ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 327-1 กลับเมืองหลี ท้องแฝด
ณ ฉู่จิง กองทัพตระกูลม่อที่เพิ่งมาถึงเข้ามาแทนที่กองกำลังรักษาการณ์ต้าฉู่ที่เหนื่อยล้าไปนานแล้ว และประจำการในป้อมปราการเมืองอีกครั้ง เมื่อมองดูธงดำบนหอคอยกลางเมืองและเหล่าทหารชุดดำที่ยืนรับลมหนาว กองทัพเป่ยจิ้งจึงต้องหยุดชั่วขณะและไม่กล้ากระทำการอย่างเลินเล่ออีก
ม่อซิวเหยานำผู้คนเข้าไปในวังหลวงของต้าฉู่ เมื่อมองดูเขตพระราชฐานที่ยังคงงดงาม แต่ค่อนข้างหดหู่ท่ามกลางหิมะบางๆ ดวงตาเย็นชาของม่อซิวเหยาก็เผยความเศร้าโศกบางเบาอย่างอดไม่ได้ ทว่าบางเบาเกินกว่าคนอื่นจะจับสังเกตได้ ทันทีที่เดินเข้าไปในวัง ม่อเซี่ยวอวิ๋นออกมาต้อนรับพร้อมกับองค์หญิงเจินหนิง ครั้นได้พบม่อซิวเหยาก็ก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะทำความเคารพอย่างนอบน้อม “เซี่ยวอวิ๋นคารวะท่านอาติ้งอ๋อง”
ม่อซิวเหยากวาดสายตาเหลือบมองม่อเซี่ยวอวิ๋นผู้เป็นลูกชายของม่อจิ่งฉีและสนมหลิ่วทีหนึ่ง เขาย่อมเกิดความไม่ชอบเขาเป็นธรรมดา ทว่าม่อเซี่ยวอวิ๋นที่อยู่ตรงหน้านี้แตกต่างจากม่อจิ่งฉีอยู่มากทีเดียว เขาเลิกคิ้วมองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วถามว่า “องค์หญิงซีฝูอยู่ที่ใด”
ม่อเซี่ยวอวิ๋นก้มศีรษะ ก่อนจะเอ่ย “องค์หญิงซีฝูสิ้นพระชนม์เมื่อสองวันก่อน องค์หญิงซีฝูกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อขวัญกำลังใจของเหล่าทหารที่รักษาการณ์ประจำเมือง เลยให้พวกหลานเก็บเป็นความลับไม่ป่าวประกาศออกไป เวลานี้พระศพขององค์หญิงซีฝูยังคงอยู่ในวัง และองค์หญิงเจาหยางยังคงเฝ้าพระศพอยู่” ม่อซิวเหยาพยักหน้าและไปเคารพพระศพองค์หญิงซีฝูก่อน
องค์หญิงซีฝูมีอายุมากกว่าฮว่ากั๋วกงสองปี ไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนพระวรกายมากนัก ถือว่าสิ้นอายุขัยแล้ว หลังจากถึงตำหนักที่วางพระศพขององค์หญิงซีฝูไว้ชั่วคราวและได้เคารพพระศพเรียบร้อยแล้วนั้น ม่อซิวเหยาก็ได้พบกับองค์หญิงเจาหยาง พระนางฉลองพระองค์ด้วยเครื่องแต่งกายสีพื้น มิได้ทรงพระสำอางผัดหน้า จึงไม่สามารถซ่อนความอ่อนล้าและเหี่ยวเฉาบนพระพักตร์ได้ ทั้งสองนั่งลงที่ด้านข้างของตำหนัก องค์หญิงเจาหยางมองม่อซิวเหยาและพูดอย่างพอพระทัย “เดิมที่ข้ายังคิดว่าเจ้าจะมาไม่ทัน ฉู่จิงคงได้ตกไปอยู่ในมือของเป่ยจิ้งแล้วจริงๆ โชคดีนะ…”
ม่อซิวเหยาพูดถึงสงครามในเมืองอย่างเรียบง่าย รวมถึงการเสียชีวิตของฮว่ากั๋วกง หลังจากองค์หญิงเจาหยางได้ยินเรื่องนี้ พระพักตร์พลันแดงก่ำ ก่อนจะถอนพระทัยและไม่มีสิ่งใดจะตรัสต่อ
ด้านข้างของตำหนักเงียบไปครู่หนึ่ง องค์หญิงเจาหยางจึงถามขึ้น “เจ้าตัดสินใจอย่างไรกับเด็กสองคนนั่น”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วและมององค์หญิงเจาหยาง องค์หญิงเจาหยางถอนพระทัย “เดิมทีข้าไม่ชอบเด็กสองคนนั้น ผู้หญิงแซ่หลิ่วและเด็กๆ ที่ตระกูลหลิ่วอบรมสั่งสอนมาจะมีอะไรดีไปได้เล่า แต่หลายวันมานี้ที่ได้ใกล้ชิดกัน เด็กสองคนนี้แตกต่างจากพ่อแม่ของพวกเขามาก หากเป็นไปได้…ปล่อยให้พวกเขามีชีวิตต่อไป ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดราชวงศ์ต้าฉู่…ข้าก็เกลียดเช่นกัน…”
ม่อซิวเหยาหลุบตา ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ย “องค์หญิงไม่ต้องกังวล ตราบใดที่พวกเขาประพฤติตัวเรียบร้อยไม่ออกนอกลู่นอกทาง ข้าจะไม่แตะต้องพวกเขา” องค์หญิงเจาหยางตกพระทัยต่อคำพูดที่ไม่คุ้นเคยของเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักพระพักตร์ “เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้ามาก”
ราวกับไม่ใช่ว่าไม่ได้เจอกันมานาน แต่กลับแทบไม่มีเรื่องอะไรให้พูดกัน บรรยากาศที่ด้านข้างตำหนักทำให้ทั้งคู่รู้สึกอึดอัด ในไม่ช้าม่อซิวเหยาก็ลุกขึ้นและขอตัวจากไป องค์หญิงเจาหยางมองดูด้านหลังที่ค่อยๆ ห่างไปไกลของเขา พลางถอนพระทัยอย่างช่วยไม่ได้ นางรู้ว่าความรู้สึกแปลกแยกนี้มาจากไหน จากนี้ไป…พระราชวังแห่งนี้ยังคงแซ่ม่อ แต่ก็ไม่ใช่ม่อดั่งเช่นในอดีตอีกต่อไป และนางยังคงเป็นองค์หญิงของต้าฉู่ แม้ว่านางจะเกลียดมันมากเท่าไรก็ตาม ทว่าโชคดีที่ตอนนี้นางเป็นเพียง…องค์หญิงแห่งแคว้นที่ล่มสลาย
เมื่อมีการรักษาการณ์ของกองทัพตระกูลม่อ ฉู่จิงก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเมื่อสองวันก่อนเมืองจะเต็มไปด้วยเลือด เต็มไปด้วยเสียงแห่งการสังหารที่ดังก้องฟ้าก็ตาม ผู้คนในเมืองต่างหวาดกลัวและซ่อนตัวอยู่ในบ้าน แต่กระนั้นเพียงไม่กี่วันต่อมา หลังจากผู้คนฝังศพและทำความสะอาดถนนเรียบร้อยแล้ว เมืองที่ว่างเปล่าก็มีพลังมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
ไม่นานม่อซิวเหยาก็สั่งให้เลื่อนยศให้แก่ทหารที่เสียชีวิตและจัดระเบียบการบริหารบ้านเมืองของต้าฉู่ใหม่ แม้ว่าจะยังมีกองทัพเป่ยจิ้งหลายแสนนายปิดล้อมอยู่นอกเมือง แต่ชีวิตของผู้คนในเมืองกลับคืนสู่วิถีเดิม ทุกวันนี้ฉู่จิงไม่เพียงมีกองทัพตระกูลม่อหลายแสนนายอยู่ แต่ยังมีกองกำลังต้าฉู่จำนวนมากและแม่ทัพต้าฉู่อีกด้วย ประชาชนย่อมไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับศัตรูนอกเมืองไปโดยปริยาย หลังจากทั้งสองกองทัพช่วยกันซ่อมแซมเมืองเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน ม่อซิวเหยาก็ออกคำสั่งอีกครั้งว่ากองทัพตระกูลม่อต้องแบ่งออกเป็นสองเส้นทาง เส้นทางหนึ่งนำโดยหลี่่ว์จิ้นเสียนต่อสู้กับกองทัพเป่ยจิ้ง โดยต้องไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายฟื้นกำลังมาโจมตีได้เมืองอีก และอีกเส้นทางหนึ่ง มู่หรงเซิ่นนำทัพไปต่อสู้กับกองทัพเป่ยหรงของเยียหลี่ว์เหยี่ย
ในเดียวกัน ม่อเซี่ยวอวิ๋นอ๋องแห่งฉางซิงผู้รักษาการณ์ประจำฉู่จิง ประกาศต่อสาธารณะว่า “กองทัพตระกูลม่อและติ้งอ๋องได้ช่วยชีวิตเมืองฉางซิงไว้ ตั้งแต่นี้ต่อไปเมืองฉางซิงและประชากรจะอยู่ภายใต้การปกครองของติ้งอ๋อง ไม่ใช่ประชาชนของต้าฉู่อีกต่อไป” การประกาศนี้ย่อมทำให้หลายคนแอบเกลียดและถ่มน้ำลายใส่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในหมู่พวกเขาผู้ที่ไม่พอใจมากที่สุดคือม่อจิ่งหลี ซึ่งอาศัยอยู่ที่เจียงหนาน ต้าฉู่ยอมทิ้งเมืองหลวงไปเอง ตอนนี้ติ้งอ๋องรีบไปกอบกู้เมืองหลวงจากดินแดนไกลแสนไกล ประชาชนในเมืองหลวงย่อมสมัครใจสวามิภักดิ์ต่อติ้งอ๋อง ราชสำนักของต้าฉู่เป็นเหมือนคนใบ้ที่กินไส้เม็ดบัวซึ่งมีรสขมปร่า มีความทุกข์ทว่าเอ่ยออกไปไม่ได้
กองทัพตระกูลม่อเพิ่งยึดฉู่จิงได้ ขวัญกำลังใจกำลังเฟื่องฟู มู่หรงเซิ่นและพ่อลูกหนานโหวที่ป้องกันด่านจื่อจิงอยู่ โจมตีเข้ามาพร้อมกันจากทั้งฝั่ง ดันกองทัพเป่ยหรงออกไปอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้เป่ยหรงยังขาดแคลนเสบียง จึงไม่สามารถต่อสู้ติดต่อกันเป็นเดือนได้อีก ดังนั้นจึงต้องหยุดการต่อสู้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามกองทัพเป่ยจิ้งต่อสู้อย่างหนักมานานกว่าหนึ่งเดือน ทว่าไม่ได้สร้างผลงานอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงมีข้อพิพาทกันภายในในเวลาต่อมา ภายใต้ความสิ้นหวัง เหรินฉีหนิงทำได้เพียงสั่งให้ถอยทัพจากด่านจื่อจิงและเดินทางกลับมาด้วยความโกรธแค้น
ด้วยเหตุนี้ จนกระทั่งเดือนสามซึ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ถึงแม้ดินแดนดั้งเดิมของต้าฉู่ยังคงอยู่ในมือของเป่ยหรงและเป่ยจิ้งอยู่ไม่น้อย แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงเจ็ดหรือแปดเดือน กองทัพตระกูลม่อสามารถตีกองทัพอื่นให้แตกพ่ายตั้งแต่ตะวันออกไปถึงตะวันตกได้ ซึ่งเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ากองทัพที่มีชื่อเสียงและทรงพลังนี้ยังคงทรงพลังอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพตระกูลม่อ จึงได้แก่ ฝั่งตะวันตกตั้งแต่เขตอันผิงโจว ซึ่งเป็นดินแดนดั้งเดิมของซีหลิง ไปจนถึงฝั่งตะวันตกสุดเขตที่ด่านจื่อจิงของต้าฉู่ แม้ว่าอาณาเขตจะเล็กกว่าซีหลิงเล็กน้อย แต่ก็ยังใหญ่กว่าเจียงหนานของราชสำนักต้าฉู่เป็นไหนๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขตพระราชฐานตะวันออกและตะวันตกครองบัลลังก์โดยตระกูลของติ้งอ๋อง ส่งผลให้พวกเขามีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าภายในชั่วพริบตา
หลังจากก่อสงครามมาครึ่งปี ไม่ว่าฝ่ายไหนต่างก็ทุ่มเททั้งเงินทองและอาหารกันลงไปนับไม่ถ้วน ไม่มีใครมีใจที่จะเคลื่อนไหวต่อไปอีกแล้วในชั่วขณะหนึ่ง แม้ว่ากองทัพของทุกฝ่ายจะคอยระวังซึ่งกันและกัน ทว่าต่างต้องการที่จะหยุดและพักฟื้นด้วยกันทั้งสิ้น ทันทีที่สงครามหยุดลง ม่อซิวเหยาได้โยนเรื่องเล็กใหญ่ของต้าฉู่ไปให้พวกเฟิ่งจือเหยาและหลี่ว์จิ้นเสียน และเร่งรีบเดินทางกลับไปยังซีเป่ยอย่างรวดเร็ว กองทัพตระกูลม่อทุกคนรู้ว่าพระชายากำลังตั้งครรภ์ และเข้าใจถึงความวิตกกังวลของท่านอ๋อง จึงไม่ได้พูดอะไร
“อาหลี!”
ในช่วงกลางเดือนสี่ แม้ฤดูใบไม้ผลิของซีเป่ยจะมาถึงช้าเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ก็เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว ภายในสวนดอกไม้ของตำหนักติ้งอ๋อง ดอกไม้งามนานาชนิดยังคงบานสะพรั่ง หนึ่งในนั้นคือดอกโบตั๋นที่นำมาจากอวิ๋นโจวซึ่งงดงามและสะดุดตาที่สุด ดอกโบตั๋นทุกชนิดแข่งกันเบ่งบาน ทำให้ทั้งสวนมีความสง่างามและส่งกลิ่นหอมไปทั่วทิศ
เยี่ยหลีนั่งอยู่บนม้านั่งหินที่มีเบาะหนาวางซ้อนอยู่ในสวน และกำลังมองม่อตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม ม่อตัวน้อยมือถือดาบเล่มเล็ก พลางจดจ่ออยู่กับการรำกระบี่ เหลิ่งจวินหานและสวีจือรุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พากันเอ่ยชม ถึงแม้เยี่ยหลีจะสงสัยมากก็ตามว่าเด็กสองคนนี้รู้หรือไม่ว่าอย่างไรดีหรืออย่างไรไม่ดี ใต้ผ้าคลุมกันลมสีเขียวครามผืนบาง พุงกลมนั้นใหญ่เสียจนน่าตกใจ เยี่ยหลีมองไปที่การร่ายรำกระบี่ด้วยรอยยิ้มพลางลูบท้องกลม แม้จะผ่านมาเก้าเดือนแล้ว แต่ท้องนี้ก็ใหญ่เกินไป ตอนท้องม่อต้วน้อยก็ไม่ได้ใหญ่เพียงนี้ เมื่อนึกถึงเรื่องที่หมอหลินบอกว่าครรภ์นี้อาจเป็นฝาแฝด เยี่ยหลีก็พลันยิ้มบาง เป็นแฝดก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับม่อซิวเหยาเลย เพราะด้วยนิสัยเขาแล้วเกรงว่าอาจจะทิ้งทหารบนสนามรบ แล้วกลับมาหานางเลยก็เป็นได้