ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 326-3 สงครามนองเลือดในฉู่จิง ฝ่าวงล้อม
หลังจากการต่อสู้นองเลือด ดูเหมือนว่าสวรรค์คงเกิดความเห็นอกเห็นใจ ทันทีที่ฟ้าสาง ก็มีหิมะโปรยปรายลงมาจากฟ้า ม่อซิวเหยาไม่ได้สวมเสื้อกันลม ยังคงสวมอาภรณ์ขาวยืนอยู่บนกำแพงเมืองท่ามกลางหิมะ เมื่อมองลงไป ประหนึ่งว่าเขาเป็นเทพพระเจ้าที่มองลงมาดูผู้คนบนโลกมนุษย์ แม้จะเป็นระยะทางยาวไกลเช่นนี้ ก็ยังทำให้เหรินฉีหนิงและแม่ทัพของเป่ยจิ้งรู้สึกกดดันสุดจะบรรยาย
“ท่านอ๋อง พบฮว่ากั๋วกงแล้วขอรับ!” องครักษ์รีบเข้ามารายงาน
ม่อซิวเหยาหันกลับไปถาม “อยู่ที่ไหน”
องครักษ์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ฮว่ากั๋วกงอยู่ทางใต้ของเมือง ร่างกายบาดเจ็บสาหัสเกรงว่า…” เกิดความหนักอึ้งในใจของทุกคน และแน่นอนว่าเข้าใจว่าองครักษ์กลัวอะไร ม่อซิวเหยาเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ย “ข้าจะไปดู แม่ทัพหลี่ว์ ฝากที่นี่ด้วยนะ” หลี่่ว์จิ้นเสียนไม่ได้พูดอะไรมาก ก่อนจะพยักหน้าอย่างเงียบๆ
ฮว่ากั๋วกงอยู่ในตรอกทางใต้ของเมือง เมื่อทหารตระกูลม่อพบเขา เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว ไม่ไกลจากนั้นมีศพของทหารเป่ยจิ้งต้าฉู่นอนเกลื่อนอยู่ ฮว่ากั๋วกงถูกดาบฟันเข้าที่ร่างกาย ดาบยังไม่ได้ถูกดึงออกมา ได้นั่งพักผ่อนตามลำพังบนโขดหินไม่ไกลจากปากซอยตรอก คืนฤดูหนาวในเมืองฉู่จิงไม่ได้อบอุ่นไปกว่าในซีเป่ยมากนัก ทว่าฮว่ากั๋วกงเป็นชายชราผู้มีอายุเจ็ดสิบกว่าเกือบแปดสิบปีแล้ว ภายใต้อาการบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ทำให้ใบหน้าเริ่มคล้ำเขียว
“ท่านกั๋วกงผู้เฒ่า!” ม่อซิวเหยาก้าวเข้าไปหาและช่วยพยุงฮว่ากั๋งกง ก่อนจะกวาดสายตาไปหาหมอทหารแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น ไฉนถึงไม่รักษากั๋วกง”
ฮว่ากั๋วกงยกมือขึ้นห้ามปรามม่อซิวเหยาพลางส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว ข้ารู้อาการบาดเจ็บของข้าดี ว่ารักษาไม่ได้แล้ว…”
ม่อซิวเหยาก้มมองและตรวจดูอาการบาดเจ็บที่เกิดจากดาบ สีหน้าตึงเครียด ฮว่ากั๋วกงได้รับบาดเจ็บที่จุดสำคัญ หากเป็นผู้เยาว์อาจมีความหวังอยู่สามส่วน แต่ตอนนี้ฮว่ากั๋วกงในตอนนี้หากชักดาบออกก็อาจเสียชีวิตเดี๋ยวนั้นเลยก็เป็นได้ ม่อซิวเหยาหลับตาลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านกั๋วกงผู้เฒ่า พวกเรามาช้าไปแล้ว”
ฮว่ากั๋วกงส่ายหัว มองม่อซิวเหยา ก่อนจะยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าก็ไม่ง่ายเช่นกัน สามารถ…สามารถมาถึงได้ทันเวลา ไม่ให้ฉู่จิงตกไปอยู่ในมือคนเป่ยจิ้ง…ก็ดีมากแล้ว…”
ม่อซิวเหยามุ่นคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง มือข้างหนึ่งพยุงบ่าของฮว่ากั๋วกงไว้ ก่อนจะใส่เจินชี่[1]เพื่อต่อชีวิตให้เขา ก่อนจะหันไปสั่ง “ไปตามคนในตระกูลฮว่ากั๋วกงมา” องครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ รีบรายงายตอบกลับไป “ไปตามมาแล้ว หากคนในตระกูลไม่เป็นอะไรเกรงว่าพวกเขาจะมาในไม่ช้านี้ขอรับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของม่อซิวเหยา ฮว่ากั๋วกงก็เผยรอยยิ้มบนริมฝีปาก ก่อนจะถามด้วยเสียงแผ่บเบา “พวกเทียนเซียงสบายดีหรือไม่”
ม่อซิวเหยาตอบเสียงทุ้ม “พวกนางสบายดีมาก เทียนเซียงได้หมั้นกับชิงเฟิงเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว ชิงเฟิง มานี่สิ!”
สวีชิงเฟิงรีบเดินเข้าไป ก่อนจะเอ่ยด้วยความเคารพว่า “ท่านกั๋วกงผู้เฒ่า…” ฮว่ากั๋วกงเงยหน้ามองเขาด้วยความยากลำบาก ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “บุตรของตระกูลสวี…ล้วนเป็นเด็กดี ดีมาก ข้าไม่อาจเห็นงานแต่งงานของพวกเจ้าแล้ว หลังจากนี้ หลังจากนี้ดูแลเทียนเซียงให้ดีนะ” สวีชิงเฟิงตาแดงอย่างห้ามไม่อยู่ รีบพยักหน้า ก่อนจะเอ่ย “ขอรับ กั๋วกงผู้เฒ่า…ท่านปู่…”
“เด็กดี…”
เสียงฝีเท้าอันวุ่นวายดังออกมาจากด้านอกตรอก ชายหนุ่มคนหนึ่งรีบวิ่งมาทางนี้ “ท่านปู่! ท่านปู่…”
ฮว่ากั๋วกงเงยศีรษะขึ้นและมองดูเขา ความโล่งใจวาบผ่านดวงตา ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง
“ท่านปู่!” ยามชายหนุ่มมาอยู่ตรงหน้า เขาเห็นฮว่ากั๋วกงหลับตาลงด้วยรอยยิ้มพอดี เขาทรุดเข่าลงต่อหน้าแล้วร้องไห้คร่ำครวญออกมาอย่างอดไม่ได้ ม่อซิวเหยาที่อยู่ถัดจากเขา มีน้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ วางมือกลับลงไปที่ไหล่ของฮว่ากั๋วกง และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ฮว่ากั๋วกงรับใช้ชาติด้วยชีวิตของตนเอง เสียชีวิตจากการต่อสู้อันดุเดือด สั่งออกไปว่าให้ฝังศพด้วยเกียรติของอำมาตย์ และได้รับพระราชทานยศเป็น “อำมาตย์ผู้ซื่อสัตย์”
“ข้าน้อยน้อมรับบัญชา”
หลายแห่งในเมืองหลวง ต่างกำลังโศกเศร้าในแบบเดียวกัน สงครามครั้งนี้ ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเสียชีวิตลง ไม่เพียงแต่กองทหารฉู่จิงเท่านั้น แต่ยังมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีและทหารตระกูลม่อ ซึ่งไม่ได้มีเพียงทหารธรรมดาเท่านั้น แต่ยังมีแม่ทัพอาวุโสอีกหลายคนด้วย อีกแห่งหนึ่ง เหลิ่งเฮ่าอวี่อดทนต่ออาการบาดเจ็บสาหัสของร่างกายมองคนที่นอนอยู่บนพื้นตรงหน้า นัยน์ตาเขามีแววว้าวุ่นเพิ่มขึ้นหลายส่วนซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจได้ เหลิ่งหวายคุกเข่าลงกับพื้น อุ้มร่างกายที่เย็นชืดของลูกชายคนโตไว้ในอ้อมแขน เมื่อพวกเขาพบเหลิ่งฉิงอวี่ เขาก็เสียชีวิตแล้ว เพราะถูกลูกศรปักอกซึ่งเป็นจุดสำคัญ ทว่ายังคงเป็นชายหนุ่มผู้เย็นชาและหยิ่งผยอง มักไม่ยอมรับว่าน้องชายเก่งกว่าตนเอง สูดท้ายก็จากไปอย่างสงบในสงครามบนหัวถนนของฉู่จิงโดยไม่ได้ทิ้งคำพูดใดๆ ไว้
เหลิ่งหวายกอดร่างที่เย็นเยือกของลูกชาย ก่อนจะร่ำไห้ออกมา ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกชายคนโปรด เป็นผู้ที่เขาฝากความหวังไว้มากที่สุด ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกชายนั้นเจ็บปวดกว่าการปล่อยให้ตัวเองตายไปเสียอีก
เหลิ่งเฮ่าอวี่เดินเข้ามาอย่างเงียบๆ นั่งยองๆ ข้างเหลิ่งหวาย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อ พาพี่ใหญ่กลับไปเถิด” ในท้ายที่สุด เหลิ่งเฮ่าอวี่ผู้ซึ่งหยิ่งผยองเช่นกัน ในที่สุดก็ยอมรับว่าชายคนนี้เป็นพี่ชายของเขา
เหลิ่งหวายหันไปมองเหลิ่งเฮ่าอวี่ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าอกและถามว่า “บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ย “แผลแค่ภายนอกเท่านั้น ท่านพ่อ พวกเรากลับกันเถอะ”
เหลิ่งหวายพยักหน้า กอดเหลิ่งฉิงอวี่ไว้ด้วยความยากลำบาก ก่อนจะเดินไปจวนเหลิ่งพร้อมกับเหลิ่งเฮ่าอวี่
[1]เจินชี่ (真气) หรือเหวียนชี่ (元气, 原气)
เจินชี่เป็นชี่พื้นฐานและสำคัญที่สุดของร่างกาย เป็นพลังแรกเริ่มของร่างกายและชีวิต
การสร้างเจินชี่สร้างจากสารจำเป็นก่อนกำเนิดเป็นสำคัญ แต่หลังคลอดต้องอาศัยสารจำเป็นหลังกำเนิดที่เกิดจากการย่อยและดูดซึมของม้ามและกระเพาะอาหารเติมเต็มเจินชี่ ดังนั้นความสมบูรณ์ของเจินชี่นอกจากอาศัยสารจำเป็นก่อนกำเนิดแล้ว ยังต้องอาศัยความสมบูรณ์ของม้าม กระเพาะอาหาร และโภชนาการด้วย