ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 327-2 กลับเมืองหลี ท้องแฝด
เมื่อได้ยินเสียงจากภายนอกตัวเรือน เยี่ยหลีตกตะลึงไปเล็กน้อย อดที่จะคิดไม่ได้ว่า ระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์มีอาการประสาทหลอนทางหูด้วยหรือ
ครั้นม่อตัวน้อยที่กำลังรำกระบี่อยู่ได้ยิน จึงกะพริบตาและหันไปหาเยี่ยหลีก่อนจะเอ่ย “ท่านแม่ ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะเหมือนนายน้อยไม่สบอารมณ์ ทว่าดวงตาดำโตคู่นั้นกลับสดใสอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
เยี่ยหลีหันกลับไปมอง เห็นชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูสวนดอกไม้ มองดูตัวเองด้วยรอยยิ้ม “อาหลี ข้ากลับมาแล้ว”
“ซิวเหยา…”
เมื่อเห็นว่านางกำลังจะลุกขึ้น ม่อซิวเหยาก็รุดหน้าไปยังกลางสวนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยุงเยี่ยหลีและเอ่ย “อย่าขยับ เจ้า…” มองดูหน้าท้องกลมที่อยู่ข้างหน้าเขา ติ้งอ๋องผู้สงบและเยือกเย็นอยู่เสมอ อดไม่ได้ที่จะถลึงตามองเยี่ยหลีด้วยความกังวล “อาหลี เจ้าสบายดีหรือไม่ ไฉน…เขาถึงได้ใหญ่เพียงนี้”
“หมอหลินบอกว่าอาจจะเป็นท้องแฝด ปกติแล้วจะใหญ่กว่าท้องเดี่ยวอยู่มาก” เยี่ยหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง
“อะไรนะ” ม่อซิวเหยารู้สึกว่าภาพตรงหน้านั้นมืดมน มือเท้าอ่อนแรง เพียงแค่คนเดียวก็ทำให้เขากังวลและหวาดกลัวมากพออยู่แล้ว แต่นี่มีถึงสองคนเชียว! “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้! เสิ่นหยางอยู่ที่ไหน ให้เขารีบมาดูอาการพระชายา” ม่อซิวเหยาเอ่ยอย่างร้อนรน เยี่ยหลีกรอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ทีหนึ่งก่อนจะเอ่ย “อาจารย์เสิ่นไปหาพี่สี่แล้ว เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือ หมอหลินดูอาการให้ข้าแล้ว ข้าไม่เป็นอะไร ลูกก็สบายดี”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่!” เยี่ยหลีเอ่ยอย่างแน่วแน่ พลางดึงม่อซิวเหยาก่อนจะพูดขึ้น “เจ้าเพิ่งกลับมา เหตุใดไม่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพักผ่อนให้เต็มที่เสียก่อนเล่า ข้าออกมาเดินเล่นครู่หนึ่งเท่านั้น ประเดี๋ยวก็กลับไปแล้ว กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด” ม่อซิวเหยาอยู่ในสภาวะหมดสติไปตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่ปล่อยให้เยี่ยหลีดึงเขาออกไป
เด็กๆ สามพี่น้องด้านหลังต่างมองหน้ากัน หลังจากนั้นครู่ใหญ่ สวีจือรุ่ยก็กะพริบตาและถามด้วยใบหน้าที่จริงจังเช่นเดียวกับท่านพ่อของเขา “พวกเรายังไม่ได้ทำความเคารพท่านลุงเลย”
หนูน้อยเหลิ่งจวินหานผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดลูบหัวก่อนจะเอ่ย “ท่านลุงติ้งอ๋องไม่เห็นเรา เขาไม่โกรธหรอก” ท่านลุงติ้งอ๋องไม่ได้หันเหสายตามาทางพวกเขาเลยด้วยซ้ำ แต่…ลองนึกถึงดวงตาที่เย็นชาของท่านลุงติ้งอ๋องแล้ว ก็ทำให้เหลิ่งเอ๋อน้อยตัวสั่นพลางส่ายหน้า ไม่เห็นก็ไม่เห็นแล้วกัน ดีเสียอีกที่ไม่เห็น
ม่อตัวน้อยจ้องไปที่แผ่นหลังของท่านพ่ออย่างหยิ่งผยอง พ่นลมหายใจและเงยหน้าขึ้น “ข้าไม่ต้องการให้เขามองเห็นเสียหน่อย ไป พวกเราไปหาท่านลุงใหญ่กันเถอะ”
ซาลาเปาน้อยสามก้อนหารือกันแล้ว มีความเห็นตรงกันว่าข้อเสนอของม่อตัวน้อยนั้นดีมาก ท่านลุงใหญ่ (ท่านลุงสวี) เป็นมิตรอัธยาศัยดีกว่าท่านพ่อ (ท่านลุงติ้งอ๋อง) มาก
กลับมาถึงเรือนหลักที่พวกเขาทั้งสองอาศัยอยู่ ครั้นม่อซิวเหยาอาบน้ำและทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เยี่ยหลีก็สั่งให้ผู้คนเตรียมอาหารจานโปรดของม่อซิวเหยามาวางรอไว้บนโต๊ะแล้ว หลายวันมานี้ ม่อซิวเหยารีบกลับมาที่ซีเป่ย ทว่าไม่ได้กินอะไรดีๆ เลย เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอ ก่อนจะดึงเยี่ยหลีให้มานั่งกินด้วยกัน
ตอนนี้ไม่ใช่เวลากินข้าว และเยี่ยหลีเองก็ไม่ได้รู้สึกหิว นางยอมแพ้หลังจากกินข้าวต้มไปได้เพียงครึ่งชาม และเพียงนั่งดูม่อซิวเหยากินที่อยู่ข้างกายต่อไป ทั้งยังคอยคีบเนื้อไปให้เขาบ้างบางครั้ง เป็นเวลาหลายปีที่ม่อซิวเหยาเลือกกินจนเป็นนิสัย ถ้าเยี่ยหลีไม่ได้ตักอาหารให้เขา เขาจะกินแต่ผักเท่านั้น บำเพ็ญตบะมุ่งหาทางเซียนเสียยิ่งกว่าสวีชิงเฉินเสียอีก
ขณะรับประทานอาหาร ม่อซิวเหยาพูดคุยเรื่องราวในฉู่จิง แน่นอนว่าย่อมมีเรื่องการพลีชีพของฮว่ากั๋วกงด้วย เยี่ยมีความรู้สึกที่ดีต่อฮว่ากั๋วกง ชายชราผู้นี้เป็นอย่างมาก ย่อมเสียใจมากที่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของเขา “เกรงว่าจะต้องไปบอกเรื่องนี้กับพี่ฮว่าและเทียนเซียงเสียหน่อย เพียงแต่พวกเขา…” ม่อซิวเหยาเอ่ย “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องจัดการหรอก ข้าจะให้คนไปคุยกับพวกเขาเอง ส่วนเจ้า…เรื่องลูกยังสำคัญที่สุด รอให้เด็กสองคนนี้คลอดออกมาค่อยว่ากันเถิด”
หลังจากเยี่ยหลีคิดครู่หนึ่ง ก็ได้แต่พยักหน้าพลางเอ่ย “ลูกน่าจะคลอดในเดือนหน้านี้ เมื่อลูกครบหนึ่งเดือนก็ใกล้กับวันเกิดของท่านตาพอดี” เยี่ยหลีขมวดคิ้วพลางลูบท้องกลม ก่อนจะเอ่ย “เช่นนี้งานฉลองอายุครบหนึ่งเดือนของเด็กสองคนนี้ก็ไม่ต้องจัดแล้ว” การจัดงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนของคุณชายน้อยและท่านหญิงน้อยของติ้งอ๋องนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากจัดใกล้กับวันเกิดท่านตา ในสองเดือนนี้ก็ไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ม่อซิวเหยาไม่ได้คิดมากว่าจะจัดงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนของลูกหรือไม่ เพียงเลิกคิ้วขึ้นและถาม “ตอนนั้นงานเลี้ยงครบหนึ่งเดือนของม่อตัวน้อยจัดขึ้นอย่างใหญ่โต พอโตขึ้นเด็กสองคนนี้คงจะไม่ไม่พอใจใช่หรือไม่”
เยี่ยหลีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: “ท่านอ๋องยังเป็นห่วงความรู้สึกของพวกเขาสองพี่น้องด้วยหรือ งานเลี้ยงครบเดือนจะไปมีอะไร หากไม่พอใจเพราะเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าการอบรมสั่งสอนของคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่างเราสูญเปล่าแล้ว”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าและยิ้มตาหยีมองท้องของเยี่ยหลี ไม่ใช่เพราะพ่อลำเอียง ไม่รักพวกเจ้านะ เป็นความต้องของท่านแม่พวกเจ้าต่างหาก
“หลีเอ๋อร์อยู่หรือไม่” เสียงราบเรียบของสวีชิงเฉินดังมาจากภายนอกประตู
สาวใช้ผู้เฝ้าประตูรีบคำนับและเอ่ยว่า “ท่านอ๋องเพิ่งกลับมา พระชายากำลังรับประทานอาหารกับท่านอ๋องอยู่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงของพวกเขา ม่อซิวเหยาก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันใด เขาเพิ่งกลับมายังไม่ทันได้แม้แต่จะหายใจหายคอ ไฉนสวีชิงเฉินถึงมาหาถึงหน้าประตูเรือนได้ จะไม่ให้เขาพักบ้างเลยหรือ
ทว่าเยี่ยหลีกลับไม่รู้สึกถึงความไม่พอใจของม่อซิวเหยา ตะโกนตอบไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ใหญ่ เข้ามาเถิด”
สวีชิงเฉินก้าวเข้าไปในโถงดอกไม้ พลางมองม่อซิวเหยาที่หน้าหน้านิ่วคิ้วขมวดและจ้องมองมาที่ตน ก่อนจะยกมุมปาก เผยรอยยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องกลับมาเมื่อใด ไฉนพวกเราถึงไม่รู้เรื่องเลย” เยี่ยหลีเอ่ยตอบอย่างรู้สึกผิด “เพิ่งมาถึงน่ะเจ้า ตรงกลับเข้ามาในเรือนเลย ยามนี้พี่ใหญ่มีธุระอะไรหรือ”
สวีชิงเฉินไม่สามารถพูดได้อย่างแน่นอนว่าเพราะเขารู้ว่าม่อซิวเหยาเพิ่งกลับมาจึงตั้งใจมาก่อกวนเขาโดยเฉพาะ ก่อนจะยิ้มตาหยีเอ่ยตอบ “ไม่ได้มีธุระอะไรหรอก แต่ถึงเวลาเขียนเทียบเชิญวันเกิดท่านปู่ในอีกสองเดือนที่จะถึงนี้แล้ว วันนี้มีเวลาว่างพอดี จึงมาปรึกษากับเจ้าสักหน่อย” เยี่ยหลีขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่ง “บุคคลสำคัญและกวีผู้ลือนามของซีเป่ย ซีหลิงย่อมต้องเชิญอยู่แล้ว แต่ที่อื่น…หนานจ้าว เป่ยหรง เป่ยจิ้ง ไหนจะยังมีคนที่เจียงหนานและซีหลิงอีก ต้องเชิญหรือไม่”
ม่อซิวเหยาวางตะเกียบลง เลิกคิ้วก่อนจะเอ่ย “แน่นอนว่าต้องเชิญ เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อปีที่แล้วทั้งปี ต่อให้พวกเราไม่เชิญ พวกเขาก็ต้องมาเองอยู่ดี”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว นอกจากนี้ท่านอ๋องตัดสินใจจะจัดที่ฉู่จิงหรือว่าที่เมืองหลีหรือ”
นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง หากจัดขึ้นที่ฉู่จิง หมายความว่าม่อซิวเหยาจะย้ายที่อยู่อาศัยของตำหนักติ้งอ๋องกลับไปที่ฉู่จิง หากจัดขึ้นที่เมืองหลี เรื่องการจัดการฉู่จิงจะต้องพิจารณาใหม่ เพราะเป็นเมืองหลวงและแตกต่างจากเมืองหลวงของซีหลิง เมืองหลวงซีหลิงได้มาโดยไม่ได้เสียอะไร แน่นอนว่าการได้ครอบครองนั้นดีที่สุด แต่หากเสียไปก็ไม่ถือว่าเสียหายอะไรมากนัก ทว่าฉู่จิงล้อมรอบด้วยศัตรูหลายด้าน หากสูญเสียไป จะกระทบต่อชื่อเสียงของตำหนักติ้งอ๋องอย่างใหญ่หลวงแน่นอน
ม่อซิวเหยาคลึงหว่างคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม “พี่ใหญ่มีความเห็นเช่นไร”
สวีชิงเฉินยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “เรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องให้ท่านอ๋องเป็นผู้ตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวอยู่แล้ว”
ม่อซิวเหยากรอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ เงยหน้าพลางเอ่ยอย่างทะนงตัว “ข้าสั่งให้เจ้าพูด” สวีชิงเฉินก็ไม่ใส่ใจ เพียงยักไหล่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ “เมืองหลียังถือว่าเล็กเกินไป หากจะสร้างให้ยิ่งใหญ่ คงไม่อาจแล้วเสร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน การที่ท่านอ๋องประจำการอยู่ที่ฉู่จิง เป็นการสยบคนที่เป่ยหรง เป่ยจิ้งและทางใต้ได้อย่างดี” ความหมายก็คือ สวีชิงเฉินยังคงอยากให้ย้ายตำหนักติ้งอ๋องกลับไปที่ฉู่จิง