ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 325-2 ฉู่จิงแตก
ลากยาวมาจนถึงวันที่เก้าเดือนหนึ่ง ฉู่จิงได้ปกป้องเมืองจากเป่ยจิ้งเป็นเวลาสามเดือนสิบวัน นับเป็นวันทั้งหมดหนึ่งร้อยสามวันแล้ว บางทีเหล่าทหารเป่ยจิ้งคงจะรู้ว่าฉู่จิงได้เป็นลูกธนูที่สุดแรงบินแล้วจึงได้ผลัดกันเข้าโจมตีอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ยิ่งโจมตีก็ยิ่งฮึกเหิม เหลิ่งหวายกับฮว่ากั๋วกงที่อยู่บนกำแพงเมืองยืนขึ้นเคียงไหล่กัน สีหน้าเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความทุกข์ยากลำบาก ด้านหลังพวกเขาคือแม่ทัพหนุ่มอย่างเหลิ่งเฮ่าอวี่ เหลิ่งฉิงอวี่ และเว่ยลิ่น เหลิ่งเฮ่าอวี่ที่แต่ไหนแต่ไรมายิ้มแย้มแจ่มใสก็ปรากฏสีหน้านิ่งขรึมขึ้นมาหลายส่วนอย่างหาได้ยาก
เหลิ่งหวายมองค่ายเป่ยจิ้งที่อยู่ห่างนอกเมืองไปไม่ไกลด้วยสายตาโหดเหี้ยมแล้วกล่าวอย่างจนใจว่า “ท่านกั๋วกง เกรงว่าจะต้านไว้ไม่อยู่เสียแล้ว…” น้ำเสียงไม่เพียงแต่แฝงไว้ด้วยความจนใจ ซ้ำยังมีความเสียดายเจืออยู่ด้วยเล็กน้อย พวกเขาต้านมาได้สามเดือนแล้วฉู่จิงยังไม่แตก ในฐานะแม่ทัพและขุนนางก็นับว่าไม่ละอายต่อต้าฉู่แล้ว เพียงแต่เสียดายที่สุดท้ายคงรอกำลังเสริมจากม่อซิวเหยาไม่ไหว
ใบหน้าชราของฮว่ากั๋วกงปรากฏความโศกเศร้าสายหนึ่ง เขามองธงที่ปลิวไสวอยู่ไกลๆ นั้น กล่าวด้วยเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า “หากฉู่จิงแตกพ่าย ผู่เฒ่าอย่างข้าก็ขอตายกลบไปกับฉู่จิง”
เหลิ่งหวายพยักหน้ากล่าว “ที่ท่านกั๋วกงกล่าวมานั้นถูกต้องที่สุด ข้าก็ตั้งใจไว้เช่นนั้นเช่นกัน หากเมืองยังอยู่คนก็อยู่ หากเมืองแตกพ่ายก็จะตายไปพร้อมกับเมือง!”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เดินลงกำแพงเมืองไปอย่างช้าๆ ยามนี้สถานการณ์ยุ่งยากอยู่มาก หากเขาอยากหนีไปเพียงคนเดียวย่อมไม่ยาก แต่ระยะเวลาหลายเดือนที่ปกป้องเมืองมาเขาก็ผ่านเรื่องราวมามากมายเช่นกัน หลังจากได้เป็นแม่ทัพแม้เขาจะไม่เคยเข้าสนามรบมาก่อน แต่ยามนี้จะให้เขาทิ้งพี่น้องที่เคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแล้วหลบหนีไปก็มิอาจจะทำได้ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาและภรรยาของเขาต่างยังอยู่ในเมือง “ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ หากท่านยังไม่มาล่ะก็เหลิ่งเอ้อร์คงได้ตายอยู่ที่นี่จริงๆ แล้ว!” เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มขื่นอย่างจนใจ
“น้องรอง” เหลิ่งเฮ่าอวี่เพิ่งจะเดินพ้นมุมถนนมาก็ถูกเสียงที่ดังขึ้นด้านหลังเรียกไว้ ไม่ต้องหันไปมองเขาก็เดาได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร เขาเบะปากแล้วหันไปมองเหลิ่งฉิงอวี่ที่มีใบหน้าเย็นชาในเครื่องแต่งกายสีขาว เดิมทีชุดออกศึกสีขาวราวหิมะก็เปื้อนฝุ่นไปไม่น้อย มองดูจึงยิ่งเย็นชาเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ไหนแต่ไรมาเหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่ค่อยได้พูดคุยกับพี่ชายสายหลักผู้นี้สักเท่าใดนัก จึงเลิกคิ้วเอ่ยถามไปว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่เหลิ่งมีเรื่องอันใดหรือ”
เหลิ่งฉิงอวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยด้วย”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เลิกคิ้วแล้วพิงกำแพงโดยไม่กลัวว่าจะเปื้อนฝุ่น เขากล่าวเสียงเรียบว่า “ตั้งใจฟังอยู่”
เหลิ่งฉิงอวี่มองเขาแล้วถามว่า “เจ้าดูถูกข้าเรื่องใด” เหลิ่งเฮ่าอวี่ยิ้มไม่ตอบคำใด แน่นอนว่าเขาดูถูกอีกฝ่ายอยู่แล้ว ในฐานะบุตรชายสายรองและบุตรชายสายหลัก ความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของพวกเขานั้นเป็นลิขิตของสวรรค์มาตั้งแต่เกิด เหลิ่งเฮ่าอวี่ไม่ได้รับความรักมาตั้งแต่เด็ก เห็นเหลิ่งฉิงอวี่ที่บิดารักใคร่เอ็นดูและอบรมสั่งสอนย่อมรู้สึกเกะกะสายตาเป็นอย่างมาก เหลิ่งฉิงอวี่บุตรชายสายหลักผู้นี้จะเคยเห็นเขาที่เป็นน้องต่างมารดาอยู่ในสายตาได้อย่างไร พอเขาโตขึ้นได้รู้จักกับม่อซิวเหยา เฟิ่งซานและพรรคพวก หลังจากได้เรียนรู้จนมีความสามารถแล้ว ความรู้สึกที่ไม่ชอบเหลิ่งฉิงอวี่ยิ่งกลายเป็นความเหยียดหยามมากขึ้น เจ้าได้รับคำชมจากท่านพ่ออย่างไม่หมดไม่สิ้นแล้วอย่างไร ได้รับความรักและการอบรมสั่งสอนจากท่านพ่ออย่างไม่มีที่สิ้นสุดแต่กลับไร้วรยุทธิ์ไม่เหมือนกับข้า ความสามารถก็สู้ข้ามิได้ ต่อให้อยู่ในสนามรบเจ้าก็อาจจะสู้ข้าไม่ได้ เพียงแต่ข้าไม่อยากจะไปต่อสู้กับเจ้าเท่านั้นเอง
ดังนั้นวันคืนหลังจากที่ได้ช่วยชีวิตเหลิ่งหวายที่ด่านจื่อจิงแล้วนั้น เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็เปรมปรีดิ์มีสุขเป็นอย่างมาก เหมือนกับเดิมทีที่ตนทำได้เพียงแอบยินดีอยู่ในใจคนเดียว แต่ยามนี้กลับยินดีออกมาได้อย่างเปิดเผยจริงๆ เสียที ความรู้สึกพวกนั้นไม่ต้องกล่าวก็รู้ โดยเฉพาะยามที่เหลิ่งหวายเยินยอตนนั้นสีหน้าของเหลิ่งฉิงอวี่ก็อึมครึมเย็นชาทุกครั้งไป ความปรีดาภายในใจของเหลิ่งเฮ่าอวี่ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทบเท่าทวีคูณ
เหลิ่งฉิงอวี่ส่งเสียงเฮอะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูถูกข้าก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียครั้งนี้จะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่ก็ไม่รู้ หากข้าตายไปเจ้าก็ดูแลท่านพ่อให้ดีด้วย”
เอ๋? เหลิ่งเฮ่าอวี่ตะลึง เขานึกว่าเหลิ่งฉิงอวี่จะมาชวนทะเลาะอะไรด้วยเสียอีก แต่รู้สึกว่าจะมาพูดฝากฝังเขาเอาไว้มากกว่า เขาเบะปากปัดความรู้สึกแปลกๆ ภายในใจออกไป แล้วกล่าวว่า “หากจะฝากฝังคำพูดก่อนตายเอาไว้ก็ไปบอกกับลูกชายของเจ้านู่น เกี่ยวอันใดกับข้ากัน” กล่าวจบก็หันหลังกลับเดินออกไป ด้านหลังมีเสียงของเหลิ่งเฮ่าอวี่ดังตามมาว่า “หากข้ารบจนตัวตาย เจ้าก็จะเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูลเหลิ่งแล้ว ดูแลท่านพ่อให้ดีด้วย” กล่าวจบก็ไม่รอให้เหลิ่งเฮ่าอวี่รับคำเขาหันหลังเดินไปทางกำแพง เหลิ่งเฮ่าอวี่ตกใจพลันตั้งสติมองตามหลังเหลิ่งฉิงอวี่ไปแล้วตะโกนว่า “เจ้าจะตายแล้วมันเกี่ยวอันใดกับข้า ข้าไม่สนตระกูลเหลิ่งอันใดทั้งนั้น!”
กองทัพใหญ่แห่งเป่ยจิ้งไม่รอให้ทหารรักษาการณ์ของฉู่จิงได้พักหายใจก็เริ่มโจมตีขึ้นอีกครั้ง การโจมตีครานี้ดุเดือดกว่าคราก่อนมาก ทัพใหญ่เป่ยจิ้งที่เห็นทหารรักษาการณ์บนกำแพงถูกโจมตีจนตกลงไปทีละคนๆ ก็ยิ่งข้ามแม่น้ำที่ปกป้องเมืองมาแล้วปีนขึ้นมาบนกำแพงแต่ก็ถูกทหารรักษาการณ์ตีตกลงไป ทว่าก็มีคนปีนขึ้นมาต่อเรื่อยๆ กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปในอากาศ เสียงเข่นฆ่าดังปกคลุมไปทั้งกำแพง
ในที่สุด ประตูเมืองอันแข็งแกร่งก็พังลงมาท่ามกลางเสียงตีรันฟันแทงอย่างดุเดือด ทหารเป่ยจิ้งต่างกรูกันเข้าไป ฮว่ากั๋วกงที่อยู่บนกำแพงหยิบหอกเงินในมือขึ้นมา มองไปยังฝูงชนที่ต่อสู้กันบนกำแพงคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “เหลิ่งหวาย! ปกป้องป้อมปราการไว้!” เหลิ่งหวายตะลึงรีบเอ่ยถามว่า “ท่านกั๋วกง นี่ท่านจะ…” ฮว่ากั๋วกงกล่าวเสียงขรึม “ข้าจะลงไปจัดการคนเป่ยจิ้งพวกนี้!”
กล่าวจบก็ไม่รอให้เหลิ่งหวายได้ปฏิเสธ เขาก้าวพรวดๆ ลงจากป้อมปราการไป ชุดออกศึกสีเขียวซีดโบกสะบัดท่ามกลางสายลมหนาว ทำคนรู้สึกเหมือนได้เห็นฮว่ากั๋วกงที่กำลังควบม้าด้วยวัยที่ยังหนุ่มยังแน่นในปีนั้น
ประตูเมืองสูงใหญ่เพียงนั้น แม้ประตูเมืองจะแตกไปแต่ยามนี้ทหารฉู่จิงที่ปกป้องเมืองก็รีบกรูกันเข้ามาขัดขวางชาวเป่ยจิ้งไว้ กองทัพทั้งสองรบราฆ่าฟันกันอยู่ที่หน้าประตูเมือง จากนั้นชาวเป่ยจิ้งที่ฮึกเหิมกล้าหาญก็จัดการทหารต้าฉู่ที่เหนื่อยล้าและหิวโหยเหล่านี้ไปได้ ฉู่จิงถูกตีจนถอยร่นไปทีละก้าวๆ ทหารเป่ยจิ้งยิ่งกรูกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย เป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ปกป้องป้อมปราการไว้ก็ไร้ความหมาย เหลิ่งหวายสั่งการให้ทหารที่ปกป้องเมืองอยู่ถอยเข้าเมืองไปต่อสู้ ศึกปกป้องเมืองครานี้ใช้เวลาสามเดือนกว่าไปแล้ว สู้จนสถานการณ์ยามนี้มีแต่ต้องสู้จนตัวตายเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งชั่วยามฉู่จิงทั้งเมืองก็เต็มไปด้วยเสียงตะโกนเข่นฆ่า
แม้จะมีการควบคุมของเหรินฉีหนิงอยู่ แต่ทหารของเป่ยจิ้งไหนเลยจะฟัง ประชาชนมากมายต่างล้มตายไปไม่น้อย ทรัพย์สินเงินทองล้วนถูกแย่งชิงปล้นมา หากประชาชนในเมืองต่อต้านก็หนีไม่พ้นความตายจากคมดาบของเหล่าทหารเป่ยจิ้ง พริบตาเดียวเมืองที่เจริญรุ่งเรืองนับร้อยปีเมืองนี้ก็กลายเป็นขุมนรก กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้ง เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั้งเมือง
ศูนย์กลางของฉู่จิงอย่างพระราชวังยังคงอยู่ ยามนี้องครักษ์ที่ปกป้องพระราชวังเหลืออยู่เพียงไม่กี่คนแล้ว เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่รกร้างราวกับไร้เงาผู้คน เด็กหนุ่มและเด็กสาวนั่งกอดกันอยู่ในตำหนัก เด็กสาวคนนั้นหน้าตาสะสวยงดงาม เสียดายที่ใบหน้าอีกครึ่งหนึ่งกลับมีรอยแผลเป็นรอยใหญ่ยิ่งขับให้ใบหน้างดงามนั้นประหลาดมากยิ่งขึ้น “น้องชาย เจ้ากลัวหรือไม่” เด็กสาวคนนี้ก็คือพระธิดาของพระสนมหลิ่วนามว่าองค์หญิงเจินหนิง คนที่นั่งข้างนางนั้นย่อมเป็นพระโอรสของพระสนมที่ถูกม่อจิ่งหลีแต่งตั้งให้เป็นฉางซิ่งอ๋องอย่างองค์ชายม่อเซี่ยวอวิ๋น
ม่อเซี่ยวอวิ๋นส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่กลัว พี่หญิงอย่าได้กลัวไป ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนท่านเอง…” ม่อเซี่ยวอวิ๋นปลอบพี่สาวเสียงเบา เสียงตะโกนนอกกำแพงวังดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ องครักษ์สองสามคนวิ่งมาทางนี้ หนึ่งในนั้นกล่าวขึ้นเสียงเข้มว่า “ท่านอ๋อง องค์หญิง ทหารเป่ยจิ้งจะบุกเข้ามาแล้ว ขอท่านอ๋องกับองค์หญิงโปรดหนีไปกับพวกกระหม่อมก่อนเถิด”