ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 324-1 การแก้แค้นของติ้งอ๋อง
พอส่งคนตระกูลเยี่ยกลับไปแล้วฉินเฟิงจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดพระชายาต้องเกรงอกเกรงใจพวกเขาเช่นนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ฉินเฟิงมาติดตามรับใช้เยี่ยหลีช้าไปสักหน่อย แม้จะไม่ค่อยเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเยี่ยกับเยี่ยหลีเมื่อก่อนเท่าใดนัก แต่ก็พอจะมองออกว่าความรู้สึกที่พระชายามีต่อตระกูลเยี่ยนั้นไม่มากมายลึกซึ้งเท่ากับที่ให้ตระกูลสวี ซ้ำยังมีความรำคาญแฝงไว้อีกด้วย ฉินเฟิงคิดว่าในเมื่อพระชายาไม่ชอบคนตระกูลเยี่ยก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา จับพวกเขาโยนออกไปทอดทิ้งไว้ก็สิ้นเรื่อง
เยี่ยหลีโบกมือกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ว่าอย่างไรตระกูลเยี่ยกับข้าก็ยังเป็นญาติที่มีสายเลือดเดียวกัน หากผลีผลามทำอะไรลงไปจะทำให้คนนอกมองว่าตำหนักติ้งอ๋องใจดำอำมหิต อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ก่อคลื่นลมอะไรมิได้ ส่งคนไปแอบจับตามองเอาไว้ หากเยี่ยหรงยังกล้าก่อเรื่องอะไรในเมืองหลีอีกก็ไม่ต้องเกรงใจ จัดการสั่งสอนได้เลย”
ฉินเฟิงพยักหน้ารับแล้วออกไปสั่งคนให้คอยสังเกตความเคลื่อนไหวในจวนตระกูลเยี่ยเอาไว้
ทางด้านตระกูลเยี่ยพอกลับมาถึงจวนตระกูลเยี่ยแล้วก็กลับไม่สงบสุข เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโกรธเกรี้ยวที่เยี่ยหลีไม่กตัญญูรู้คุณ ส่วนเยี่ยหวังซื่อก็ร้องไห้คร่ำครวญว่าเยี่ยหลีไม่สนใจพี่น้องตัวเอง โวยวายกันเสียจนเยี่ยเหวินหวาปวดเศียรเวียนเกล้าไปหมด เสินเหลียงมองดูครู่หนึ่งก็ลากเยี่ยหลินที่ทำท่าจะพูดอะไรกลับเรือนตัวเองไป แต่ในใจกลับตั้งใจว่าอีกสองวันจะย้ายออกจากจวนตระกูลเยี่ยไปหาเรือนสักหลังที่เล็กกว่านี้หน่อยจึงจะเหมาะที่จะเริ่มเปิดกิจการของตัวเอง หากอยู่ที่จวนตระกูลเยี่ยต่อไป เกรงว่าทรัพย์สินที่ติดตัวตนมา ต่อให้จะโชคดีมีเพิ่มขึ้น ก็คงได้กลายไปเป็นชุดแต่งงานของเยี่ยหรงไป
เยี่ยเหวินหวานวดจุดไท่หยาง[1]พลางกล่าวเสียงเคร่งขรึมว่า “เอาล่ะ เราอยู่เมืองหลีมาหลายวันเช่นนี้ ตำหนักติ้งอ๋องก็มิได้ปฏิบัติต่อเราไม่ดี พวกเจ้าก็หยุดได้แล้วไม่ได้หรือไง” ความจริงแล้วหากจะกล่าวว่าเยี่ยเหวินหวาไม่มีใจคิดทะเยอะทะยานในตอนนั้นก็คงไม่ถูก หากคราแรกเขาไม่ทะเยอะทะยานก็คงจะไม่ปล่อยให้เยี่ยหวังซื่อควบคุมเยี่ยอิ๋งให้ไปสมคบคิดกับม่อจิ่งหลี แต่หลายปีมานี้ที่กลับไปอยู่บ้านเกิด พอได้จากเมืองหลวงอันรุ่งเรืองเช่นนั้นไปก็ทำให้จิตใจที่ลุ่มหลงได้รู้สึกตัวขึ้นมาอย่างมาก หลายปีมานี้เยี่ยเหวินหวาครุ่นคิดได้หลายเรื่อง คราแรกหากไม่ใช่เพราะมีลูกสาวอย่างเยี่ยหลีอยู่ ก็อย่าว่าแต่ครอบครัวเขาแค่ถูกถอดยศให้เป็นสามัญชนธรรมดาเลย จะมีชีวิตรอดออกมาจากเมืองหลวงหรือไม่ก็ยังไม่รู้
ย้อนคิดไปได้ว่าปีนั้นบัณฑิตยาจกอย่างเขาใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้ขึ้นนั่งตำแหน่งราชเลขา ช่วงหลังแน่นอนว่าเป็นเพราะผลงานของตนเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ในช่วงแรกกลับหนีไม่พ้นการสนับสนุนของตระกูลสวี หากไม่มีตระกูลภรรยาอย่างตระกูลสวีคอยอยู่เบื้องหลังสนับสนุนแล้ว คงจะถูกบรรดาชนชั้นสูงในเมืองหลวงดูถูกบัณฑิตยาจกอย่างเขาไปแล้ว ดังนั้นจึงยิ่งรู้สึกผิดต่อภรรยาที่ล่วงลับไปแล้วผู้นั้นของเขาและยิ่งอับอายต่อเยี่ยหลีลูกสาวคนนี้มากขึ้น เมื่อได้ยินเรื่องราวที่เยี่ยหลีได้กระทำมาในหลายปีนี้ แม้ว่าเขาจะต้องยอมรับในความสามารถและความอดทนของลูกสาวคนนี้ที่เขาไม่เคยให้ความสำคัญมาก่อนเลย แต่ในใจที่รู้สึกเจ็บปวดและละอายนี้ ก็มีความภาคภูมิใจขึ้นมาไม่น้อย
เสียงร้องไห้ดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโมโหจนหน้าแดงคล้ำ นางชี้หน้าเยี่ยเหวินหวาแล้วกล่าวว่า “มิได้ปฏิบัติต่อเราไม่ดี? เจ้าดูสิว่าตำหนักติ้งอ๋องเป็นเช่นไร แล้วดูเรือนของพวกเราว่าซอมซ่อเพียงใด เจ้าดูคนตระกูลสวีพวกนั้นว่าเป็นเช่นไร เจ้าที่เป็นถึงบิดากลับเป็นเช่นไร ในเมืองหลีนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่ดูถูกคนเป็นบิดาของพระชายาติ้งอ๋องอย่างเจ้า” เยี่ยหวังซื่อรีบเดินเข้ามาเอ่ยขึ้น “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวถูกแล้วเจ้าค่ะ หรงเอ๋อร์เป็นน้องชายแท้ๆ เพียงคนเดียวที่พระชายามี แต่ยามนี้ขนาดแค่หลานชายแม่ทัพก็ยังเทียบไม่ได้ ข้าก็มิอาจมีหน้าไปพบใครแล้ว…”
“ไม่มีหน้าไปก็ไม่ต้องออกไป!” เยี่ยเหวินหวากล่าวอย่างหัวเสีย ที่มารดากล่าวนั้นเหตุใดเขาจะไม่รู้ แต่ตระกูลเยี่ยต้องมีความสามารถให้เหมือนตระกูลสวีเช่นนั้นจึงจะได้ บรรดาพี่น้องตระกูลสวีมีคนใดบ้างที่ไร้ความสามารถ ขนาดสวีชิงเหยียนน้องคนสุดท้องที่อายุก็ไปที่ซีเป่ยตอนอายุได้สิบกว่าปีเท่านั้น ไม่มีคนไหนอยู่เสวยสุขที่เมืองหลีสักคน หากเยี่ยหรงมีความสามารถจริงๆ ต่อให้มิใช่น้องชายแท้ๆ ของพระชายาติ้งอ๋อง มีหรือที่ตำหนักติ้งอ๋องจะปฏิเสธ
“ล้วนเพราะสตรีโง่เขลาอย่างเจ้าที่ให้ท้ายไอ้เดรัจฉานนี่!” เยี่ยเหวินหวาคิดมาถึงตรงนี้สีหน้าก็ยิ่งไม่น่าดู เห็นเยี่ยหรงที่นั่งอีกด้านหน้าตาไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ในใจก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นมาจนหายใจฟึดฟัด คว้าเอาไม้ขนไก่ที่วางอยู่ไม่ไกลขึ้นมาตีลงบนตัวเยี่ยหรง เยี่ยหรงไม่ทันระวังตัว ถูกตีเข้าอย่างจังพลันร้องคร่ำครวญออกมาทันใด ปากร้องไม่หยุดว่า “ท่านย่าช่วยข้าด้วย ท่านแม่ช่วยข้าที...เยี่ยเอ๋อร์จะตายแล้ว…” เยี่ยหวังซื่อที่เจ็บปวดใจและเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ารีบเข้ามาดึงเยี่ยเหวินหวาเอาไว้ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าด่าทออย่างโมโหว่า “เจ้าทำอะไร เจ้าทำเพื่อนังเด็กที่ออกเรือนไปแล้วอย่างเยี่ยหลีคนนั้นจนถึงกับต้องลงไม้ลงมือตีลูกชายให้ตายเลยหรือ เจ้าไม่อยากมีทายาทไว้สืบตระกูลเยี่ยต่อไปแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นเจ้าก็รีบตีนังแก่อย่างข้าให้ตายไปแทนเสีย!”
เยี่ยหวังซื่อกอดลูกชายร้องไห้โฮๆ “นายท่าน...จิตใจท่านช่างโหดร้ายนัก พระชายาติ้งอ๋องเป็นลูกสาวแท้ๆ ของท่าน แล้วหรงเอ๋อร์มิใช่ลูกชายแท้ๆ ของท่านหรือ”
เยี่ยเหวินหวาที่ฟังเสียงร้องให้โวยวายตรงหน้าแล้วเห็นรอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องของเยี่ยหรงที่ปรากฏบนใบหน้าก็พลันไร้เรี่ยวแรง เขาที่ไม่เคยระเบิดโทสะต่อหน้ามารดาและภรรยาเลยสักครั้งในชีวิต มาครานี้ก็ยังคงพ่ายแพ้อีกอยู่ดี เขาโยนของในมือทิ้งไปอย่างหดหู่พลางสะบัดแขนเสื้อกลับเรือนตนไปอ่านหนังสือ
ด้านนอก เสินเหลียงและเยี่ยหลินยืนฟังเสียงร้องไห้โวยวายที่ดังออกมาจากด้านในด้วยกัน เสินเหลียงก้มหน้ามองภรรยาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าดูที่นี่สิ เจ้ายังจะอยู่ที่นี่ต่ออีกไปหรือ” เยี่ยหลินทำปากพะเยิบพะยาบในใจไม่เป็นสุข อยู่ที่นี่ต่อนางก็ยังเป็นน้องสาวตระกูลเยี่ยของพระชายาติ้งอ๋อง แต่ย้ายออกไปแล้วก็กลายเป็นเพียงภรรยาของบุตรชายสายรองตระกูลเสินที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม จากนิสัยของเสินเหลียงแล้วต้องไม่ยอมให้นางป่าวประกาศความสัมพันธ์ของนางกับพระชายาติ้งอ๋องเป็นแน่ สำหรับพี่สามท่านนั้นของนาง ในใจเยี่ยหลินมีความอยากเอาชนะและไม่ชอบใจต่อนางมาโดยตลอด เป็นบุตรสาวตระกูลเยี่ยเหมือนกันแท้ๆ ก่อนเยี่ยหลีจะออกเรือนยังไร้สง่าราศีเทียบนางก็ไม่ได้ แต่เพียงเพราะนางมีมารดาแซ่สวี โชคชะตาจึงได้แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเช่นนี้น่ะหรือ
“แม้ว่าข้าจะไม่สนิทคุ้นเคยกับพระชายาติ้งอ๋อง แต่เรื่องที่นางทำพวกนั้นเจ้าทำได้หรือ หากคราแรกเจ้าแต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องไป ยามนี้เจ้าจะมีฐานะเหมือนนางได้หรือ” เสินเหลียงกล่าวอย่างไม่ถนอมน้ำใจ สำหรับเขาใช่ว่าจะไม่พอใจภรรยาของตนคนนี้สักเท่าใด ทั้งสองเป็นสายรองเช่นกัน ในใจไม่เป็นสุขย่อมเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ ทว่าหากไม่รู้ฐานะตัวเองให้ชัดเจนนั่นจะแย่เอาได้
เยี่ยหลินใจกระตุก แล้วมิใช่หรือ คราแรกก่อนที่เยี่ยหลีจะแต่งออกไปมิใช่ว่านางยินดีพอใจในความลำบากของเยี่ยหลีหรือ เรื่องราวหลังจากเยี่ยหลีกลายเป็นพระชายาติ้งอ๋อง…เยี่ยหลินคิดใคร่ครวญครู่หนึ่ง หากเป็นนางล่ะก็เกรงว่าป่านนี้คงได้ตายไปนานแล้ว คิดมาถึงตรงนี้ ความไม่พอใจก็ราวกับไม่ได้มากมายเช่นนั้นอีก อันที่จริงเรื่องเหล่านี้เยี่ยหลินรู้ดีมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่อยากจะยอมรับเท่านั้น ยามนี้เมื่อมีคนกล่าวเตือนสติไม่นานนางก็คิดได้ เยี่ยหลินเงยหน้ามามองแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปกับเจ้า พวกเราย้ายออกไปกันเถิด” อันที่จริงนางก็ไม่อยากอยู่ที่นี่ดูสีหน้าของหวังซื่อทุกวัน คอยดูแลหวังซื่อกับเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอย่างกับคนรับใช้ก็มิปานอยู่แล้ว
เรื่องของตระกูลเยี่ยลอยไปถึงหูเยี่ยหลีที่ตำหนักติ้งอ๋อง คนข้างกายนางเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วก็เดินออกไป ยามนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้ว แม้ว่าเยี่ยหลีจะมีครรภ์แต่เรื่องราวมากมายกลับไม่ยอมให้นางได้ลงมือทำ ทว่านางกลับยังคงอยู่เฉยมิได้
[1] จุดไท่หยาง จุดลมปราณที่อยู่บริเวณหางคิ้ว ซึ่งเป็นจุดที่ใช้ในการรักษาอาการปวดศีรษะรวมไปถึงใช้ในผู้ที่รู้สึกสายตาเมื่อยล้าได้อีกด้วย