ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 328-3 ฝาแฝดชายหญิงนั้นดีแท้
ในบรรดาคนที่ได้ยินข่าว ม่อจิ่งหลีและเหรินฉีหนิงเป็นคนที่โกรธมากที่สุด
แน่นอนว่าม่อจิ่งหลีนั้นไม่ต้องพูดถึง เขาไม่ถูกกับม่อซิวเหยามาตั้งแต่เกิด ทุกวันนี้อีกฝ่ายได้ลูกแฝดชายหญิงซ้ำยังรักใคร่กันอย่างลึกซึ้ง แต่ตนกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกชายเพียงคนเดียวของตนไปอยู่ที่ใด ม่อจิ่งหลีจะไม่โกรธได้อย่างไร ภายใต้ความโกรธ ย่อมอดไม่ได้ที่จะเคียดแค้นนม่อจิ่งฉีอย่างสุดซึ้ง จนพาลไปรังแกเอากับฮ่องเต้น้อยที่อายุเจ็ดแปดขวบ ฮ่องเต้องค์น้อยที่เดิมทีก็ขี้ขลาด คร่ำครวญด้วยความตกใจกลัว
เมื่อเทียบกับม่อจิ่งหลีแล้ว เหรินฉีหนิงทั้งเศร้าทั้งโกรธเสียยิ่งกว่า บุตรชาย บุตรสาว ภรรยาเอกและอนุงามของตนล้วนถูกม่อซิวเหยาสังหารไปจนสิ้น การฆ่าเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าล้างตระกูล และด้วยเหตุนี้ ยังยั่วยุให้เกิดการขัดแย้งกันเองภายในเป่ยจิ้งที่เดิมทีก็ไม่สมานฉันท์กันอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จะไม่ให้เหรินฉีหนิงเกลียดม่อซิวเหยาได้อย่างไร ครั้นเห็นเทียบเชิญสีแดงประดับด้วยก้อนเมฆมงคลสีทอง เหรินฉีหนิงก็แทบจะกระอักเลือดแห่งความโกรธแค้นออกมา
“ม่อซิวเหยา! ม่อซิวเหยา!” ภายในห้องหนังสือ เมื่อเห็นว่าเหรินฉีหนิงกัดฟันโกรธ สีหน้าดูดุร้าย คนสนิทของเขาก็หวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไร พักใหญ่ ถึงได้เห็นเหรินฉีหนิงค่อยๆ สงบลง ก่อนจะมีคนเดินเข้าไปหา และถามอย่างระมัดระวัง “คุณชาย เทียบเชิญนี้…จะไปหรือไม่ขอรับ”
เหรินฉีหนิงยิ้มเย็น พลางบีบเทียบเชิญในมือแน่นราวกับกำลังบีบม่อซิวเหยาก็มิปาน “ไป เหตุใดถึงจะไม่ไป ไม่ใช่เพียงแค่ข้าเท่านั้นที่ไป เป่ยหรง หนานจ้าว ซีหลิงต่างก็ไป หากพวกเราไม่ไป คนอื่นจะดูถูกเราเอาได้ไม่ใช่หรือ” ขุนนางผงะ ก่อนจะถามอย่างเป็นกังวล “หรือว่าที่ม่อซิวเหยาจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อเป็นเพียงฉากหน้า แต่จริงๆ ต้องการสังหารผู้คนหรือขอรับ”
เหรินฉีหนิงเหลือบมองผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ก่อนจะพ่นลมหายใจ “งานเลี้ยงบังหน้า ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็ไม่บ้าบิ่นขนาดขังคนทั้งหมดไว้ในเมืองหลีแล้วลงมือสังหารได้หรอก เขาแค่ต้องการหยั่งเชิงความคิดของผู้มีอำนาจในแคว้นต่างๆ ก็เท่านั้น ประจวบเหมาะกับที่ข้าต้องการเจอเยียหลี่ว์เหยี่ยและเหลยเจิ้นถิงพอดี”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้นทุกคนก็โล่งใจ ไม่นานก็มีคนถามขึ้นว่า “ถ้าคุณชายไปด้วยตัวเอง เกรงว่าจะต้องพาฮูหยินไปด้วยหนึ่งคน แต่ตอนนี้…” เมื่อผู้ปกครองแคว้นออกไปเยือนต่างแคว้น หากไม่มีสตรีข้างกายก็คงไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ยิ่งไปกว่านั้น สตรียังมีบทบาทที่ไม่สามารถทดแทนได้ในบางโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีพระชายาติ้งอ๋องกุมอำนาจที่แท้จริงในตำหนักติ้งอ๋องไว้เช่นนี้ แขกผู้มีเกียรติจากทุกแว่นแคว้นที่ไปงานเลี้ยงวันเกิดจะต้องพาภรรยามาด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ปัญหาคือ สตรีในราชวงศ์เป่ยจิ้งถูกฆ่าตายจนไม่เหลือแม้สักคนเดียว และเรื่องที่ทำให้เหรินฉีหนิงปวดหัวอยู่ในตอนนี้ก็คือเรื่องวังหลังนี้เช่นกัน
ก่อนหน้านี้เหรินฉีหนิงสมรสกับองค์หญิงแห่งชนเผ่าเป่ยจิ้งในฐานะพระชายา และต่อมาได้มีอนุหลายคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจากจงหยวน ซึ่งเรื่องนี้ย่อมเป็นไปตามความคิดของขุนนางจงหยวนที่อยู่ข้างกายเหรินฉีหนิง เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ยอมรับการปกครองโดยคนจงหยวนมาโดยตลอด แม้ว่าพวกเขาจะต้องพึ่งพาพละกำลังของเป่ยจิ้งในการฟื้นฟูแคว้น แต่ก็ยังหวังว่าฮ่องเต้องค์ต่อไปจะมีเลือดจงหยวนอันบริสุทธิ์ ดังนั้นในตอนเริ่มต้น หลังจากพระชายา บุตรและธิดาสายหลักถูกสังหาร คนจงหยวนเหล่านี้จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพวกเขาแอบดีใจกันอยู่ลึกๆ แต่หลังจากนั้นองค์ชายและองค์หญิงที่เกิดจากอนุที่เป็นคนจงหยวนก็เสียชีวิตไปด้วย ทุกคนถึงได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา
และในตอนนี้ แคว้นไม่สามารถขาดประมุขได้แม้เพียงหนึ่งวัน วังหลังก็ย่อมขาดนายหญิงไม่ได้แม้เพียงหนึ่งวันเช่นเดียวกัน แต่กระนั้นเรื่องที่ว่าเหรินฉีหนิงจะแต่งสตรีจงหยวนหรือสตรีเป่ยจิ้งขึ้นเป็นพระชายา ก็เป็นปัญหาที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ เดิมทีในช่วงที่อำนาจของฝั่งขุนนางจงหยวนอ่อนแอย่อมตกลงกันได้ง่าย แต่ในขณะนี้หลังจากที่เป่ยจิ้งยึดครองดินแดนต้าฉู่ขนาดใหญ่ไว้ได้แล้ว ภายในกองทัพเป่ยจิ้งก็ขยายกำลังพลรับคนที่เดิมทีเป็นคนต้าฉู่เข้ามาสู่กองทัพเป็นจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้สถานการณ์ภายในกองทัพที่เดิมทีทหารล้วนเป็นคนเป่ยจิ้งก็ถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว ขุนนางจงหยวนก็ค่อยๆ มีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น ดังนั้นปัญหาที่ว่าจะแต่งงานกับสตรีจากเป่ยจิ้งหรือจากจงหยวนนั้น จึงเป็นที่ถกเถียงกันมานานกว่าครึ่งเดือน ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายพบหน้าก็จะส่งสายตาเข้าฟาดฟันกันราวกับมีดบิน พูดจาเหน็บแนมเย้ยหยัน ขาดก็แค่เพียงพุ่งเข้าไปทะเลาะต่อยตีกันเท่านั้น
ในความคิดของเหรินฉีหนิง แน่นอนว่าเขาย่อมเอนเอียงไปทางคนจงหยวน ในฐานะผู้ชาย ย่อมชอบความสุภาพอ่อนโยนของสตรีในตระกูลจงหยวนมากกว่าสตรีที่หยาบกระด้างจากเป่ยจิ้ง ทว่าคนเป่ยจิ้งก็ไม่ได้โง่เขลา เหรินฉีหนิงเองเป็นคนจงหยวน หากยังให้เขาสมรสกับสตรีจงหยวนและแต่งตั้งเป็นพระชายา เช่นนั้นต่อไปเป่ยจิ้งก็คงได้เปลี่ยนชื่อไปเป็นจงหยวนได้เลยกระมัง แล้วต่อไปยังจะมีที่ให้ชนเผ่าเป่ยจิ้งอย่างพวกเขายืนอยู่อีกหรือ เช่นนั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมคัดค้านอย่างไม่ยอมอ่อนข้อ
ทันทีที่เหรินฉีหนิงคิดเรื่องนี้เขาก็ปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที เดิมทีถ้ายึดฉู่จิงมาได้ในครั้งนี้ เขาย่อมสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองได้โดยการกล่าวอ้างว่าตนเป็นเชื้อสายของราชวงศ์ก่อน และคนเป่ยจิ้งเหล่านี้จะไม่มีความสำคัญเพียงนั้นอีกแล้ว น่าเสียดายที่ล้มเหลวเพราะการขัดขวางของม่อซิวเหยา ในอนาคตเขาคงได้แต่พึ่งพาคนเป่ยจิ้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาคิดอยากจะสลัดหรือปราบปรามพวกเขาในพริบตาก็คงเป็นไปไม่ได้เช่นกัน ไม่เพียงแต่เป็นไปไม่ได้ แต่ยังต้องประจบประแจงพวกเขาให้มากขึ้นอีกด้วย เหรินฉีหนิงโบกมือขัดจังหวะการสนทนาของทุกคน เอ่ยเสียงทุ้มว่า “อีกเดี๋ยวออกไปประกาศการตัดสินใจของข้าก็แล้วกัน ว่าข้าจะแต่งตั้งเห่อหลันแห่งถ่าจี๋เป็นพระชายา”
“คุณชาย!” ทุกคน ณ ที่นั้นทั้งหมดร้องเรียกขึ้นมาโดยพร้อมเพียงกัน หนึ่งในนั้นเดินออกมาข้างหน้าก่อนจะเอ่ย “คุณชาย ท่านหญิงเห่อหลันดื้อรั้นและเอาแต่ใจ จะเป็นพระชายาแห่งแคว้นได้อย่างไร”
เหรินฉีหนิงเอ่ยอย่างรำคาญ “ไม่เช่นนั้นยังจะหาคนจากเป่ยจิ้งที่เหมาะสมกว่านี้ได้อีกหรือ ดื้อรั้นและเอาแต่ใจ…อย่างไรก็ยังมีข้อดีของการดื้อรั้นและเอาแต่ใจ อย่างน้อยก็ไม่มีความทะเยอทะยานขนาดจะทำให้รู้สึกรำคาญใจได้” อดีตภรรยาของเขา องค์หญิงแห่งเป่ยจิ้งคนนั้นฉลาดหลักแหลมไม่น้อยไปกว่าชายคนอื่น อีกทั้งเป่ยจิ้งไม่ได้จำกัดกดขี่ผู้หญิงมากมายเท่าจงหยวน เดิมทีองค์หญิงแห่งเป่ยจิ้งผู้นั้นได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้สืบทอดอยู่แล้ว เพียงแต่น่าเสียดายที่นางตกหลุมรักเหรินฉีหนิงตั้งแต่แรกเห็น และเต็มใจที่จะเป็นพระชายาในวังหลังแทนที่จะเป็นหัวหน้าเผ่าที่มีอำนาจมากที่สุดในเป่ยจิ้ง แต่กระนั้นการควบคุมเหรินฉีหนิงของนางก็ทำให้เหรินฉีหนิงหมดความอดทนมานานแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะความโหดเหี้ยมเกินกว่าเหตุของม่อซิวเหยา เกรงว่าครั้งนี้เหรินฉีหนิงยังต้องขอบคุณเขาจริงๆ
“นอกจากนี้ แต่งตั้งธิดาคนโตของใต้เท้าหวังและธิดาทั้งสามคนของใต้เท้าจางขึ้นเป็นสนมด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนต่างก็พอใจ เรื่องการแก่งแย่งชิงดีในวังหลัง สตรีในเป่ยจิ้งที่รู้จักเพียงการอาละวาดจะมาเป็นคู่ต่อสู้ของสตรีในตระกูลขุนนางแห่งจงหยวนได้อย่างไร