ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 322-1 พ่อลูกพบกันอีกครา
หลังจากม่อซิวเหยาจากไป วันคืนของเยี่ยหลีก็ผ่านไปอย่างเงียบสงบ และเพราะนางกำลังมีครรภ์ผู้คนในตำหนักติ้งอ๋องจึงไม่ได้เอาเรื่องการเมืองมารบกวนนางอีก ทั่วทั้งจวนล้วนดูแลนางอย่างประคบประหงม เดี๋ยวกลัวนางจะหนาว เดี๋ยวกลัวนางจะหิว ห่วงนางจะเหนื่อย หลายวันผ่านไป หลังจากมีข่าวคราวว่าม่อซิวเหยาปรากฏตัวขึ้นที่ด่านเฟยหงก็มีหลายคนสงสัยและแปลกใจว่าเหตุใดจึงไม่เห็นพระชายาอยู่ข้างกายติ้งอ๋องด้วย ผู้คนภายในเมืองหลีที่เพิ่งจะรู้กันว่าพระชายาตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้วก็ต่างยินดีและอวยพรให้ อีกประมาณเดือนกว่าๆ จะถึงวันปีใหม่ ยามที่ดินแดนภายนอกยังคงรบราฆ่าฟันกันอยู่นั้น ประชาชนของซีเป่ยกลับอยู่เย็นเป็นสุข ครึกครื้นกันกว่าปีก่อนๆ เสียอีก
เยี่ยหลีที่ว่างอยู่ทุกวันก็พาเด็กๆ มาเล่นสนุกกับท่านตาชิงอวิ๋น ยามนี้ม่อซิวเหยาไม่อยู่ที่ตำหนัก อีกทั้งเยี่ยหลีก็กำลังตั้งครรภ์ ฮูหยินรองสวีจึงพาฉินเจิงมาที่ศาลารับแขกในตำหนักด้วย หนึ่งเพราะทุกวันนี้ทั้งสวีหงอวี่ สวีหงเยี่ยน หรือสวีชิงเจ๋อต่างยุ่งกันเสียจนไม่ได้หยุดได้หย่อน ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลับมาบ้าน สองนั้นเพื่อให้เยี่ยหลีได้เพลิดเพลินคลายความเบื่อหน่ายลงไปบ้าง
วันนี้เยี่ยหลีเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนท่านตาชิงอวิ๋น เด็กน้อยทั้งสามคนที่เล่นกันอยู่บนพรมผืนหนาข้างๆ ล้วนมีฮูหยินรองสวีและฉินเจิงคอยดูแล ระหว่างเล่นหมากรุกนั้น ท่านตาชิงอวิ๋นและเยี่ยหลีต่างพูดคุยเรื่องราวตอนอยู่ที่ซีหลิงกัน พอท่านตาฟังที่เยี่ยหลีเล่าเรื่องราวของม่อซิวเหยาในซีหลิงจบก็ถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ติ้งอ๋องมีความสามารถอันโดดเด่นและกลยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังมีสติปัญญาและไหวพริบ หากได้สมความปรารถนาจะต้องเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์มีชื่อเสียงเกรียงไกรของยุคเป็นแน่ ข้าเคยเจอเขายามเขาหนุ่มๆ ก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้มีกลิ่นอายห้าวหาญแข็งแกร่งกดดันคน นึกไม่ถึงว่าเขาจะมีมันมากกว่าทายาทติ้งอ๋องในยามนั้นถึงเจ็ดส่วน คนเช่นนี้…อยู่เฉยๆ ก็ทำให้บ้านเมืองสงบสุข หากขยับไหวกลับทำใต้หล้าปั่นป่วน เรียกได้ว่านิ่งหรือขยับล้วนสั่นสะเทือนแผ่นดิน ยินดีหรือพิโรธก็ล้วนส่งผลต่อใต้หล้าทั้งสิ้น บังเอิญฮ่องเต้วัยเยาว์ทรงทำตัวเหลวไหล จนกระทั่งกระทำผิดครั้งใหญต่อตำหนักติ้งอ๋อง แต่เขากลับไม่รู้ว่าคนอย่างติ้งอ๋องนี้ หากขุดหลุมฝังกลบเขาไม่ได้ภายในครั้งเดียว ก็จะกลายเป็นการขุดหนทางสู่ความตายให้ตนเองไปเสีย”
เยี่ยหลีลงหมาก มองท่านตาชิงอวิ๋นแล้วเอ่ยถามว่า “คราแรกท่านตาเคยนึกไปถึงสถานการณ์ในยามนี้หรือไม่เจ้าคะ”
ท่านตาชิงอวิ๋นส่ายหน้าตอบ “ยามนั้นติ้งอ๋องบาดเจ็บสาหัส ข้าไม่อาจดูชะตาอนาคตของเขาได้ว่าจะรอดหรือไม่ เพียงแต่…แม้ว่าติ้งอ๋องจะดีขึ้นไม่ได้ ก็เกรงว่าคงจะต้องต่อสู้กันจนตายตกไปด้วยกันทั้งสองฝ่ายกับฮ่องเต้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพียงแต่…หกปีก่อนเมื่อข้าเพิ่งจะมาที่ซีเป่ยแล้วได้พบกับติ้งอ๋องก็พบว่า เขาไม่เหมือนยามหนุ่มๆ อีกแล้ว”
เยี่ยหลียิ้มบางเอ่ย “หลายคนต่างบอกว่านิสัยของเขายามนี้แตกต่างกับสมัยหนุ่มๆ มากนัก”
ท่านตาชิงอวิ๋นส่ายหน้ากล่าว “ไม่เพียงแค่นิสัยเท่านั้น ไอสังหารที่แผ่ออกมาจากหว่างคิ้วอย่างถูไม่ออกลบไม่ได้นั่นก็ด้วย แม้ตำหนักติ้งอ๋องแต่ละรุ่นจะมีชื่อเสียงมากมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกระหายเลือดสักคน ทว่ายามข้าพบติ้งอ๋องอีกครากลับพบว่าลักษณะท่าทางเขามีกลิ่นอายของไอสังหารดุร้ายซุกซ่อนอยู่ นัยน์ตาทั้งสองมีประกายโลหิตวาววับอยู่เป็นครั้งครา เป็นสัญญาณของไอสังหารดุร้ายอันยิ่งใหญ่ หลังจากพวกเจ้าไปซีหลิงแล้ว ยามว่างข้าก็ตรวจดวงชะตาให้ติ้งอ๋อง บนกระดูกงาช้างที่ใช้ทำนายนั้นเต็มไปด้วยไอสังหารขุ่นมัว ผลปรากฏออกมาเช่นนี้ก็ไม่นับว่านอกเหนือจากที่คาดหมายไว้นัก” เยี่ยหลีกล่าวอย่างอับอายว่า “ล้วนเป็นหลีเอ๋อร์ที่ประมาทจึงได้…” ท่านตาชิงอวิ๋นโบกมือกล่าว “ตาไหนเลยจะเป็นคนหัวโบราณคร่ำครึเช่นนั้น เรื่องทำนายทายทักพวกนี้เป็นเพียงสิ่งที่ใช้ในการอ้างอิงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างติ้งอ๋อง…หากได้ตัดสินใจอันใดลงไปแล้วไหนเลยจะมายึดติดกับคำทำนายเหล่านี้ ตระกูลสวีของเราหลายต่อหลายรุ่นล้วนได้ฝึกตนบ่มนิสัยมาแล้ว เนื่องจากในช่วงปีแรกๆ นั้นมือของตระกูลสวีล้วนเปื้อนเลือดไปไม่น้อย ฆ่าฟันมากเกินไปจะส่งผลต่อจิตใจความเป็นมนุษย์ได้ในที่สุด ตาเกรงว่าติ้งอ๋องจะถลำเข้าสู่ทางมารแล้วจะสูญเสียอายุขัยไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ลำบากท่านตาเป็นห่วงแล้ว หลีเอ๋อร์จะเกลี้ยกล่อมซิวเหยาเองเจ้าค่ะ”
ท่านตาชิงอวิ๋นลงหมากแล้วมองเยี่ยหลียิ้มๆ พลางกล่าวว่า “หลีเอ๋อร์แม้จะมีไอสังหารอยู่บนร่าง แต่อุปนิสัยกลับยังอ่อนโยนอยู่ เหมาะสมกับติ้งอ๋องพอดี ในใต้หล้านี้คงมีเพียงแค่เจ้าที่จะเกลี้ยกล่อมเขาได้ หลีเอ๋อร์ช่างสายตาหลักแหลมกว่าแม่ของเจ้ามากนัก” พอกล่าวถึงบุตรสาวที่จากไปแสนนานของตน ท่านตาชิงอวิ๋นก็รู้สึกเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย บุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาผู้นั้น ไม่ว่าอันใดล้วนดีไปเสียทุกอย่าง จะเว้นก็แต่สายตาเท่านั้นที่มองคนไม่ขาด นิสัยก็ไม่เข้มแข็งเท่าเยี่ยหลี หากปีนั้นรู้ได้เร็วกว่านี้ว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นในภายหลัง เขาก็คงไม่ตามใจลูกให้แต่งงานกับคนผู้นั้นหรอก ไม่แน่ว่ายามนี้อาจจะยังคงมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ เพียงแต่หากเป็นเช่นนั้น ก็คงจะไม่มีหลานสาวแสนสวยที่ผู้คนชื่นชมเช่นคนตรงหน้านี้แล้ว
เห็นท่านตาไม่มีอารมณ์จะเล่นหมากรุกต่อ เยี่ยหลีจึงวางหมากลงตามเขาแล้วอมยิ้มกล่าวว่า “เหตุใดท่านตาถึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเล่าเจ้าคะ คิดถึงท่านแม่หรือ”
ท่านตาชิงอวิ๋นมองนางอย่างลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เรื่องนี้เดิมทีท่านลุงใหญ่ของเจ้าอยากจะบอกกับเจ้าด้วยตัวเอง แต่ยามนี้เขายุ่งนัก ข้าเป็นคนแก่อยู่ว่างๆ ก็จะบอกให้เจ้าฟังเอง พ่อของเจ้า…มาอยู่ที่เมืองหลีแล้ว”
ท่านพ่อ…เยี่ยหลีตะลึงไปชั่วครู่ ขณะหนึ่งนางนึกไปถึงบิดาในชาติก่อนท่านนั้นที่แม้ภายนอกจะเข้มงวดมากแต่จิตใจข้างในกลับรักใคร่ภรรยาและลูกสาว เคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ ณ ขณะนั้นเงาร่างที่เดิมทีนางนึกว่าตัวเองได้ลืมไปแล้วกลับทยอยปรากฏขึ้นมาในหัวมากมาย เงาร่างสีสันชัดเจนที่ดูเหมือนจะไม่จางหายไปแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยไปหลายปีแล้ว ท่านตาชิงอวิ๋นเห็นสีหน้านางไม่ดีนัยน์ตาก็พลันเกิดประกายความเป็นห่วงวาบขึ้น “หลีเอ๋อร์”
เยี่ยหลีหลุดจากภวังค์ ส่ายหน้ายิ้มบางกล่าวว่า “หลีเอ๋อร์สบายดี ทำท่านตาเป็นห่วงแล้ว ทะ…ท่านพ่อเขามาเมืองหลีได้อย่างไรเจ้าคะ” ไม่แปลกที่เยี่ยหลีจะจำเยี่ยเหวินหวาไม่ได้ไปชั่วขณะ เพราะครั้งเมื่อยามเยี่ยหลียังเด็กตอนที่ตระกูลสวียังอยู่ในฉู่จิง นางก็มักจะถูกเลี้ยงดูอยู่ที่ตระกูลสวี ความรู้สึกที่มีต่อบิดาที่มักจะทำให้ท่านแม่เจ็บปวดเสียใจอยู่บ่อยๆ จึงไม่ลึกซึ้งนัก พอมีความทรงจำในอดีตชาติแล้วและได้เปรียบเทียบบิดาทั้งสองชาติภพของนางและเรื่องราวพวกนั้นที่เยี่ยเหวินหวาได้กระทำลงไปทั้งหมด ความเคารพสนิทสนมต่อบิดาที่เดิมทีมีอยู่น้อยนิดนั้นก็ค่อยๆ จืดจางไป หลังจากเยี่ยเหวินหวาพาฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยและคนอื่นๆ กลับมาบ้านเดิมแล้ว เยี่ยหลีก็ค่อยๆ เคยชินกับการจดจำแต่บิดาของนางในชาติก่อนไปแล้ว และค่อยๆ ทิ้งบิดาคนนี้ไว้ข้างหลัง
ท่านตาชิงอวิ๋นยิ้มบางกล่าว “ตระกูลเยี่ยตั้งอยู่ในที่ที่ห่างไกลทางตะวันตกเฉียงใต้ กองทัพซีหลิงยกทัพมาตีในคราแรกก็คือที่นั่น บิดาเจ้านิสัยเช่นไรนั้นไม่ต้องกล่าว แต่ประสบการณ์ความรู้มีมากกว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง จึงรีบพาทั้งครอบครัวหนีออกมาก่อน ยามนี้มาอยู่ที่ซีเป่ยได้เดือนกว่าแล้ว เจตนาของพี่ใหญ่เจ้าคือจัดที่ทำมาหากินให้แก่พวกเขาโดยไม่ต้องบอกเจ้า ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็นบิดาของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเราก็หาที่หาทางให้เขาแล้ว เขาจำเป็นต้องอยู่ในเมืองอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว หากซี้ซั้วพูดอันใดออกไป ก็จะส่งผลต่อชื่อเสียงของติ้งอ๋องและเจ้าได้ เมื่อไม่กี่วันก่อนไม่รู้ว่าพวกเจ้ากลับมาก็ไม่อะไร แต่ระยะนี้ได้ยินข่าวว่าเจ้ากลับมาแล้วจึงมาขอพบอยู่คราสองครา ก่อนหน้านี้ชิงเจ๋อขวางเอาไว้บอกว่าเจ้าเพิ่งจะกลับมาร่างกายยังอ่อนเพลีย แต่หากยังไม่ไปพบพวกเขาอีกเกรงว่าคงจะได้มาโหวกเหวกโวยวายเป็นแน่”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จึงได้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด หลีเอ๋อร์ทราบแล้ว พอกลับไปก็จะไปพบพวกเขาเจ้าค่ะ”
ฉินเจิงที่นั่งหยอกล้อกับเด็กๆ อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “หลีเอ๋อร์ แค่เจ้ากรมเยี่ย...นายท่านเยี่ยก็แล้วไปเถิด แต่ฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ย เยี่ยหวังซื่อและเยี่ยหรงนั่น เจ้าอย่าได้ไปเกรงใจพวกนางเชียว” เยี่ยหลีเลิกคิ้วกล่าว “เหตุใดเล่า เจิงเอ๋อร์ได้พบพวกนางแล้วหรือ” ฉินเจิงพยักหน้าตอบ “ใช่น่ะสิ ปีนี้เยี่ยหรงนั่นอายุได้สิบกว่าปีแล้ว ถูกเยี่ยหวังซื่อตามใจจนเสียคน มาอยู่เมืองหลีได้ไม่ถึงเดือนดีก็กล้าไปหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับหลานชายท่านแม่ทัพอาวุโสหยวน แต่ถ้าแค่เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด แต่สู้เขาไม่ได้ยังจะมาป่าวประกาศว่าพี่สาวตนเป็นถึงพระชายา คนของท่านแม่ทัพอาวุโสหยวนนับว่ารู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้างจึงไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป ขนาดเด็กน้อยที่อยู่ในเหตุการณ์เด็กนั่นก็ทำร้าย กลัวก็แต่จะมีคนมาว่ากล่าวหาบ้านเราเอา แล้วฮูหยินผู้เฒ่านั่นก็อีก แก่จนป่านนี้แล้วยังจะไปคบค้าสมาคมกับบรรดาฮูหยินในเมือง เอาฐานะเจ้าไปอวดผู้อวดคนทั้งในที่ลับที่แจ้ง” หลายปีที่ผ่านมานี้ฉินเจิงช่วยฮูหยินรองสวีดูแลบ้าน นิสัยคล่องแคล่วว่องไวกว่ายามอยู่ที่บ้านเดิมไม่น้อย นางกล่าวถึงตระกูลเยี่ยได้ไร้ความเกรงใจยิ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่มีความรู้สึกที่ดีต่อตระกูลเยี่ยแม้แต่น้อย