ์ ซ้ำม่อซิวเหยายังแอบรู้มาว่านางไม่ชอบที่เขาทำสงครามปราบปรามอย่างกำเริบเสิบสาน หรืออาจเพียงเพราะใจของม่อซิวเหยาเองไม่ยินดีที่จะให้นางรู้ว่าตนมีอุปนิสัยเช่นนี้ หลังจากเยี่ยหลีฟิ้นขึ้นมาหลังสลบไปหลายวัน ผู้คนรอบข้างกลับไม่เล่าให้นางฟังว่าระหว่างที่นางสลบไปนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เยี่ยหลีจึงไม่รู้ว่าท่าทางหวาดกลัวของพวกเขาเหล่านั้นเป็นมาอย่างไร
“ฝ่าบาท ขออวยพรให้ฝ่าบาททรงโชคดีกับการเดินทางในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ” ม่อซิวเหยาประสานมือคำนับฮ่องเต้ซีหลิงเสียงดังอย่างหาได้ยากยิ่ง
ฮ่องเต้ซีหลิงอดตกตะลึงไม่ได้ รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการชื่นชมและยกย่องจากเขาเช่นนี้ จึงตรัสตอบไปว่า “สมดั่งคำอวยพรติ้งอ๋อง เราก็ยินดีกับติ้งอ๋องและพระชายาด้วยที่ได้ลูกชาย” เยี่ยหลีพยักหน้ายิ้มบางกล่าว “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ ขอฝ่าบาททรงรักษาพระวรกายด้วย”
แม้จะรู้สึกขมขื่นเป็นอย่างมากที่ต้องยิ้มให้กับผู้ที่ยึดดินแดนของตนรวมทั้งเมืองหลวงซีหลิงแห่งนี้ แต่ดีที่ในไม่ช้าเขาจะจากที่นี่ไปและสลัดม่อซิวเหยาที่โหดร้ายผู้นี้ไปได้ นี่ทำให้รอยยิ้มของพระองค์แฝงไว้ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงอยู่หลายส่วน ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “ขอบใจพระชายา ข้าขอตัวลา”
ม่อซิวเหยายิ้มบางกล่าว “ส่งพระองค์เพียงเท่านี้”
รถม้าพระที่นั่งของฮ่องเต้ซีหลิงจอดอยู่กลางถนนไปไม่ไกล รอบๆ เต็มไปด้วยองครักษ์ในวังและนางกำนัลนางใน ด้านหลังรถม้าเป็นที่นั่งของเหล่าองค์หญิงและนางสนม รวมถึงบรรดาพระญาติของฮ่องเต้ พอฮ่องเต้ซีหลิงถูกพยุงขึ้นรถม้าไป คนอื่นๆ ก็ขึ้นรถไปตามเพื่อเตรียมตัวจะออกเดินทาง
รอจนล้อรถขยับเคลื่อนไปแล้ว ม่อซิวเหยาจึงได้โบกมือให้กับผู้คนที่อยู่ด้านหลังพลางกล่าวว่า “เอาล่ะ แยกย้ายกันไปได้แล้ว” เขาพยุงเยี่ยหลีกำลังจะหมุนตัวกลับไป ฝูงชนด้านหลังต่างเงียบกริบ ท่านอ๋องท่านจะเล่นละครก็โปรดเล่นให้มันเนียนๆ หน่อยเถิด ไม่ต้องพูดถึงมองส่งขบวนเสด็จเคลื่อนไปไกลเลย อย่างน้อยตอนที่ขบวนเสด็จยังไม่ทันเคลื่อนตัวไปไหน ท่านก็อย่าเพิ่งด่วนหมุนตัวจากไปเช่นนี้จะได้หรือไม่
เพียงแต่สำหรับนายพลของกองทัพตระกูลม่อนั้นย่อมไม่มีความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ ซ้ำขุนนางที่มีอำนาจของซีหลิงก็ไม่มีอารมณ์จะมาแสดงความเคารพนบนอบต่อนายเก่าต่อหน้านายใหม่ เงียบกันไปพักหนึ่งแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไป
“พระชายาติ้งอ๋อง…ข้าขอเข้าพบพระชายาติ้งอ๋องเพคะ…” เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยากำลังจะกลับเข้าเมือง ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังมาจากด้านหลัง เยี่ยหลีหันไปมองเห็นไป๋ฮูหยินมองมาทางตน เดินเข้ามาด้วยสีหน้ารีบร้อน แต่เสียดาย เรื่องลอบสังหารพระชายาเพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน หลังจากเกิดเรื่อง พอนางฟื้นก็พบว่าองครักษ์ที่ติดตามเยี่ยหลีถูกเปลี่ยนเป็นหน่วยกิเลนทั้งหมดแล้ว แม้นางจะไม่พอใจนัก แต่ก็ทราบดีว่าเรื่องครานี้จะต้องทำให้คนไม่น้อยตื่นตระหนกตกใจเป็นแน่ จึงไม่ได้ปฏิเสธเพื่อให้คนที่ตนใส่ใจนั้นสบายใจขึ้นเท่านั้น
ไป๋ฮูหยินยามที่เพิ่งจะส่งเสียงเรียกพระชายาติ้งอ๋องออกไปก็ถูกองครักษ์ของตำหนักติ้งอ๋องเข้ามาขวางเอาไว้เสียแล้ว นางอยู่ห่างจากเยี่ยหลีไปสิบกว่าก้าว เห็นเพียงเยี่ยหลีถูกม่อซิวเหยากำลังจะพยุงเข้าไปในเมือง ไป๋ฮูหยินจึงร้อนใจ เอ่ยเรียกไว้เสียงดัง “พระชายา…ข้ามีเรื่องจะขอเข้าพบพระชายา…”
ฝูงชนที่อยู่ตรงนั้นต่างเงียบงันไปตามๆ กัน พวกเขาทราบเรื่องสกุลไป๋เป็นอย่างดี วันนั้นบุตรสกุลไป๋อันสูงส่งถูกติ้งอ๋องสังหารไปแล้ว คนไม่น้อยต่างคาดเดากันในใจว่าตำหนักติ้งอ๋องจะจัดการเรื่องที่เหลือกับตระกูลไป๋เมื่อใด