ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 320-2 ฉู่จิงจะตกเป็นของผู้ใด
“นางแพศยาสนมหลิ่วนั่น!” ม่อจิ่งหลีก่นด่าด้วยความโกรธแค้น คนนอกล้วนคิดว่าสนมหลิ่วโดนไฟครอกจนตายในเหตุการณ์ไฟไหม้ครานั้น ทว่าผู้ที่รู้ความจริงล้วนเข้าใจแจ่มแจ้งว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร สนมหลิ่วทำเพื่อบรรลุกลยุทธจั๊กจั่นลอกคราบ[1]ไม่สนใจว่าจะเป็นการทำร้ายลูกสาวของตนหรือไม่ ช่างหน้าไม่อายนัก ทว่าม่อจิ่งหลีแทบจะพลิกแผ่นดินหาทั้งนอกทั้งในเมืองแล้วแต่กลับไม่พบร่อยรอยของสนมหลิ่วแม้แต่น้อย ภายใต้โทสะที่กำลังปะทุนั้น ม่อจิ่งหลีก็จับคนตระกูลหลิ่วเข้าคุกหลวงโดยไม่สนหัวหงอกหัวดำ สอบสวนอยู่หลายเดือนก็ไม่ได้ข่าวคราวอะไรแม้แต่น้อย
ไทเฮาถอนพระทัยเบาๆ มองม่อจิ่งหลีแล้วตรัสว่า “ข้าได้ยินมาว่าหลังจากที่ติ้งอ๋องยึดเอาซีหลิงมาได้ ก็เดินทางกลับไปเมืองหลีหรือ”
ม่อจิ่งหลียิ้มเย็นกล่าว “เสด็จแม่สายข่าวว่องไวยิ่งนัก เพียงแต่…เรื่องนี้ไม่ต้องให้เสด็จแม่มากังวล ตำหนักใน…ไม่ควรต้องมายุ่งเรื่องการเมือง!”
“เจ้า!” ไทเฮาสีพระพักตร์เข้มขึ้น วาจาติดขัดอยู่ในอกตรัสออกมาไม่ได้ สีพระพักตร์ประเดี๋ยวแดงประเดี๋ยวเขียวคล้ำ ปลายนิ้วที่ชี้ไปยังม่อจิ่งหลีสั่นระริกแต่กลับตรัสอะไรไม่ออก หลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างพลันได้สติ ดีที่นับได้ว่านางปรนนิบัติรับใช้ไทเฮาจนคุ้นแล้ว จึงรีบเข้าไปช่วยให้ไทเฮาหายใจคล่องขึ้น ครู่ต่อมาไทเฮาจึงค่อยๆ ได้สติคืนมา แต่ม่อซิวเหยากลับสะบัดแขนเสื้อจากไปเสียแล้ว
“เสด็จแม่เพคะ…” หลี่ซื่อเอ่ยเรียกแล้วยกชาป้อนให้ดื่ม
ไทเฮาโบกหัตถ์ปัดเครื่องเรือนที่อยู่บนโต๊ะหล่นลงพื้น ร้องไห้ฟูมฟายตรัสว่า “ข้าไปทำบาปทำกรรมอะไรไว้ จึงได้ให้กำเนิดลูกเนรคุณสองคนนี้ออกมา…”
ม่อจิ่งหลีที่ก้าวออกจากประตูมาได้ยินเสียงร่ำไห้ดังแว่ว สีหน้าก็ยิ้มเย็นอย่างจองหอง หลายปีมานี้ความรู้สึกระหว่างแม่ลูกได้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ ในใจของม่อจิ่งหลีนั้นรู้สึกว่ามารดาแท้ๆ ของตนยังไม่สำคัญเท่าท่านน้าเสียนเจาไท่เฟยที่เลี้ยงดูตนมาด้วยซ้ำ ดังนั้นหลังจากย้ายลงใต้แล้ว ม่อจิ่งหลีก็ไม่ลังเลที่จะแต่งตั้งให้เสียนเจาไท่เฟยเป็นไทฮองไทเฮา นี่จึงทำให้ไทเฮาเกิดความแสลงใจต่อลูกพี่ลูกน้องที่เฝ้าดูแลกันมาตลอดทั้งชีวิตของพระนาง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ดีเช่นดังเก่าก่อน
เขาเดินคดเคี้ยวไปตามทางเดินระเบียงอย่างช้าๆ ม่อจิ่งหลีละทิ้งเรื่องของลูกชายเอาไว้ชั่วคราวแล้วย้อนนึกถึงเรื่องในท้องพระโรงวันนี้ พอนึกไปถึงสีหน้าแววตาที่มีความหวังและค่อยๆ หม่นแสงลงของเหล่าขุนนางก็อดจะยิ้มเย็นชาขึ้นมาไม่ได้ ยังจะคาดหวังกับม่อซิวเหยาอีกหรือ ช่างโง่เชลาโดยแท้ เขานั่งอยู่ในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ของเจียงหนาน เหตุใดต้องไปแย่งชิงดินแดนกับคนพวกนั้นอีก เขาต้องการจะปกป้องป้อมปราการทางธรรมชาติของแม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ วางแผนบริหารจัดการดินแดนเจียงหนานผืนนี้ให้ดี มีประชาชนที่ร่ำรวย มีกองกำลังอันแข็งแกร่ง ให้ม่อซิวเหยาไปเสี่ยงตายกับพวกเป่ยหรงเป่ยจิ้งและซีหลิงคนเดียวเถิด ม่อซิวเหยาชนะได้ตระกูลสองตระกูลมาได้ จะยังชนะตระกูลที่สามได้อีกหรือ รอยามมันพ่ายแพ้ย่อยยับเมื่อใดเขาจะฉวยโอกาสฮุบดินแดนกลับคืนมา ทีนี้ใครจะกล้าบอกว่าเขาไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งความเจริญรุ่งเรืองอันรุ่งโรจน์ได้อีก
กลับเป็นยามนี้ เนื่องจากด่านจื่อจิงเสียการป้องกันทำให้เสียฉู่จิงไป เขาที่วางแผนนำบิดาตนหนีตายกลับซีเป่ยและแวะเยี่ยมบุตรชายของตนอย่างเหลิ่งเฮ่าอวี่ได้อ่านจดหมายที่เว่ยลิ่นเอามาให้ด้วยตัวเองก็พลันทึ้งหัวจนยุ่งเหยิง มองเว่ยลิ่นอย่างสิ้นหนทางแล้วกล่าวว่า “เสี่ยวเว่ยเอ๋ย เจ้าจะมาช้ากว่านี้สักสองวันไม่ได้หรือ คุณชายข้าเตรียมตัวออกเดินทางกลับซีเป่ยแล้วนะ” เว่ยลิ่นอมยิ้มมองเขาแล้วกล่าวว่า “คุณชายชิงเฉินต้องการบอกว่าต่อให้คุณชายเหลิ่งเอ้อร์ถึงหน้าด่านเฟยหงแล้ว ก็เกรงว่าจะต้องได้กลับไปทางเดิมขอรับ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่ส่งเสียงขึ้นจมูกไม่พอใจสองที แต่ก็ทราบดีว่าที่เขาพูดมานั้นคือเรื่องจริง จึงโยนจดหมายในมือกล่าวว่า “เหตุใดคุณชายชิงเฉินจึงให้เจ้ามาส่งข่าวด้วยตัวเองเล่า นี่ไม่ใช่เป็นการใช้คนไม่เหมาะสมกับงานหรือ” แม้เว่ยลิ่นจะเป็นเพียงองครักษ์ประจำกายของติ้งอ๋อง แต่คนในตำหนักติ้งอ๋องต่างรู้กันดีว่าจั๋วจิ้ง หลินหาน เว่ยลิ่น สามคนนี้พระชายาไม่เคยเอามาให้รับหน้าที่องครักษ์เลยสักครา อีกทั้งความสามารถของพวกเขาห่างไกลจากองครักษ์มากนัก หากให้ออกมาจัดการธุระล่ะก็ เกรงว่าตำแหน่งคงจะไม่ต่ำไปกว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่แน่นอน ดังนั้นคนสนิทเก่าแก่ของม่อซิวเหยาอย่างเฟิ่งซาน เหลิ่งเฮ่าอวี่ล้วนปฏิบัติต่อเว่ยลิ่นอย่างเทียบเท่าศักดิ์เดียวกัน
เว่ยลิ่นกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชายชิงเฉินต้องการให้ข้าน้อยกับคุณชายเหลิ่งเอ้อร์ช่วยท่านแม่ทัพเหลิ่งปกป้องฉู่จิงขอรับ”
เหลิ่งหวายที่นั่งอีกด้านถึงกับตกใจ ตั้งแต่ถูกเหลิ่งเฮ่าอวี่พากลับมาเมืองฉู่จิงทั้งได้เห็นสถานการณ์ยามนี้ของฉู่จิงแล้วในใจเหลิ่งหวายก็ท้อแท้สิ้นหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้เหลิ่งหวายก็ไม่อยากละทิ้งฉู่จิงแล้วหนีหัวซุกหัวซุนเป็นทหารหนีศึก ทว่าลูกชายที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญมาตั้งแต่เล็กๆ คนนี้กลับแสดงให้เห็นว่าไม่เคยมีกลอุบายหรือท่าทีใดออกมาเลย ไม่มีแม้แต่โอกาสใดๆ ให้เหลิ่งหวายเลือก แต่กลับไม่นึกว่าก่อนที่เขาจะหนีไปนี้กลับมีทางรอดให้วกเดินไปต่อได้ ในใจเหลิ่งหวายปรีดาเหลือแสนแต่ยังคงมีความกังวลต่อเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ หากตกไปสู่สถานการณ์ลำบากแล้วออกมาไม่ได้จะทำเช่นไร เขาเป็นถึงขุนนางและท่านแม่ทัพแห่งต้าฉู่ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่กลับไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่าจะต้องให้ลูกชายตัวเองมาตายตกไปด้วยกันเช่นนี้
“คุณชายเว่ย ติ้งอ๋องจะส่งกองกำลังมาหนุนหรือไม่” เหลิ่งหวายเอ่ยถาม
เว่ยลิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยามข้าน้อยจากซีเป่ยมา ท่านอ๋องยังคงอยู่ที่ซีหลิง ยังไม่ได้กลับเมืองหลี แต่นอกด่านเฟยหงมีกองกำลังทหารของเป่ยหรงเป่ยจิ้งและทหารของซีหลิงหลายหมื่นหลายแสนนายจ้องจะบุกเข้ามา หากแต่ตั้งแต่หลายปีก่อนพระชายาได้จัดเตรียมทหารซุ่มโจมตีไว้ในดินแดนต้าฉู่แล้ว ท่านแม่ทัพมู่หรงเซิ่นก็ได้รับจดหมายที่คุณชายชิงเฉินส่งไปแล้ว จะยุติการเผชิญหน้ากับเหลยเจิ้นถิงไว้ชั่วคราวแล้วเดินหน้าขึ้นเหนือต่อ คุณชายชิงเฉินหวังว่าฉู่จิงจะต้านไว้ได้อย่างน้อยๆ ก็สามเดือนขอรับ”
“สามเดือน…” เหลิ่งหวายขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่ากองกำลังทหารตระกูลม่อยามนี้กำลังยากลำบากเพียงใด แต่วันคืนในฉู่จิงตอนนี้ก็ผ่านไปได้ไม่ดีนัก ยามม่อจิ่งหลีพากองกำลังมหาศาลลงใต้ ที่เหลืออยู่ในฉู่จิงยามนี้มีเพียงทหารพิการแนวหน้าที่ถอยทัพจากการพ่ายแพ้ให้เป่ยหรงและเป่ยจิ้งและกองกำลังที่เหลือทิ้งไว้ปกป้องเมืองอีกนิดหน่อยเท่านั้น เมื่อรวมกับทหารเก่ามากมายของฮว่ากั๋วกงดูแล้วก็มีไม่น่าเกินสองแสนกว่านาย ซ้ำตั้งแต่กองกำลังแนวหน้าพ่ายแพ้มาขวัญกำลังใจก็ถดถอย รวมกับเรื่องยามนี้ที่มีกองทัพใหญ่ใกล้เมืองเข้ามาก็ยิ่งทำให้เหล่าทหารและประชาชนในเมืองขวัญหนีดีฝ่อ อย่าว่าแต่สามเดือนเลย จะต้านไว้ได้เดือนหนึ่งหรือไม่เหลิ่งหวายก็ยังกังวล
“สามเดือนย่อมไม่เป็นปัญหา หากสามเดือนนี้ปกป้องฉู่จิงไว้ไม่ได้ วันที่เมืองแตกพ่ายข้าจะสังเวยชีพถวายฟ้าดินเอง!” น้ำเสียงของคนสูงอายุดังกังวานมาจากนอกประตู พวกเขาหันไปมองก็พบฮว่ากั๋วกงที่ผมหงอกขาวยืนอยู่ แม้ว่าจะอายุมากแล้ว แต่ฮว่ากั๋วกงกลับทั่วร่างสวมชุดเกราะรบห้าวหาญชาญชัยแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยวทรงพลังและผึ่งผายของสนามรบในปีนั้นอยู่
ทุกคนรีบลุกขึ้นกล่าว “ท่านกั๋วกง องค์หญิงใหญ่” ผู้ที่เดินตามหลังฮว่ากั๋วกงมานั้นเกศาขาวราวหิมะเช่นเดียวกันคือองค์หญิงใหญ่ซีฝู และผู้ที่กำลังพยุงนางอยู่ก็คือองค์หญิงเจาหยาง ด้านหลังพวกนางยังมีบุรุษสตรีวัยเด็กอายุสิบสองสิบสามปีสองคนเดินตามมา สตรีนางนั้นก้มหน้าลงครึ่งหนึ่งแต่กลับปกปิดรอยแผลบนใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนไว้ไม่ได้ สตรีนางนี้คือองค์หญิงเจินหนิงธิดาของสนมหลิ่วและองค์ชายม่อเซี่ยวอวิ๋นนั่นเอง ม่อจิ่งหลีพาเหล่าองค์ชายองค์หญิงและบรรดาเชื้อพระวงศ์ไปด้วย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงทิ้งสองพี่น้องคู่นี้เอาไว้ให้ติดตามองค์หญิงใหญ่ซีฝู
ฮว่ากั๋วกงมองเหลิ่งหวาย แล้วพิจารณาเหลิ่งเฮ่าอวี่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้น “ติ้งอ๋องจะส่งทหารมาช่วยฉู่จิงจริงๆ หรือ”
เหลิ่งเฮ่าอวี่สีหน้าเก็บอารมณ์ มุมปากมีรอยยิ้มประดับอยู่หลายส่วน “ท่านกั๋วกง นี่ไม่เป็นการรังแกข้าไปหน่อยหรือ ข้าอยู่ที่ต้าฉู่มาโดยตลอด ได้ไปซีเป่ยเพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไหนเลยจะเข้าใจเจตนาของท่านอ๋องได้ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ท่านอ๋องก็อยู่ที่ซีหลิงอันไกลโพ้น การช่วยปกป้องเมืองนั้นล้วนเป็นเจตนาของคุณชายชิงเฉิน” ดังนั้น ติ้งอ๋องคิดวางแผนตัดสินใจเช่นไรยามนี้ไม่มีผู้ใดทราบได้ แม้ว่าที่ซีเป่ยนี้คุณชายชิงเฉินจะเป็นผู้ปกครองกล่าวคำไหนต้องทำคำนั้น ทว่าก็ไม่ใช่ติ้งอ๋องที่เป็นคนตัดสินใจหรอกหรือ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตบปากรับคำสัญญาใดๆ กับฮว่ากั๋วกงแทนติ้งอ๋องได้
[1] กลยุทธจักจั่นลอกคราบ เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการรักษาไว้ซึ่งตามแบบแผนการจัดแนวรบในรูปแบบเดิม ให้แลดูสง่าและน่าเกรงขาม เป็นการหลอกล่อไม่ให้ศัตรูเกิดความสงสัย ไม่กล้าผลีผลามนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตี เมื่อรักษาแนวรบไว้เป็นตั้งมั่นแล้วจึงแสร้งถอยทัพอย่างปกปิด เคลื่อนกำลังทหารให้หลบหลีกไป