ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 324-2 การแก้แค้นของติ้งอ๋อง
ตั้งแต่ม่อซิวเหยาไปถึงด่านเฟยหง ความกังวลที่จะถูกบุกยึดมาโดยตลอดก็พลันเปลี่ยนแปลงขึ้นทันที คนและม้าที่ล้อมด่านเฟยหงเอาไว้ทั้งสองทางถูกตีจนแตกพ่าย หลังจากฤดูหนาวอันเหน็บหนาวที่สุดได้มาเยือน การเคลื่อนไหวของทหารม้าเป่ยหรงก็ช้าลงมาก ในเขตแดนเป่ยหรงเมื่อเข้าถึงฤดูหนาวก็จะถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งจนไม่เห็นแม้แต่ยอดหญ้าเป็นพันๆ ลี้ แม้ว่าจะยึดครองดินแดนทางตอนเหนือของต้าฉู่มาได้ผืนใหญ่ แต่อย่างไรดินแดนพวกนี้ก็ถูกพวกเขาทำลายไปไม่น้อยมากว่าครึ่งปีแล้ว ดังนั้นพอเข้าสู่ฤดูหนาว เสบียงของทหารเป่ยหรงก็เริ่มจะขาดแคลน ม่อซิวเหยาตีทัพใหญ่ซีหลิงและเป่ยหรงที่ล้อมด่านเอาไว้จนล่าถอยไป แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังเมืองฉู่จิงที่อยู่ทางตะวันออกโดยไม่หยุดพัก ส่วนก่อนหน้านี้ทัพที่มีมู่หรงเจิ้นเป็นผู้นำมาก็ขยับบีบเข้าใกล้ฉู่จิงมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกองกำลังสามแสนนายของอีกทัพหนึ่งที่นำโดยหัวหน้าทัพนามเหอซู่ก็ได้เคลื่อนพลอ้อมฉู่จิงไปแล้ว อีกทั้งยังมีการปะทะกับกองทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งโดยตรง ตัดทางไปต่อของกองทัพใหญ่เป่ยจิ้งจากตรงกลางไป การปรากฏตัวของกองทัพใหญ่ทั้งสองนี้แม้ว่าจะมิอาจตีทัพที่ล้อมฉู่จิงอยู่ได้ แต่ก็ลดกำลังของศัตรูลงไปได้มาก ทำเอาทหารรักษาการณ์ของต้าฉู่ที่ปกป้องเมืองติดต่อกันมาเดือนกว่าถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
และขณะนี้ภายในดินแดนของเป่ยจิ้งก็เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น องค์หญิงของชนเผ่าเดิมในเป่ยจิ้งหรือพระชายาของเหรินฉีหนิงเป่ยจิ้งอ๋องคนปัจจุบันรวมทั้งลูกๆ ของนางได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหันภายในคืนเดียว แต่ที่น่าแปลกก็คือลูกๆ ของเหล่าสนมกลับปลอดภัยไร้เรื่องราว แม้คนเป่ยจิ้งจะกล้าหาญชาญชัยแต่ไม่ค่อยถนัดเรื่องใช้สมองนัก ทว่าก็มิใช่พวกโง่เขลาเบาปัญญา เพียงไม่นานภายในเป่ยจิ้งก็เริ่มมีข่าวลือว่าเหรินฉีหนิงแอบลอบสังหารพระชายาตัวเอง เพราะเดิมทีเหรินฉีหนิงก็มิใช่คนเป่ยจิ้ง อีกทั้งหลังจากที่เขารวบรวมเป่ยจิ้งเข้าไว้ด้วยกันแล้วก็แต่งตั้งคนจงหยวนขึ้นมาไม่น้อย ต้นตอแห่งความไม่ลงรอยกันระหว่างคนจงหยวนและคนเป่ยจิ้งก็ถูกฝังเอาไว้จำนวนมาก ยามนี้ดันมีเรื่องเช่นนี้แพร่สะพัดออกไปอย่างกะทันหันจึงยิ่งทำให้เหรินฉีหนิงปวดหัวไปพักใหญ่
แต่กระนั้น หลังจากเหรินฉีหนิงปิดข่าวลือพวกนี้เอาไว้ได้ยังไม่ทันถึงสอง ลูกสาวลูกชายและอนุที่เหลือของเขาก็ตายลงอีก ครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นฝีมือคนเป่ยจิ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ยังคิดว่าคนเป่ยจิ้งถูกใส่ร้ายอยู่ดี เขาทำได้เพียงปิดข่าวนี้อีกครั้ง มิฉะนั้นความขัดแย้งระหว่างชาวจงหยวนและเป่ยจิ้งที่จะเกิดขึ้นครั้งต่อไปคงรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าครั้งก่อน
ณ ห้องหนังสือ
เหรินฉีหนิงอ่านเทียบตรงหน้าที่ถูกส่งมาเมื่อครู่ด้วยท่าทางราวกับกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ เทียบสีดำลายทองแผ่นหนึ่ง ด้านหลังมีลายวาดเมฆมงคลและมังกรเหินสีทอง แต่เนื้อหาในเทียบกลับเรียบง่ายอย่างมาก มีเพียงไม่กี่คำเท่านั้น ‘ผู้ใดไม่หาเรื่องข้า ข้าก็ไม่หาเรื่องตอบ หากผู้ใดหาเรื่องข้า มันผู้นั้นต้องชดใช้เป็นพันเท่า’ ตัวอักษรขนาดใหญ่ไม่กี่บรรทัดที่งดงามดั่งหงส์ร่อนมังกรรำมองดูแล้วสง่าผ่าเผยมีอิสระและอันธพาล ยิ่งเป็นการยั่วยุที่ไม่ปิดบังใดๆ ทั้งสิ้น
เหรินฉีหนิงกัดฟันกรอด เขาม้วนเทียบอย่างแรงพริบตาก็กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ “ม่อซิวเหยา!” ใบหน้าสง่าและมีวิชาความรู้ของเหรินฉีหนิงไร้รอยยิ้มประดับอีกต่อไป เหลือเพียงสีหน้าบิดเบี้ยวและความเคียดแค้นอย่างสุดประมาณ การโจมตีอย่างฉับพลันของม่อซิวเหยาในครั้งนี้พอที่จะทำให้เหรินฉีหนิงเจ็บปวดรวดร้าวอย่างสุดแสน ไม่เพียงแต่พระชายาและอนุของเขาเท่านั้น ยังมีบุตรและธิดาของเขาทั้งหมดอีก บุตรสี่คนและธิดาอีกสี่คนล้วนไม่เหลือรอด เหรินฉีหนิงรู้ดีว่านี่เป็นการแก้แค้นเรื่องในซีหลิงครานั้นให้เยี่ยหลีของม่อซิวเหยา แต่มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่สนใจความเจ็บปวดของผู้อื่นจนตัวเองได้สัมผัสเองจึงได้รู้ว่ายากที่จะรับไหวเพียงใด
“คุณชาย” บุรุษที่ดูเหมือนว่าจะเป็นชาวจงหยวนสองสามคนยืนด้วยความเคารพอยู่ภายในห้องหนังสือ มองสีหน้าบิดเบี้ยวของเหรินฉีหนิงด้วยความกังวล พวกเขาคือทายาทขุนนางตระกูลหลินที่จงรักภักดีของราชวงศ์ก่อน หลังจากเหรินฉีหนิงวางรากฐานที่เป่ยจิ้งแล้ว ย่อมเอาพวกเขามาเป็นขุนนางแทรกซึมอยู่ในราชสำนักของเป่ยจิ้ง เทียบกับชาวเป่ยจิ้งที่สู้รบอย่างสุดชีวิตในสนามรบพวกนั้นแล้ว พวกเขาจึงจะเป็นคนสนิทที่เหรินฉีหนิงไว้วางใจ แม้จะเบื่อหน่ายกับการยืมมือพวกคนป่าเถื่อนอย่างเป่ยจิ้งมาทำงานใหญ่จะทำให้พวกคนจงหยวนที่โอ้อวดตนว่าเป็นผู้ปกครองที่แท้จริงไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ก็จนใจด้วยเพราะพวกเขาเกิดมาในเวลาที่ไม่เหมาะสม ร้อยปีมานี้จงหยวนมีตำหนักติ้งอ๋องคอยปกป้องดูแลมาโดยตลอด จนทำให้บรรพบุรุษของพวกเขาขยับตัวทำอะไรไม่ได้เลย ปีนั้นบังเอิญว่าหยวนชี่[1]ของติ้งอ๋องถูกทำลายอย่างหนักจึงทำให้พวกเขาสบโอกาสควบคุมเป่ยจิ้งทั้งหมดไว้ได้ มิเช่นนั้นยามนี้พวกเขาก็คงเป็นเพียงตระกูลทหารที่หลบอยู่ในเงามืดต่อไปเท่านั้น
เหรินฉีหนิงหัวเราะเสียงเย็นกล่าวว่า “เทียบที่ม่อซิวเหยาให้คนส่งมา คนของตำหนักติ้งอ๋องช่างใช้ทุกโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสียจริง…วิธีไม่เลว!”
หนึ่งในนั้นลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามว่า “เรื่องที่เกิดขึ้นกับเหล่าบุตรและพระชายาเป็นม่อซิวเหยาที่ทำหรือขอรับ ฆ่าล้างตระกูล…ม่อซิวเหยาช่างอำมหิตนัก!” ถึงแม้จะเป็นพวกเขาเหล่านี้ก็ยังอดใจสั่นกับความโหดเหี้ยมของม่อซิวเหยาไม่ได้ ช่วงก่อนหน้านี้ม่อซิวเหยาเพิ่งจะฆ่าชนชั้นสูงครึ่งหนึ่งของเมืองซีหลิงไป มายามนี้นึกไม่ถึงว่าจะสังหารคนของราชวงศ์เป่ยจิ้งทั้งหมดยกเว้นเพียงเหรินฉีหนิงเท่านั้น วิธีการเช่นนี้อดทำให้คนใจสั่นมิได้
“หรือม่อซิวเหยาจะเป็นห่วงพระชายาติ้งอ๋องจริงๆ หรือจะบอกว่าเขานิสัยเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่ได้ใช้ข้ออ้างนี้พอดี”
เหรินฉีหนิงเงียบไป ความจริงแล้วปีนั้นเขาเพียงแค่เห็นม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีที่ซีหลิงคราหนึ่งเท่านั้น แต่กลับรู้สึกถึงม่อซิวเหยาที่รักใคร่เยี่ยหลีได้อย่างชัดเจน และเนื่องจากตระกูลสวีที่หนุนหลังพระชายติ้งอ๋องอยู่มีอิทธิพลต่อตำหนักติ้งอ๋อง ดังนั้นเขาจึงลงมือกับเยี่ยหลี กลับนึกไม่ถึงว่าจะต้องมาชดใช้ด้วยชีวิตพระชายาและลูกๆ ของเขาจริงๆ
เงียบไปพักใหญ่เขาจึงได้ถามขึ้นว่า “การศึกที่ฉู่จิงเป็นเช่นไรบ้าง”
“เรียนคุณชาย เดิมทีกองทัพเราได้ล้อมฉู่จิงไว้เดือนกว่าแล้ว คาดว่าไม่กี่วันก็จะตีฉู่จิงให้แตกได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีกองกำลังมาจากที่ใด จู่ๆ ก็ตัดเส้นทางจกด่านจื่อจิงไปยังเมืองฉู่จิง กองกำลังนี้มีเพียงสองแสนนายเท่านั้น แต่ผู้นำทัพกลับไม่ธรรมดา ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเล็กๆ ตรงกลางสามเมืองคอยช่วยกันต้านทานเอาไว้ จนทำให้กองทัพของพวกเราเสียหายอย่างหนัก ที่สำคัญก็คือเขายึดพื้นที่ขวางทางอยู่ตรงกลาง กำลังเสริมและเสบียงของเราตามมาไม่ทัน เกรงว่าเวลาที่จะบุกตีฉู่จิงคงต้องเลื่อนออกไปก่อน” พวกเขาไม่เคยคิดว่ากองกำลังนั่นจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมดไปได้ ต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็มีคนเพียงแค่สองแสนนายเท่านั้น เทียบกับกองทัพใหญ่ของเป่ยจิ้งที่มีเกือบล้านนายอย่างไรก็ไม่ควรค่าแค่การสนใจ คงทำได้เพียงยืดเวลาที่พวกเขาจะตีเมืองให้แตกออกไปเท่านั้น
เหรินฉีหนิงขมวดคิ้วเล็กน้อยถามว่า “ผู้นำทัพเป็นใคร” ตามที่เขารู้นั้น เดิมทีต้าฉู่ไม่มีแม่ทัพใหญ่ที่สามารถรบทัพจับศึกได้มากมายนัก อีกทั้งส่วนใหญ่ถูกม่อจิ่งหลีพาไปเจียงหนานแล้ว เหลิ่งหวายที่เดิมรักษาการณ์อยู่ที่ด่านจื่อจิงกับคนอื่นๆ ยามนี้ก็ถูกล้อมอยู่ที่ฉู่จิ่จนงมิอาจออกมานำทัพได้
ชายวัยกลางคนส่ายหน้ากล่าว “รู้เพียงว่าคนผู้นี้นามว่าเหอซู่ ยามนี้ใต้หล้าวุ่นวาย ม่อจิ่งหลีออกจากฉู่จิงก็พาคนไปด้วยไม่น้อย คนของเราจึงตรวจสอบที่มาที่ไปของเหอซู่ผู้นี้ไม่พบ”
“ตรวจสอบไม่พบหรือ” เหรินฉีหนิงลูบคาง ถามอย่างมีความคิดอะไรในใจว่า “เช่นนั้น…จะเป็นคนของม่อซิวเหยาได้หรือไม่”
“นี่มัน…” ทุกคนเงียบกริบ มองหน้ากันอย่างสงสัย แม้กองกำลังพวกนั้นจะไม่เหมือนทหารตระกูลม่อ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตำหนักติ้งอ๋องจะแอบซ่อนกองกำลังอะไรไว้หรือไม่ อีกทั้งการสังหารที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ เห็นได้ชัดว่าอยากจะถ่วงเวลาในการตีเมืองฉู่จิงของเป่ยจิ้งออกไป และยามนี้ม่อซิวเหยาก็เดินทัพมาฉู่จิงแล้วเช่นกัน ดังนั้นหากจะกล่าวว่าม่อซิวเหยากำลังซื้อเวลาก็คงไม่ผิด
เหรินฉีหนิงหยัดตัวขึ้นกล่าวว่า “สั่งการออกไปว่าให้รีบรวบรวมกองทัพทั้งหมด กองกำลังนั่นต้องถูกข้าตีแตกภายในสามวันแล้วเข้าโจมตีฉู่จิงต่อ เราต้องยึดฉู่จิงมาให้ได้ก่อนที่กองทัพใหญ่ของม่อซิวเหยาจะมาถึง” ทุกคนรับคำ “คุณชาย ท่านคิดเห็นเช่นไร” เหรินฉีหนิงหรี่ตาพลางกล่าวเสียงเย็นว่า “ม่อซิวเหยาอยากจะได้ฉู่จิง ก็ต้องดูว่าข้าจะให้หรือไม่ให้ ให้คนไปส่งสารแก่องค์ชายเจ็ดแห่งเป่ยหรงว่าสิบวันหลังจากนี้ข้าจะขอเชิญให้มาที่ด่านจื่อจิง”
[1] หยวนชี่ ฐานลมปราณ