ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 323-1 ความแตกต่างของตระกูลเยี่ยกับตระกูลสวี
“ท่านพ่อ”
“ท่านปู่” พวกสวีหงอวี่สี่คนทำความเคารพท่านชิงอวิ๋นตามลำดับ ท่านชิงอวิ๋นมองลูกชายและหลานชายตรงหน้า รวมถึงหลานตัวน้อยอีกคนที่ถูกสวีชิงเฉินกอดไว้ในอก ความโกรธแต่เดิมที่มีต่อเยี่ยเหวินหวาจึงค่อยๆ หายไป เขาพยักหน้ากล่าวว่า “มานั่งคุยกันเถิด เฉินเอ๋อร์กลับมาตั้งแต่เมื่อใดหรือ” สวีชิงเฉินยิ้มกล่าว “เรียนท่านปู่ เมื่อครู่นี้เองขอรับ เพิ่งคุยกันว่าจะไปคารวะท่านปู่อยู่พอดี แต่ได้ยินว่ามีแขกมา ท่านพ่อกับลุงรอง น้องรองจึงมาพร้อมกันด้วยเลยขอรับ”
ท่านชิงอวิ๋นยิ้มพลางพยักหน้ากล่าวว่า “เจ้าลำบากเดินทางแล้ว กลับไปพักผ่อนดีๆ เถิด”
เพราะคนของตระกูลเยี่ยกำลังนั่งอยู่ สวีหงอวี่และคนอื่นๆ จึงมานั่งกันที่ตำแหน่งแขกอย่างทำอะไรไม่ถูก เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเพราะความอาวุโสจึงย่อมมิอาจลุกให้ผู้ใดนั่งได้ ยังดีที่เยี่ยเหวินหวาคลุกคลีอยู่ในวงการชนชั้นข้าราชการมาหลายสิบปีจึงรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงรีบลุกขึ้นสละที่นั่งให้แก่สวีหงอวี่ เยี่ยหวังซื่อ เยี่ยหลินและชายหนุ่มคนนั้นที่นั่งอยู่อีกด้านก็ลุกขึ้นตาม มีเพียงเยี่ยหรงที่ยังคงไม่รู้ประสีประสาจนเหลือทน บิดามารดาทั้งซ้ายทั้งขวาเห็นเขาไม่ลุกขึ้นตามก็โมโหเสียจนเยี่ยเหวินหวาสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด สวีหงอวี่ไม่สนใจสีหน้าของเยี่ยเหวินหวา ยกยิ้มประดับบนใบหน้ามองเยี่ยหรงแล้วกล่าวว่า “ตระกูลเยี่ยสั่งสอนได้ดีนัก”
ถูกคนใช้คำพูดแบบเดียวกันเอ่ยชมติดกันถึงสองครั้ง เยี่ยหรงก็ยิ่งยืดอกภาคภูมิใจ ไม่เข้าใจสีหน้าที่ดูไม่ได้ของบิดาเลยแม้แต่น้อย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแม้จะรู้ว่าไม่เหมาะสมแต่หลายปีมานี้มีเพียงเยี่ยหรงที่เป็นหลานชายเพียงคนเดียวของตระกูลเยี่ย จึงทั้งรักทั้งเอ็นดูอย่างสุดหัวใจ ไม่กี่ปีก่อนเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามีความคิดที่จะให้ลูกชายมีหลานให้อีกสักคน แต่หลายปีมานี้กลับไม่มีสัญญาณหรือวี่แววใดๆ เลย ความคิดนี้จึงค่อยๆ หายไป และนางรู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของหลานสาวตนจึงคิดว่าคงไม่ต้องเกรงใจอะไรมาก
เยี่ยหลีมองสีหน้าท่าทางของพวกคนตระกูลเยี่ยแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าอยู่ในใจ แม้นางจะมีปมกับตระกูลเยี่ยจริง แต่นางก็มิใช่คนประเภทได้ทีขี่แพะไล่เช่นนั้น หากเยี่ยเหวินหวาสั่งสอนให้เยี่ยหรงเป็นคนที่มีความสามารถได้ ก็มิใช่ว่าจะไม่มีโอกาสได้เชิดหน้าชูตาที่ซีเป่ย เสียดายที่ตระกูลเยี่ยเป็นเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังนัก แม้เยี่ยหลีจะไม่ออกหน้าให้ตระกูลเยี่ย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเป็นแม่พระไปคอยประคองญาติๆ ที่ประคองอย่างไรก็ไปไม่รอด เกรงว่าถึงเวลานั้นจะทำให้ตำหนักติ้งอ๋องเสื่อมเสียเปล่าๆ
สวีชิงเฉินหยอกล้อกับม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่บนตักพลางอมยิ้มมองเยี่ยเหวินหวา แล้วกล่าวว่า “ท่านเยี่ยมาที่เมืองหลีตั้งแต่เมื่อใดหรือ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเยี่ยเหวินหวาแข็งทื่อเล็กน้อย เมื่อก่อนยามพบหน้าสวีชิงเฉินยังเรียกเขาว่าอาเขยอย่างไว้หน้าอยู่บ้าง มายามนี้กลับไม่ไว้หน้ากันสักนิด สวีซื่อที่จากไปเมื่อนานมาแล้วกลับไม่ทิ้งบุรุษไว้ให้ตระกูลเยี่ยสักคน มีเพียงเยี่ยหลีสตรีเพียงคนเดียวที่เป็นลูกสาว ยามนี้เมื่อเยี่ยหลีก็แต่งงานออกไปนานแล้ว และตระกูลสวีไม่นับญาติกับตระกูลเยี่ยอีกก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่
“มาได้เดือนกว่าๆ แล้ว” เยี่ยเหวินหวายิ้มแข็งกระด้างตอบ
สวีชิงเฉินพยักหน้าเอ่ยว่า “ช่วงนั้นหลีเอ๋อร์และติ้งอ๋องออกไปรบอยู่นอกเมือง ข้าก็อยู่ไกลถึงด่านเฟยหง ท่านพ่อกับลุงรองก็งานล้นมือ หากมีอะไรที่ต้อนรับหรือดูแลท่านเยี่ยได้ไม่ดีก็โปรดอภัยด้วย” เยี่ยเหวินหวาไหนเลยจะกล้าถือสาที่ทั้งคู่ดูแลไม่ดี แม้ว่าเยี่ยเหวินหวาจะเป็นถึงราชเลขาในราชสำนัก แต่หลายครั้งที่อยู่ต่อหน้าสวีหงอวี่กลีบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย ถึงแม้จะอาการไม่รุนแรงเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าสวีหงเยี่ยน แต่กลับรู้สึกมีความละอายที่ติดตัวมาแต่กำเนิดอยู่หลายส่วน ดังนั้นสมัยที่อยู่ที่ฉู่จิงหลายปี ตำแหน่งและอำนาจของสวีหงเยี่ยนไม่สูงเท่าเขาที่เป็นทั้งราชเลขาซ้ำยังควบตำแหน่งบิดาของเจาอี๋ แต่เยี่ยเหวินหวาก็ไม่เคยเย่อหยิ่งต่อหน้าสวีหงเยี่ยนเลยสักครั้ง และด้วยเพราะเหตุนี้ เยี่ยเหวินหวาจึงไม่ชอบตระกูลสวีมาตลอด ไม่มีบุรุษที่ทะเยอทะยานคนใดชอบอยู่ต่ำกว่าคนนอกตระกูลขั้นหนึ่งหรอก น่าเสียดายที่ยามนี้เยี่ยเหวินหวาตำแหน่งต่ำกว่าตระกูลสวีหลายขั้นไปแล้ว
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าชิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น ได้รับการละเลยไปช่วงหนึ่งเท่านั้นจะนับเป็นอะไรได้ หลีเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ย่อมไม่เพิกเฉยต่อครอบครัวเดียวกันแน่นอน”
สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว มองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่งด้วยรอยยิ้มจางๆ นี่…รู้สึกว่าถูกละเลยแล้วหรือ
สวีหงอวี่เอ่ยถาม “ตระกูลเยี่ยตัดสินใจจะทำเช่นไรต่อไปหรือ”
เยี่ยเหวินหวากำลังอยากจะพูดอยู่พอดีแต่ให้พี่ใหญ่เป็นคนพูดขึ้นมาก่อนก็น่าจะดีกว่า ยังไม่ทันได้กล่าวก็ได้ยินเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มมองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้หลีเอ๋อร์ไม่อยู่ก็แล้วไปเถิด ยามนี้หลีเอ๋อร์ก็กำลังตั้งครรภ์แล้ว ซ้ำติ้งอ๋องก็ไม่อยู่ พวกเราย่อมต้องอยู่ดูแลหลีเอ๋อร์ที่ตำหนักอยู่แล้ว” สวีฮูหยินรองที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าก็พลันมีน้ำโห กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “ที่แท้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็มองว่าพวกเราเป็นเพียงของประดับเท่านั้นหรือ”
“ฮูหยิน” สวีหงเยี่ยนระงับความโกรธของสวีฮูหยินรองไว้ จริงจังกับตระกูลนี้ไปก็เสียเวลาเปล่า
สวีฮูหยินรองถูกคนหน้าด้านอย่างเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เดือดดาลเสียแล้ว แต่เมื่อถูกสามีปรามจึงได้ระงับความโกรธเอาไว้ได้ นางกวาดตามองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าคราหนึ่งอย่างเหยียดหยามโดยไม่พูดอะไร หากเป็นมารดาแท้ๆ ของเยี่ยหลี จะเข้ามาอยู่ที่ตำหนักเพื่อดูแลลูกสาวนั่นย่อมไม่แปลก ทว่าพาภรรยาน้อยที่ถูกเลื่อนขั้นให้ขึ้นมาเป็นภรรยาหลวงและครอบครัวทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านภรรยาหลวงคงมีเพียงเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นที่จะหน้าด้านเอ่ยขึ้นมาได้
อันที่จริงเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็ทราบดีว่าตนกล่าวประโยคนี้ไปย่อมถือเป็นการเสียมารยาท แต่จากประสบการณ์ทั้งชีวิตของนางก็สามารถกล่าวได้ว่าสรรพสิ่งล้วนไม่แน่นอน ปีนั้นนางเป็นเพียงแม่หม้ายที่หอบหิ้วลูกชายมาจากดินแดนทุรกันดารของต้าฉู่ จนต่อมาลูกชายสอบได้จิ้นซื่อ[1] ถูกตระกูลสวีเรียกว่าลูกเขย ชั่วพริบตาก็กลายเป็นญาติของตระกูลนักปราชญ์อันสูงส่ง ต่อมาอีกก็กลายเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนราชเลขา หลานสาวนางคนหนึ่งเป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ อีกสองคนเป็นพระชายาของท่านอ๋อง ช่างน่าภาคภูมิใจอย่างหาใดเปรียบ ต่อมาเยี่ยเหวินหวาถูกฮ่องเต้ถอดยศให้เป็นเพียงสามัญชน พวกนางก็กลับมาบ้านเกิดอีกครั้ง แม้ว่าทรัพย์สินครอบครัวจะยังนับว่าไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับคืนวันที่ฉู่จิงแล้วก็ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย เช่นนี้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจะสุขใจได้อย่างไร หลังจากมาถึงเมืองหลี แม้นางจะมีฐานะเป็นถึงท่านย่าของพระชายาติ้งอ๋อง แต่บรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลายในเมืองหลีกลับไม่ให้ความสำคัญกับนางมากเท่าที่ควร ฮูหยินของตระกูลสวีทั้งสองและฮูหยินที่แม้จะอายุยังน้อยอีกสองคนของตระกูลสวีก็ยังเป็นสตรีที่โดดเด่นจนคนอยากเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ทั้งหมดทั้งมวลนี้มิใช่เพราะว่าเยี่ยหลีที่เป็นถึงพระชายาติ้งอ๋องหรอกหรือ นี่ก็ยิ่งทำให้ความคิดของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่อยากจะย้ายเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋องมีเพิ่มมากขึ้น
เยี่ยหวังซื่อที่อยู่ด้านข้างแม้จะไม่ได้กล่าวอะไร แต่แค่เห็นสีหน้าท่าทางของนางก็รู้ได้ว่าสิ่งที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวมาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่นางคิดทั้งสิ้น ภายในโถงใหญ่นี้ นอกจากตระกูลเยี่ยแล้ว มีผู้ใดบ้างที่ไม่เจนโลก พวกเขาย่อมมองเจตนาของตระกูลเยี่ยออกอย่างชัดเจน จึงยิ่งเหยียดหยามตระกูลนี้เข้าไปใหญ่
ม่อตัวน้อยที่นั่งอยู่ในอ้อมอกของสวีชิงเฉินเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “ท่านแม่ ท่านตากับท่านย่าทวดจะย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเราหรือ”
เยี่ยหลีหัวเราะไม่ตอบคำพลางยิ้มตาหยีมองลูกชายแล้วเอ่ยถามว่า “ตัวน้อยชอบหรือไม่”
ม่อตัวน้อยลังเลครู่หนึ่งแล้วตอบอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่า “เหตุใดท่านตากับท่านย่าทวดต้องมาอยู่บ้านเราด้วย ไม่ใช่ว่าท่านลุงใหญ่เตรียมบ้านไว้ให้พวกเขาแล้วหรือ หรือว่าบ้านของพวกเขาพักอาศัยไม่ได้” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองม่อตัวน้อยด้วยความเอ็นดูแล้วยิ้มกล่าวว่า “ท่านแม่เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ทวดจะดูแลนางอยู่ที่นี่ อีกทั้งท่านตาเจ้าจะได้สอนเจ้าร่ำเรียนเขียนอ่าน เมื่อก่อนท่านตาเจ้าเป็นถึงจิ้นซื่อเชียวนะ แล้วน้าหรงของเจ้าก็ยังเล่นเป็นเพื่อนกับเจ้าได้อีกด้วย”
[1] จิ้นซื่อ ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับราชสำนัก หรือระดับราชวัง ที่จัดขึ้นทุก ๆ 3 ปี หากบัณฑิตคนใดสอบได้เป็นจิ้นซื่อ ก็เท่ากับมีโอกาสได้เป็นขุนนางในราชสำนักค่อนข้างแน่นอนแล้ว