ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 331-2 ความรักของพี่น้อง
ม่อซิวเหยาเงยหน้ามองอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่ได้อยู่ที่นี่เพื่อมานั่งฟังเสียงคำรามของเจ้า ถ้าไม่มีอะไรทำ ก็กลับโรงเตี๊ยมไปเสีย เจิ้นหนานอ๋อง หากมีอะไรจะพูดอีกก็พูดมาได้เลย ถ้าไม่มีข้าก็ขอตัวก่อนล่ะ”
ใบหน้าของม่อจิ่งหลีซีดเผือด กำหมัดแน่น กระทั่งส่งเสียงดังกรอด แต่เหลยเจิ้นถิงกลับยังคงยับยั้งอารมณ์อยู่ได้ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มอันสงบนิ่ง “ติ้งอ๋องมีธุระอะไรถึงรีบร้อนเช่นนี้หรือ”
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างพึงพอใจ ก่อนจะพูดว่า “ข้าอยากกลับไปหาองค์หญิงน้อยของข้า”
ทุกคนรู้ข่าวเรื่องที่พระชายาติ้งอ๋องให้กำเนิดฝาแฝดชายหญิง เห็นได้ชัดว่าม่อซิวเหยา รักลูกสาวมากกว่าเล็กน้อย ทำให้เหลยเจิ้นถิงสงสัยขึ้นมานิดหน่อย เพราะสำหรับคนส่วนใหญ่ลูกชายมีความสำคัญมากกว่า อีกทั้งในตอนนี้ม่อซิวเหยามีลูกชายเพียงสองคน ซึ่งถือว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับใบหน้าอันสงบนิ่งของเหลยเจิ้นถิง ใบหน้าของม่อจิ่งหลีนั้นเผยความอิจฉาออกมาอย่างปิดไม่มิด สำหรับม่อจิ่งหลีแล้ว การที่ม่อซิวเหยาโอ้อวดเช่นนี้ ก็เหมือนเป็นการราดเกลือลงบนบาดแผลของเขา
“ไม่ทราบว่าข้าจะมีเกียรติได้พบกับองค์หญิงน้อยของตำหนักติ้งอ๋องหรือไม่” เหลยเจิ้นถิงถาม
แน่นอนว่าม่อซิวเหยาไม่เห็นด้วย “ลูกสาวของข้าอายุครบเดือนมาไม่นาน ไม่อยากให้เจอลมมาก เกรงว่าจะทำให้เจิ้นหนานอ๋องผิดหวังแล้ว”
เหลยเจิ้นถิงไม่แปลกใจ ความสัมพันธ์ของเขากับม่อซิวเหยาไม่ได้ดีถึงขนาดที่เขาสามารถเข้าใกล้เด็กที่เพิ่งคลอดในตำหนักติ้งอ๋องได้ เขาไม่สนใจการปฏิเสธของม่อซิวเหยา แต่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นก็น่าเสียดายจริงๆ” ม่อซิวเหยาโบกมือและเอ่ยเบาๆ “เจิ้นหนานอ๋องมีเรื่องอะไรจะพูด เชิญพูดมาได้เลย”
เหลยเจิ้นถิงหลุบตา ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ติ้งอ๋องช่างตรงไปตรงมาเสียจริง แต่ก็เอาเถิด ติ้งอ๋องเชิญผู้มีอำนาจจำนวนมากมาในเวลาเช่นนี้ ย่อมมีการวางแผนมาอย่างดีแล้ว แต่ไม่ทราบว่าติ้งอ๋องมีเวลาว่างพูดคุยกับข้าเพียงลำพังหรือไม่”
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วคม พลางยิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ช่วงนี้มีเรื่องยุ่งๆ มากมาย ไว้รอจนถึงหลังวันเกิดท่านตาแล้วค่อยคุยได้หรือไม่” เหลยเจิ้นถิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เช่นนั้น ข้าจะรอติ้งอ๋องด้วยความเคารพ”
ในส่วนเรือนหลังของตำหนักอ๋อง เยี่ยหลีกำลังเดินเล่นอยู่กับเยี่ยอิ๋ง เมื่อมองไปยังเยี่ยอิ๋งซึ่งอยู่ข้างหลังนางหนึ่งก้าว ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเยี่ยอิ๋งยามที่ยังไม่ได้ออกเรือนในช่วงหลายปีก่อน ตอนนั้นเยี่ยอิ๋งยังเป็นสาวแรกแย้มอายุสิบสี่ปี มีรูปลักษณ์และพรสวรรค์อันดีเยี่ยมที่สุดในเมืองหลวง เป็นช่วงเวลาที่สตรีนับไม่ถ้วนล้วนอิจฉาและชายหนุ่มพากันชื่นชม มาตอนนี้พริบตาเดียวก็ผ่านไปสิบปีแล้ว เยี่ยอิ๋งตรงหน้ากลับมีรูปร่างผอมบางใบหน้าซีดขาว แม้ว่าดวงหน้ายังคงสวยงามดังเก่าก่อน แต่ก็ได้สูญเสียความสดใสและความงามดั้งเดิมไปแล้ว เสมือนกับต้นไม้ที่ปราศจากจิตวิญญาณ
เยี่ยหลีดึงเยี่ยอิ๋งให้ไปนั่งในศาลา ก่อนจะถามด้วยเสียงนุ่มนวล “น้องสี่ สบายดีหรือไม่”
เยี่ยอิ๋งมองมาที่นาง นัยน์ตาเผยความซับซ้อนอย่างที่สุด แต่ในที่สุดก็สงบลง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พี่สามจะไม่รู้เรื่องในตำหนักหลีอ๋องได้อย่างไร ก็แค่ใช้ชีวิตให้มันผ่านไปเท่านั้น แต่พี่สาม…ข้าคิดว่าช่วงที่ผ่านมานี้ท่านพี่คงสบายดีมากใช่หรือไม่” เยี่ยอิ๋งมองเยี่ยหลีตรงหน้า หัวใจพลันปวดร้าวขึ้น เยี่ยหลีคนที่นางดูถูกในตอนแรก ได้กลายเป็นคนที่นางไม่สามารถเข้าถึงได้ไปแล้ว ยามอยู่ในจวนเจ้ากรมในปีนั้น ความเฉลียวฉลาดของนางถูกบดบังเอาไว้ มีเป็นเพียงความประทับใจธรรมดาๆ ให้กับคนทั่วไป อย่างไรก็ตามแม้ว่าไข่มุกจะเต็มไปด้วยฝุ่น สักวันหนึ่งก็จะเปล่งประกายเจิดจ้าอยู่ดี เยี่ยหลีแตกต่างจากพวกนางตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
เยี่ยหลียิ้มบางๆ “ข้าสบายดีจริงๆ ตอนนี้ท่านพ่อและท่านย่าก็อยู่ที่เมืองหลีด้วย ถ้าเจ้าว่างก็ไปเยี่ยมพวกเขาได้นะ”
เยี่ยอิ๋งตะลึงไปเล็กน้อยครู่หนึ่ง ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ช่างเถิด ข้าไม่มีเกียรติอะไรให้แก่ตระกูลเยี่ยอีกแล้ว เกรงว่าท่านย่าและท่านพ่อคงจะไม่อยากเห็นหน้าข้าเช่นกัน” จากการที่ตระกูลเยี่ยเลือกที่จะลี้ภัยมาอยู่กับเยี่ยหลี ซึ่งมีความสัมพันธ์อันเย็นชากับพวกเขาแทนที่จะไปหาตนเองที่เจียงหนาน เยี่ยอิ๋งก็พอเข้าใจแล้วว่าท่านพ่อกับท่านย่าไม่ดูดำดูดีตนเองอีกต่อไป แต่การตัดสินใจครั้งนี้ก็ถูกต้องเช่นกัน ถ้าตระกูลเยี่ยไปเจียงหนานจริง พวกเขาก็จะไม่มีอำนาจในมือแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตนเองยังประหนึ่งถูกไล่ให้ไปอยู่ตำหนักเย็น จะสร้างความมั่นคงให้แก่ตระกูลเยี่ยได้อย่างไร เกรงว่าม่อจิ่งหลีมีแต่จะระบายความโกรธกับพวกนางเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ต่อให้เยี่ยหลีมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อตระกูลเยี่ยเพียงใด อย่างน้อยก็สามารถทำให้พวกเขามีที่ลงหลักปักฐานได้อย่างมั่นคง
เยี่ยหลีมองหญิงผอมแห้งที่อยู่ตรงหน้า พูดอย่างใช่ความคิดว่า “น้องสี่เปลี่ยนไปมากจริงๆ”
“ไม่เปลี่ยนได้หรือ” เยี่ยอิ๋งถอนหายใจเบาๆ ตั้งแต่รู้ว่าลูกชายที่เลี้ยงดูมาหลายปี ไม่ใช่ลูกชายของตน เยี่ยอิ๋งถึงเพิ่งได้รู้ว่าแท้จริงแล้วม่อจิ่งหลีเป็นคนเช่นไร ความรักในอดีต คำมั่นสัญญาได้กลืนหายไปในกลีบเมฆตั้งนานแล้ว เยี่ยอิ๋งมักเผชิญกับดวงตาที่ไม่แยแส เบื่อหน่ายของม่อจิ่งหลี และรอยยิ้มอันภาคภูมิใจขององค์หญิงซีสยา แม้ว่าเยี่ยอิ๋งจะมีทั้งความสามารถและรูปลักษณ์ แต่นางก็ไม่ใช่คนที่มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองมากเท่าที่ควร กระทั่งวิสัยทัศน์ที่มีต่อราชวงศ์นั้นก็คับแคบ นางยังดีไม่เท่าผู้หญิงบางคนที่มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงเลยด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นหลังจากผ่านไปหลายปี ถึงเยี่ยอิ๋งไม่ต้องการที่จะยอมรับเพียงใด แต่ก็ได้เข้าใจแล้วว่า ตอนที่ม่อจิ่งหลีทิ้งเยี่ยหลีและมาแต่งงานกับตนนั้น ไม่ใช่เพราะในเวลานั้นเขารักใคร่อะไรในตัวนาง นางคิดมาเสมอว่านางสามารถเอาชนะเยี่ยหลีได้ การแต่งงานที่เหยียบย่ำเยี่ยหลีไว้ใต้เท้า เป็นเพียงเรื่องโกหกบังหน้าสำหรับการกำจัดเยี่ยหลีของม่อจิ่งหลีเท่านั้น และตอนนี้ยามม่อจิ่งหลีเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง เยี่ยอิ๋งย่อมกลายเป็นที่ระบายความโกรธอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ข้ายังจำได้ว่าเคยบอกน้องสี่ว่า ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจอะไรให้บอกข้า บางทีข้าอาจพอช่วยได้บ้าง แต่ดูเหมือนว่าน้องสี่จะไม่เชื่อใจข้า หลายปีที่ผ่านมาพวกเราก็ไม่ได้ค่อยได้ไปมาหาสู่…” เยี่ยหลี่ถอนหายใจเบาๆ มองเยี่ยอิ๋งที่มีดวงตาแดงก่ำตรงหน้า
“พี่สาม…ข้า…” เยี่ยอิ๋งตะลึง นางยังจำสิ่งที่เยี่ยหลีพูดกับตัวเองเมื่อตอนที่นางอยู่ในตำหนักหลีอ๋องได้ เพียงแต่ที่ผ่านมานี้เรื่องราวที่ตนเองเจอห่างไกลกับโชคชะตาของเยี่ยหลี่ราวฟ้ากับเหว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเยี่ยหลีได้ ในเวลานี้เมื่อได้ฟังที่เยี่ยหลีพูด ความคับข้องใจในหัวใจของเยี่ยอิ๋งพลันทะลักออกมาทั้งหมดอย่างช่วยไม่ได้ คิดแต่เพียงว่าในตอนนั้นตนเองทำกับเยี่ยหลีแรงเกินไป ตอนนี้ทั้งตระกูลเยี่ยมีใครบ้างที่จำตนได้ นอกจากเยี่ยหลี
เยี่ยอิ๋งกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้ม “พี่สาม อิ๋งเอ๋อร์ขอร้องท่าน…ช่วยข้าหาลูกของข้าได้หรือไม่”
“ลูกของเจ้าหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว เรื่องที่ม่อจิ่งหลีได้เตะซื่อจื่อน้อยจนเสียชีวิตคาตำหนักหลีอ๋องในตอนนั้น แม้ว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้าถึงข้อมูลข่าวสารจะทราบความจริง แต่คนภายนอกยังคงรับรู้เพียงว่าซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักหลีอ๋องเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เยี่ยอิ๋งพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พี่สามน่าจะรู้เรื่องที่ฉู่จิงเมื่อสองปีก่อน ลูกของข้า…” คิดถึงเด็กที่นางไม่เคยได้พบหน้าเลยตั้งแต่เกิดมา เยี่ยอิ๋งก็ร่ำไห้อย่างอดไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางยังพอพึ่งพาลูกเพื่อแข่งขันการได้เป็นคนโปรดปรานกับองค์หญิงซีสยาได้บ้าง แต่เมื่อนางรู้ว่าลูกของนางหายตัวไป นางก็เจ็บปวดรวดร้าวอย่างหนัก หากสามารถตามหาลูกของนางได้ ต่อให้รู้เพียงว่ายังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย ก็ถือว่าดีพอแล้ว
นางฟูมฟายพลางบอกเล่าเรื่องราวของเด็กที่ถูกเปลี่ยนตัวโดยม่อจิ่งฉีให้กับเยี่ยหลีฟังไปรอบหนึ่ง และยังบอกเยี่ยหลีเรื่องที่ม่อจิ่งหลีอาจมีลูกไม่ได้อีกด้วย แม้ว่าเยี่ยหลีจะรู้จักพวกเขามาเป็นเวลานาน แต่ก็ต้องถอนหายใจให้กับม่อจิ่งฉีและม่อจิ่งหลีที่ทำได้ทุกอย่างอย่างสุดโต่งเช่นนี้ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยหลี่ก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ตราบใดที่เด็กยังมีชีวิตอยู่ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาเขาเอง”