ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 323-3 ความแตกต่างของตระกูลเยี่ยกับตระกูลสวี
เพียงแต่เสินเหลียงโชคร้ายไปสักหน่อย เดิมนึกว่าตระกูลเยี่ยมีลูกสาวเป็นถึงชายาติ้งอ๋อง ตนค้าขายนิดหน่อยและอยู่ที่เมืองหลีต่อให้ไม่ได้ประโยชน์อะไร พระชายาเห็นน่าจะแก่หน้าตระกูลเยี่ยและให้ความช่วยเหลือบ้างเล็กน้อย ไม่ด้านกำลังคนก็ต้องด้านกำลังทรัพย์ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าพอมาถึงเมืองหลีแล้วคนตระกูลเยี่ยกลับไม่ยอมแยกบ้าน ทั้งยังก่อเรื่องขึ้นไม่น้อย เนื่องจากเสินเหลียงเป็นบุตรสายรองของตระกูล ย่อมรู้จักอ่านสีหน้าท่าทางคนมาตั้งแต่เด็ก ไม่นานก็รู้ได้ว่าสายตาของพระชายาติ้งอ๋องนั้นคนตระกูลเยี่ยมิได้มีความสำคัญอย่างที่พวกเขาโอ้อวดไว้ ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจไปยั่วโมโหตำหนักติ้งอ๋องเข้าจนทำให้ตนโดนหางเลขไปด้วย คิดมาถึงตรงนี้ เสินเหลียงที่แรกเริ่มเดิมทีมีความคิดว่าจะเปิดร้านค้าขายสักสองร้านก็จำต้องหยุดพักไว้ก่อน รอดูสถานการณ์ต่อไปหากไม่ดีจริงๆ ก็เปลี่ยนเมืองเสีย ในดินแดนซีเป่ยมิได้มีเพียงเมืองหลีอยู่เมืองเดียวเสียหน่อย
เยี่ยหลีฟังเยี่ยเหวินหวาบอกเล่าเรื่องยิบย่อยไร้สาระจนจบอย่างสงบแล้วพยักหน้ามองเสินเหลียงยิ้มๆ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เปิดกิจการที่เมืองหลีเสียเถิด ที่เมืองหลีนี้อย่างอื่นแม้จะไม่ดี แต่ก็นับว่าสงบสุขกว่าที่อื่นอยู่บ้าง หากมีอะไรติดขัดก็ไปหาผู้นำตระกูลหานดู หลินเอ๋อร์เป็นน้องสาวต่างมารดาของข้า พวกเจ้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ข้าก็ย่อมดีใจ”
เสินเหลียงได้ยินดังนั้นก็รีบประสานมือคารวะเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “ขอบพระทัยพระชายา เมืองหลีเจริญรุ่งเรืองภายใต้การปกครองของท่านอ๋องและพระชายาเช่นนี้ ที่อื่นไหนเลยจะเปรียบได้” เสินเหลียงได้ยินพระชายาติ้งอ๋องกล่าวเช่นนี้ก็เบาใจลง เขาเข้าใจเจตนาของพระชายาแล้ว ตระกูลเยี่ยคนอื่นๆ เป็นคนอื่นสำหรับนาง นางไม่ระบายโทสะใส่เขา อีกทั้งหากมีที่ใดติดขัดนางก็ยังเห็นแก่เยี่ยหลินที่เป็นน้องสาวต่างมารดาและจะให้ความช่วยเหลือเล็กน้อย ขอเพียงแค่เขาตระหนักว่าอะไรเป็นอะไรก็พอ อันที่จริงเสินเหลียงแค่ได้ฟังประโยคเช่นนี้จากเยี่ยหลีก็พอใจมากแล้ว ตัวเขาเองเป็นเพียงบุตรสายรองเดิมทีก็มีชีวิตอย่างยากลำบาก แม้จะไม่ได้ร่ำรวยมากมายแต่ก็ไม่อยากตกกะไดพลอยโจนไปกับบ้านพ่อตาด้วย เมื่อเห็นแววตาอิจฉาเล็กน้อยของภรรยาที่มองพระชายาอยู่ เขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่ากลับไปจะต้องควบคุมดูแลนางให้ดี ไม่ให้นางไปก่อเรื่องวุ่นวายตามสองคนนั้นของตระกูลเยี่ยเด็ดขาด
“หลีเอ๋อร์…” เยี่ยหวังซื่อที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างมาโดยตลอดเงียบต่อไปไม่ไหว ในที่สุดก็เอ่ยปากเรียกขึ้น เยี่ยหลีเลิกคิ้วอย่างเย็นชา ชิงซวงที่ยืนอยู่ด้านหลังนางกลับทนไม่ไหวอีกต่อไป อ้าปากกล่าวว่า “เยี่ยฮูหยิน เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและนายท่านเยี่ยล้วนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของพระชายาก็แล้วไปเถิด แต่ท่านไม่มีความสัมพันธ์ใดกับพระชายา ท่านเรียกเพียงชื่อเล่นของพระชายาออกมาเช่นนี้เกรงว่าคงจะไม่เหมาะสม”
เยี่ยหวังซื่อหน้าแดง ฝืนยิ้มกล่าวว่า “แม่นางกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร ข้าเป็นแม่เลี้ยงของพระชายา เหตุใดจะเรียกชื่อเล่นนางมิได้”
ชิงซวงหัวเราะเย็นชากล่าวว่า “เยี่ยฮูหยินเป็นเพียงภรรยาน้อยที่ได้เลื่อนขั้นมาเป็นภรรยาหลวง ตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงสักหน่อยล้วนไม่ยอมรับการเลื่อนขั้นภรรยาน้อยมาเป็นภรรยาหลวง เช่นนี้คงจะนับว่าเป็นแม่เลี้ยงไม่ได้กระมัง ฝืนนับได้แค่เพียงมารดาสายรองเท่านั้น พระชายาของเรายามนี้เป็นถึงชายาของติ้งอ๋อง เป็นบุตรสาวสายหลักของตระกูลเยี่ย ท่านมีสิทธิ์อะไรมาเรียกขานเช่นนี้ เมื่อก่อนไม่รู้หลักรู้เกณฑ์ก็แล้วไปเถิด อาศัยว่ามีลูกสาวอย่างเจาอี๋คนอื่นจึงไม่กล้าพูดตรงๆ คิดไม่ถึงว่ามาวันนี้เยี่ยฮูหยินก็ยังไม่รู้หลักมารยาทอีก” หากไม่บอกว่า เรื่องตระกูลเยี่ยในคราแรกทำได้อย่างไม่เหมาะไม่ควรนัก แม้จะบอกว่าต้าฉู่ไม่เหมือนราชวงศ์ก่อนที่ห้ามมิให้เลื่อนขั้นภรรยาน้อย แต่ผู้นำของตระกูลที่มีชื่อเสียงล้วนไม่ยอมรับและไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน ดังนั้นสมัยที่อยู่ในฉู่จิงในปีนั้น แม้ตระกูลใหญ่จะไม่กล่าวอะไร แต่ความจริงแล้วกลับดูถูกเยี่ยหวังซื่อกันในที่ลับ
เยี่ยหวังซื่อถูกชิงซวงแทงโดนจุดเจ็บ[1] อย่างไม่ไว้หน้า สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้ นางท่าทางอับอาย กำลังครุ่นคิดว่าจะกล่าวอะไร เยี่ยเหวินหวาที่อยู่ข้างๆ ก็พลันเอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า “เรียกพระชายา”
แม้เยี่ยหวังซื่อจะไม่เต็มใจแต่ก็ไม่กล้าเถียงสามีต่อหน้าแม่สามี จึงเอ่ยเรียกพระชายาคำหนึ่งเบาๆ
เยี่ยหลีพยักหน้ากล่าวเสียงเรียบ “หวังฮูหยินมีอะไรจะกล่าวหรือ”
เยี่ยหวังซื่อมุมปากหุบลง สีหน้ายิ่งแข็งทื่อขึ้นไปอีก คนอื่นเรียกนางเยี่ยฮูหยินก็แล้วไปเถิด แต่เยี่ยหลีกลับเรียกนางว่าหวังฮูหยินอยู่คนเดียว นี่มันเหมือนการเรียกนางว่าหวังซื่อเฉยๆ ชัดๆ แม้ในใจจะเกลียดชังสุดแสนแต่หวังซื่อก็ทำได้เพียงข่มความโกรธเอาไว้ในใจแล้วยิ้มกล่าวว่า “พระชายา คือเช่นนี้เพคะ น้องชายท่านยามนี้ก็ใกล้วัยสวมมงกุฏ[2]แล้ว แต่ยังว่างงานอยู่กับบ้าน ดังนั้นข้าจึงอยากรบกวนพระชายาหาตำแหน่งให้เขาหน่อยได้หรือไม่ ให้เขาได้ก้าวหน้าไปด้วยสักนิด” ฟังจบ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็ใจพลันกระตุก นางเงยหน้ามองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่
เยี่ยหวังซื่อส่งสายตาไปให้เยี่ยหรง อาจเพราะก่อนจะมาได้กำชับให้เยี่ยหรงอย่าก่อเรื่องอีก เขาจึงเอ่ยเรียกเยี่ยหลีอย่างเชื่อฟังว่า “พี่สาม หรงเอ๋อร์โตขึ้นจะช่วยแบ่งเบาภาระพี่สามกับพี่เขยเอง”
เยี่ยหลีหุบยิ้มมองเยี่ยหรงที่อ้วนเทอะทะตรงหน้า ยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ เอ่ยถามว่า “อ้อ เช่นนั้น…หรงเอ๋อร์เจ้าอยากจะทำอะไรหรือ”
เยี่ยหรงดวงตาเป็นประกาย ตอบอย่างปรีดาว่า “หรงเอ๋อร์อยากเป็นหัวหน้าองครักษ์ของเมือง!”
ฉินเฟิงที่อยู่ด้านหลังเยี่ยหลีมุมปากกระตุกอย่างไม่ทันมีใครเห็น มองพิจารณาหมูอ้วนเยี่ยหรงอยู่ในใจว่า อย่างเจ้ายังคิดอยากจะเป็นหัวหน้าของทหารรักษาการณ์แห่งเมืองหลีอีกหรือ สุ่มเอาพลทหารในเมืองสักคนมก็ทุบเจ้าจนลุกไม่ขึ้นได้แล้ว
เยี่ยหลียิ้มบางๆ กล่าวว่า “มีปณิธานแน่วแน่เพียงนี้เชียว เหตุใดเจ้าถึงอยากเป็นหัวหน้าองครักษ์เล่า”
เยี่ยหรงตอบอย่างภาคภูมิใจว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเจอเด็กน้อยคนหนึ่ง ได้ยินว่าเป็นหลานชายของท่านแม่ทัพอะไรสักอย่าง ไว้รอให้ข้าได้เป็นหัวหน้าองครักษ์แล้ว ข้าจะพาคนไปสั่งสอนให้หลาบจำสักยก!”
“หรงเอ๋อร์!” เยี่ยหวังซื่อตะคอก จะทำอย่างไรได้เมื่อเยี่ยหรงพูดอย่างตื่นเต้นยินดีจนเกินไปจึงไม่ได้ยินที่หวังซื่อเรียกสักนิด
“เดรัจฉาน!” เยี่ยเหวินหวาเอ่ยตำหนิอย่างเดือดดาลและหวั่นวิตก
เยี่ยหลีหรี่ตาลงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “พาคนไปสั่งสอนให้หลาบจำสักยก เจ้ารู้หรือไม่ว่าโทษที่หัวหน้าองครักษ์พาคนไปก่อเรื่องคือโทษใด”
เยี่ยหรงตกใจ คิดไม่ถึงว่าพาคนไปทุบตีใครแล้วจะถูกลงโทษ “คือโทษใดหรือ”
“โทษประหาร!” เยี่ยหลีกล่าวเสียงเย็นเยียบ “จะว่าไปแล้ว ข้าก็นึกขึ้นมาได้เรื่องที่เจ้าลงไม้ลงมือกับหลานชายท่านแม่ทัพหยวนเมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ายังมิได้ถามไถ่เลยว่าผู้ใดให้เจ้ากำเริบเสิบสานไปก่อเรื่องอย่างเหิมเกริมแล้วเอ่ยอ้างนามของตำหนักติ้งอ๋องที่เมืองหลีแห่งนี้หรือ!?” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ารีบเอ่ยขึ้น “หลีเอ๋อร์ นี่มิใช่ความผิดของหรงเอ๋อร์ เห็นๆ กันอยู่ว่าอีกฝ่ายอาศัย…”
เยี่ยหลีหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “ท่านย่า ท่านคงจะรู้ว่าหลานชายของแม่ทัพหยวนปีนี้อายุเพิ่งจะสิบขวบ เยี่ยหรงอายุเท่าใดแล้ว แค่เด็กสิบขวบยังสู้มิได้ยังจะกล้าเอ่ยอ้างนามของตำหนักติ้งอ๋องไปกลั่นแกล้งข่มขู่คนเขาอีกหรือ แม่ทัพหยวนอายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้วยังเสี่ยงชีวิตรบทัพจับศึกเพื่อตำหนักติ้งอ๋องอยู่เลย แต่สุดท้ายหลานชายเขากลับถูกคนของพระชายาติ้งอ๋องรังแกอยู่ในเมืองหลี? ท่านจะให้ข้าเอาหน้าที่ไหนไปพบท่านแม่ทัพอีก!?” เยี่ยหลีกล่าวพลางตบโต๊ะด้วยความโมโหที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เสียง ‘ปั้ง’ ดังขึ้นทำเอาเยี่ยหรงตกใจอย่างหนัก
เยี่ยหรงถึงจะตกใจแต่ก็ยังคงกุมหัวกล่าวว่า “ก็มิใช่ความผิดข้าอยู่ดี ผู้ใดให้ไอ้เด็กนั่นขวางทางข้ากันล่ะ ข้ากำลังรีบไป…”
เพี้ยะ! เยี่ยเหวินหวาทนไม่ได้ในที่สุดจนลงมือตบหน้าเยี่ยหรงฉาดใหญ่ หลังจากที่เขามาถึงเมืองหลี นอกจากมาที่ตำหนักติ้งอ๋องสองครั้งก็ไม่ออกไปไหนอีกเลยจึงไม่รู้มาก่อนว่ามีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น “เดรัจฉาน! ยังไม่หุบปากอีก!”
“นายท่าน นี่ท่าน…” เยี่ยหวังซื่อเห็นลูกชายโดนตบไหนเลยจะยอมเลิกราง่ายๆ
“หุบปาก!” เยี่ยเหวินหวากวาดตามองเยี่ยหวังซื่ออย่างเย็นชาคราหนึ่งแล้วหันไปกล่าวกับเยี่ยหลีว่า “หลีเอ๋อร์ เป็นเพราะพ่ออบรมสั่งสอนเดรัจฉานนี่ไม่ดี วันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อน ร่างกายเจ้า…พักผ่อนเถิด พวกเราไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว”
กล่าวจบก็เดินนำออกไปโดยไม่สนใจสีหน้าของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและเยี่ยหวังซื่อแม้แต่น้อย เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าแม้จะไม่พอใจแต่สุดท้ายลูกชายคือคนที่นางต้องพึ่งพาจึงทำได้เพียงเดินตามออกไป
เยี่ยหวังซื่อก็ลากลูกชายเดินออกไปทั้งน้ำตา
[1] แทงโดนจุดเจ็บ การกล่าวถึงจุดอ่อน ข้อเสียหรือความผิดของผู้อื่น
[2] วัยสวมมงกุฎ เด็กชายจีนเมื่อมีอายุครบ 20 ปีเต็ม ก็จะมีพิธีสวมมงกุฎเพื่อเป็นการชี้ว่าชายคนนี้เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว