ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 330-3 ชื่อเล่นของเจ้าตัวเล็ก
อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพราะม่อซิวเหยาคิดมากเกินไป ทารกน้อยไม่ได้หน้าตาเหมือนสวีชิงเฉิน ทว่าเหมือนสวีฮูหยิน มารดาผู้ล่วงลับของเยี่ยหลี ตอนนั้นสวีฮูหยินเป็นคนงามอันดับต้นๆ ของตระกูลสวี อีกทั้งยังเป็นอาแท้ๆ ของสวีชิงเฉิน มองดีๆ ย่อมเหมือนสวีชิงเฉิน ซาลาเปาน้อยหน้าเหมือนสวีฮูหยิน ดังนั้นจึงเหมือนสวีชิงเฉินอยู่หลายส่วน
“ยังเลย ท่านตาบอกว่ายังต้องคิดให้ละเอียดอีกที พวกเราตั้งชื่อเล่นไปก่อนเถิด” อันที่จริงตั้งชื่อทารกน้อยตอนอายุครบหนึ่งขวบก็ไม่สาย เพียงแต่ไม่มีชื่อเอาแต่เรียกว่าทารกน้อยๆ นั้นไม่ค่อยสะดวกเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้มีทารกน้อยถึงสองคน ม่อซิวเหยาคิดว่าต้องคิดให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะองค์หญิงน้อยของเขา เดิมทีเขาอยากตั้งเอง ทว่าพอลองเอาชื่อที่คิดได้เรียงกันจนยาวเป็นหางว่าวแล้ว กลับต้องปัดทั้งหมดทิ้งไป ทำให้ติ้งอ๋องสงสัยในความรู้ของตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต เขาคิดชื่อเพราะๆ ให้ลูกของตัวเองไม่ได้เลยหรือนี่!
“เช่นนั้นก็ตั้งชื่อเล่นกันก่อนเถิด ชื่ออะไรดี...” ม่อซิวเหยาเอียงหน้าไปมองเด็กชายในอ้อมแขนเยี่ยหลีที่กำลังหัวเราะเอิ้กอ้าก ช่างดูโง่เขลา ก่อนจะยิ้มร้าย “เช่นนั้นก็ตั้งชื่อตามม่อตัวน้อยแล้วกัน ชื่อว่า…ม่อตัวเล็กดีหรือไม่”
เยี่ยหลีคิดออกเลยว่าเมื่อลูกคนนี้โตขึ้น จะมีสีหน้าตัดพ้ออย่างไร ก่อนจะกรอกตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ เอ่ย “เจ้าหมายถึงชื่อของลูกสาวใช่หรือไม่” ลำพังชื่อม่อตัวน้อยก็เต็มทนแล้ว ยังพอฟังดูเหมือนชื่อของเด็กชายได้อยู่บ้าง หากชื่อว่าตัวเล็กจริงๆ ต่อไปลูกชายคงได้ร้องไห้ตายแน่ๆ ม่อซิวเหยาส่ายหัว “ได้อย่างไรเล่า ข้าตั้งชื่อขององค์หญิงน้อยไว้แล้ว ให้ชื่อว่า เสี่ยวซินเอ๋อร์ เพราะเป็นแก้วตาดวงใจของข้ากับอาหลีนี่นา เช่นนี้ก็ได้ชื่อครบแล้วนี่”
“เจ้าแน่ใจว่าชื่อนี้เพราะกว่าตัวเล็กใช่หรือไม่” นางควรขอบคุณเขาไหมที่ไม่ได้ตั้งชื่อลูกว่าแก้วตาดวงใจ
“เสี่ยวซินเอ๋อร์เพราะจะตายไป อาหลีคิดว่าอย่างไร ม่อตัวเล็ก เสี่ยวซินเอ่อร์…”
เยี่ยหลีหมดคำจะพูด พลางเหม่อมองฟ้า ก่อนจะมองม่อซิวเหยาที่อุ้มองค์หญิงน้อยด้วยสีหน้าสุขใจ อดที่จะใจอ่อนไม่ได้ เสี่ยวซินเอ๋อร์ก็เสี่ยวซินเอ๋อร์ แต่ว่า… “ไม่เอาม่อตัวเล็ก น้องชายชื่อว่าหลินเอ๋อร์ก็แล้วกัน” สิ่งที่ควรยืนหยัดก็ต้องยืนหยัด นางไม่อยากให้ลูกมีปมเพราะชื่อในอนาคต ม่อซิวเหยามองหลินเอ๋อร์ผู้ที่เกือบจะได้ชื่อว่าม่อตัวเล็ก ก่อนจะหันมองสีหน้าหนักแน่นของเยี่ยหลี แล้วจึงได้ล้มเลิกความตั้งใจไป “ลูกเสี่ยวซินเอ๋อร์ พ่อชอบเจ้าที่สุดเลย”
เยี่ยหลีมองชายหนุ่มที่จู่ๆ ก็ไร้เดียงสาขึ้นมา ให้ความสำคัญกับเพศหญิง เมินเฉยกับเพศชายเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ
หลายปีต่อมาคุณชายรองตระกูลม่อที่มีชื่อเสียงสะท้านแผ่นดิน เคยสารภาพกับคนข้างกายที่เชื่อใจมากที่สุดว่า คนที่เขารัก เคารพและอยากขอบคุณมากที่สุดก็คือมารดาของเขา ไม่ใช่เพราะนางให้กำเนิดเขา ไม่ใช่เพราะนางเลี้ยงดูเขามา ทว่าเป็นเพราะนางได้ช่วยเรื่องชื่อของเขาเอาไว้อย่างหนักแน่น เพื่อไม่ให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเศร้าเช่นเดียวกับพี่ใหญ่ ลองคิดดูแล้ว หากตอนที่เขายืนอยู่ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นและกำลังรับการคารวะจากพวกเขา แล้วอยู่ๆ เกิดมีคนรู้จักร้องเรียกขึ้นว่า “ม่อตัวเล็ก! มีคนเรียกเจ้า…” คงเป็นโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายโดยแท้
แน่นอนว่าในเวลานี้คุณชายรองม่อยังไม่เข้าใจ และไม่รู้เรื่องว่าเขาได้รอดพ้นจากโชคชะตาแห่งโศกนาฏกรรมอย่างหวุดหวิดมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยิ้มอยู่ในอ้อมแขนของมารดาอย่างสุขใจ ราวกับซินเอ๋อร์ก็รับรู้ได้ถึงความชอบใจของน้องชาย จึงยิ้มตามไปด้วยเช่นกัน เยี่ยหลีอมยิ้ม เมื่อเห็นรอยยิ้มแสนน่ารักของทารกน้อยทั้งสอง รอยยิ้มก็กว้างขึ้น ม่อซิวเหยามองภรรยา ก่อนจะมองดูองค์หญิงน้อยในอ้อมแขนอีกครั้ง แล้วก็ได้แต่อดทนยอมรับความจริงเรื่องที่เจ้าเด็กไร้ฟันได้แย่งอ้อมกอดของภรรยาแสนรักของเขาไปแล้วอย่างเงียบๆ
ทั้งสองนั่งลงพร้อมกับเด็กในอ้อมกอด ไม่ว่าในแต่ละวันเยี่ยหลีจะยุ่งสักเท่าไร ก็จะชวนม่อซิวเหยา มาอุ้มทารกน้อยและเล่นกับพวกเขาด้วยกันทุกวัน เรื่องนี้อันที่จริงเป็นเพราะได้รับบทเรียนมาจากการที่ม่อตัวน้อยและพ่อของเขาไม่ถูกกันมาตั้งแต่เกิด เยี่ยหลี คิดอย่างหนักแน่นว่านี่ต้องเป็นเพราะตอนม่อตัวน้อยเด็กๆ พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อยเกินไปเป็นแน่
“ซิวเหยา เจ้าคิดว่าพระชายาเห่อหลัน เป็นอย่างไร“ เยี่ยหลีถามพลางเล่นกับเสี่ยวหลินเอ๋อร์ ด้วยมือข้างหนึ่ง
ม่อซิวเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “มองดูแล้วก็ไม่เลว สตรีเป่ยจิ้งที่หยิ่งผยองเช่นนี้ แต่กลับรู้ว่าอะไรควรไม่ควรนั้น มีน้อยคนนัก อาหลีชอบนางหรือไม่“
เยี่ยหลี ยิ้มพลางเอ่ย “ข้ากลับคิดว่า… พระชายาเห่อหลัน ไม่ธรรมดาอย่างมาก ทว่าความสัมพันธ์ของนางกับเหรินฉีหนิง เหมือนว่าจะไม่แน่นแฟ้นสักเท่าไหร่“
“พระชายาเห่อหลันเป็นลูกพี่ลูกน้องของอดีตภรรยาเหรินฉีหนิง นับตั้งแต่อดีตพระชายาเสียชีวิตไป ภายในเป่ยจิ้งก็มีการขัดแย้งกันเรื่องผู้ที่จะมาเป็นพระชายาของเหรินฉีหนิงไม่หยุด ในใจของสกุลหลินย่อมต้องการให้แต่งตั้งสตรีจากจงหยวนมาเป็นพระชายาของเหรินฉีหนิงอย่างแน่นอน ทว่าต่อให้คนเป่ยจิ้งจะไม่มีความเฉลียวฉลาดอย่างไร เรื่องเกี่ยวกับทายาทจะยอมง่ายๆ เชียวหรือ ย่อมไม่ยินยอมเป็นแน่ สุดท้ายน่าจะเป็นเพราะว่าเป่ยจิ้งได้เปรียบ ถึงได้เห่อหลันมาเป็นพระชายา เช่นนี้ทั้งสองรักกันดีสิถึงจะแปลก”
เยี่ยหลีขมวดคิ้วและพูดว่า “ถึงกระนั้น เหรินฉีหนิงก็ทำมากเกินไปหน่อย” ยามไปเยือนต่างบ้านต่างเมือง หากไม่มีพระชายาก็ยังพอถูไถได้ แต่นี่พามาทั้งพระชายาและสนม เห็นได้ชัดว่าไม่ให้เกียรติพระชายาเลย “ต่อให้เจ้าไม่ลงมือกับอดีตพระชายา เกรงว่าอีกไม่กี่ปีถัดมา เหรินฉีหนิงก็คงลงมือเองกระมัง เช่นนี้ถือว่าเจ้าได้จัดการปัญหาแทนเขาไปหนึ่งอย่างหรือไม่”
ม่อซิวเหยาไม่คิดเช่นนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ย “ตอนนี้เขาก็มีปัญหาใหม่แล้วไม่ใช่หรือ อีกอย่าง…ความรู้สึกของอาหลีถูกต้อง เกรงว่าพระชายาเห่อหลันผู้นี้จะเก่งกว่าอดีตพระชายาอยู่สักหน่อย” อดีตพระชายาเดิมทีเป็นองค์หญิงในชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุดในเป่ยจิ้ง แม้จะเป็นสตรีในชนเผ่าเร่ร่อน ทว่าฝีมือไม่ธรรมดา มีบารมีในบรรดาขุนนางเป่ยจิ้งอยู่มาก ด้วยเหตุนี้ ถึงทำให้ความสัมพันธ์ปรองดองของสามีภรรยาค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป อีกอย่างในคนปัจจุบันนี้ดูเหมือนหยิ่งผยองเอาแต่ใจ ไม่มีความฉลาดไหวพริบอะไรเลย แต่ว่าม่อซิวเหยาเป็นใคร บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดแสดงละครได้เก่งเท่าเขาอีกแล้ว “เหรินฉีหนิงคิดว่าเขาเป็นใคร หลังจากใช้ประโยชน์จากคนเป่ยจิ้งเสร็จก็จะสะบัดทิ้ง ข้าเกรงว่าในอนาคตเขาจะสลัดไม่หลุด ในทางกลับกันผลนั้นจะวกกลับมาทำร้ายตัวเองเสียมากกว่า”
เยี่ยหลียิ้ม “เป็นเช่นนี้นี่เอง ดูท่าความรู้สึกของข้าคงจะไม่ผิด เมื่อครู่พระชายาเห่อหลันกำลังบอกใบ้พวกเราอยู่ใช่หรือไม่”
ม่อซิวเหยาเอ่ย “อาหลีไม่ต้องสนใจให้มากเกินไป หากชอบนาง เป็นเพื่อนนางก็ได้ไม่เป็นอะไร หากไม่ชอบก็ไม่ต้องไปสนใจ ข้ามีวิธีการกำจัดเหรินฉีหนิงอยู่แล้ว”
เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “ไม่เป็นอะไร ข้าเองก็คิดว่าพระชายาเห่อหลันคนนี้น่าสนใจดี ถ้าอย่างนั้นอีกสักสองวันชวนนางมาดื่มชาและพูดคุยที่ตำหนักอ๋องดีกว่า” ม่อซิวเหยาไม่ได้คัดค้านความคิดเห็นของเยี่ยหลี “ตามใจอาหลีเลย”
เยี่ยหลีก้มมองและยิ้มหยอกล้อกับทารกน้อย เหรินฉีหนิงหลงระเริงในอำนาจมากเกินไป แต่ก็ไม่รู้ว่าหากมีวันหนึ่งถูกคนข้างกายของตัวเองหักหลังเข้า จะมีสีหน้าอย่างไร