ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 332-2 จักรพรรดินีอันซี
เมื่อเห็นเด็กชายที่มีหน้าตาราวกับแกะสลักตรงหน้าคำนับให้ตนอย่างจริงจัง รอยยิ้มบนใบหน้าขององค์หญิงอันซียิ่งกว้างขึ้นไปอีก นางหันไปหาเยี่ยหลีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สมกับเป็นซื่อจื่อน้อยแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ตอนที่ข้าอายุเจ็ดแปดขวบยังวิ่งเล่นอยู่ในวังอยู่เลย”
ในฐานะแม่ นางย่อมชอบได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกของนาง เยี่ยหลียิ้มพลางเอ่ย “อย่ามองแค่ใบหน้าเด็กดีของเขาในตอนนี้ ยามปกติก็ดื้อไม่เบาทีเดียว”
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง องค์หญิงอันซีก็หยิบอัญมณีสีน้ำเงินออกมา แล้วยื่นให้ม่อตัวน้อย นางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าลืมเตรียมของขวัญมาให้ อย่ารังเกียจกันล่ะ” ม่อตัวน้อยรับด้วยมือทั้งสองข้าง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง “อวี้เฉินขอบพระคุณจักรพรรดินีมาก” องค์หญิงอันซีมองดูใบหน้าน้อยนิดที่ดูเอาจริงเอาจังของเขาแล้ว ก็ยิ่งให้รักจนถอนตัวไม่ขึ้น “ถ้าลูกของข้าหน้าตาดีเหมือนซื่อจื่อน้อยสักแปดส่วน ข้าก็คงจะพอใจแล้ว”
ม่อตัวน้อยกระพริบตา ก่อนจะเอ่ยเสียงดังฟังชัด “จักรพรรดินีเป็นธิดาสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายน้อยหรือองค์หญิงน้อย ต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและรูปลักษณ์ไม่ธรรมดาเป็นแน่”
องค์หญิงอันซีสุขใจ “เช่นนั้นก็ขอบใจในคำอวยพรของซื่อจื่อน้อยแล้ว”
หลังจากคำนับองค์หญิงอันซี ม่อตัวน้อยจึงส่งอัญมณีล้ำค่าที่องค์หญิงอันซีมอบให้ให้กับผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลัง เขาเดินไปหาเยี่ยหลีก่อนจะนั่งลง องค์หญิงอันซีไม่เพียงเห็นว่าเขารูปงามเท่านั้น แต่ยังประพฤติตัวดีและมีมารยาทอีกด้วย ราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับความสูงส่ง นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจต่อความโชคดีของเยี่ยหลีและม่อซิวเหยา นางก้มศีรษะลงพลางลูบท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยด้วยความคาดหวังมากกว่าเดิม
“พระชายา องค์ชายน้อยและท่านหญิงน้อยอยู่ที่นี่แล้วเจ้าค่ะ” แม่นมสองคนเข้ามาพร้อมกับทารกสองคนในอ้อมแขน ดวงตาของม่อตัวน้อยเป็นประกายขึ้นทันที เขามองไปที่ตุ๊กตาตัวน้อยสองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลีและองค์หญิงอันซี เด็กทั้งสองก็เลี้ยงง่ายมากเช่นกัน แม้แต่คนแปลกหน้าอย่างองค์หญิงอันซีมาอุ้มก็ไม่ร้องไห้ เด็กทารกที่นอนอยู่ในอ้อมแขนของเยี่ยหลี ดูเหมือนจะรู้สึกถึงความอบอุ่นของแม่ จึงยิ่งยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม ม่อตัวน้อยยืดคอมอง “ชอบยิ้มเช่นนี้ ต้องเป็นน้องชายแน่ๆ” เด็กแรกเกิดทั้งสองในตำหนักติ้งอ๋องไม่งอแงเลย น้องชายหลินเอ๋อร์ก็เป็นคนที่ยิ้มง่าย ตราบใดที่เขายังไม่หลับ ไม่ว่าใครมาเล่นกับเขา ก็สามารถทำให้เขาหัวเราะคิกคักได้ทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่าคนที่มาหยอกล้อกับเขาต้องไม่ใช่ติ้งอ๋องม่อซิวเหยา
องค์หญิงอันซีอุ้มเสี่ยวซินเอ๋อร์ มือเกร็งตบผ้าอ้อมขององค์หญิงตัวน้อยด้วยความระมัดระวัง พลางถอนหายใจด้วยความอิจฉา “พระชายาและติ้งอ๋องช่างโชคดีจริงๆ ซื่อจื่อน้อยทั้งสองและท่านหญิงน่ารักมาก” เยี่ยหลีเผยยิ้มบางๆ โดยไม่ได้เอ่ยอะไร
เมื่อส่งองค์หญิงอันซีไปแล้ว เยี่ยหลีก็พาทารกทั้งสองกลับไปที่ห้อง และพาพวกเขานอนก่อนจะเดินไปยังห้องหนังสือที่เรือนหน้า เพียงแค่เดินไปถึงสวนหน้าของห้องหนังสือก็เจอเข้ากับม่อจิ่งหลีที่กำลังเดินเข้ามาหา ยามเห็นใบหน้าที่ดูน่ากลัวของม่อจิ่งหลี เยี่ยหลีก็อดไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง แม้ว่านางจะไม่กลัวม่อจิ่งหลี แต่หากต้องเผชิญกับใบหน้าที่ราวกับว่ามีคนอื่นติดหนี้เขาอยู่ห้าล้านตำลึงและไม่ยอมคืน อย่างไรเสียก็รู้สึกไม่สบายใจ
ม่อจิ่งหลีชะงักไปชั่วครู่ เขาเห็นนางแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยหลีย่อมไม่สามารถหันหลังกลับและเดินจากไปได้อีก เยี่ยหลีจำต้องก้าวไปข้างหน้าและพยักหน้า ก่อนพูดว่า “หลีอ๋อง” ในช่วงไม่กี่วันมานี้ งานสำคัญหลายอย่างในตำหนักติ้งอ๋องมีเยอะมาก ไม่เพียงแต่จะยุ่งกับงานต่างๆ ในตำหนักติ้งอ๋องและงานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น แต่คนจำพวกม่อจิ่งหลีที่กินข้าวอิ่มแล้วว่างไม่มีอะไรทำ จึงเข้ามาหาเพื่อนพูดคุยก็มีอยู่มากเช่นกัน เพียงแค่ไม่รู้ว่าวันนี้ม่อจิ่งหลีต้องการพูดอะไรกับม่อซิวเหยา แต่ดูจากใบหน้าของม่อจิ่งหลีก็พอจะรู้ว่าการสนทนาได้พังลงแล้ว
ม่อจิ่งหลียืนอยู่หน้าเยี่ยหลีโดยไม่ได้พูดอะไร เขาแค่มองนาง สายตาเช่นนี้ทำให้เยี่ยหลีขมวดคิ้วไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา “ถ้าหลีอ๋องไม่มีอะไรจะพูด ข้ายังมีธุระต้องคุยกับท่านอ๋องอีก ขอตัว” ม่อจิ่งหลีมองนาง พลางเอ่ย “ต้องพูดกับข้าเช่นนี้เลยหรือ”
เยี่ยหลีตกตะลึง จับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่พักใหญ่ มองม่อจิ่งหลีอย่างงุนงง ไม่เข้าใจคำพูดของเขาโดยสิ้นเชิงว่าหมายความว่าอะไร นางคิดว่ากิริยาของนางไม่ได้เสียมารยาทที่ตรงไหน
ม่อจิ่งหลีดูเหมือนจะกระสับกระส่ายเล็กน้อย เขาถลึงตามองเยี่ยหลีอย่างดุดันและพูดว่า “ตอนนั้นเพราะข้ายกเลิกงานแต่งงานกับเจ้า เจ้าจึงเกลียดข้าเช่นนี้เลยหรือ จะต้องช่วยม่อซิวเหยาตั้งตัวเป็นศัตรูกับข้าให้ได้เลยใช่หรือไม่ ตอนนี้ม่อซิวเหยาครอบครองฉู่จิงได้แล้ว เจ้าพอใจหรือยัง”
เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะกรอกตา แล้วถามสวรรค์ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน เยี่ยหลีพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะเอ่ยอย่างใจเย็น “หลีอ๋อง ข้าคิดว่าท่านคงจำได้ว่า ท่านเป็นคนสละฉู่จิงไปก่อนเอง จากนั้นตำหนักติ้งอ๋องจึงไปช่วยฉู่จิง ไม่สิ ช่วยฉางซิงไว้ เราไม่ได้แย่งมาจากมือของท่านเสียหน่อย” ม่อจิ่งหลีสูดลมหายใจเข้า สีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยอย่างแข็งกร้าว “ถึงกระนั้น นั่นก็เป็นขอของงต้าฉู่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่เป่ยหรงและเป่ยจิ้งไปโจมตีต้าฉู่ไม่ได้อยู่ในแผนการของม่อซิวเหยาอยู่แล้วหรือ หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นคนช่วยม่อซิวเหยา เขาจะเอาชนะซีหลิงได้รวดเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร”
เยี่ยหลีหัวเราะอย่างโกรธเคือง “หลีอ๋อง การที่เป่ยหรงกับเป่ยจิ้งมาโจมตีต้าฉู่เกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย หรือเพราะท่านอ๋องของข้าหาเรื่องให้พวกเขาไปโจมตีต้าฉู่อย่างนั้นสิ อีกอย่าง ข้าเป็นชายาติ้งอ๋อง ข้าไม่ช่วยสามีของตัวเอง แล้วจะไปช่วยใคร อีกอย่าง เมื่อหลายปีก่อนข้าเคยบอกท่านอ๋องไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอ๋องยังจำได้หรือไม่”
ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูด
เยี่ยหลีค่อยๆ พูดช้าๆ “การคิดเองเออเอง ถือเป็นโรค ต้องได้รับการรักษา ขอท่านอ๋องโปรดพิจารณาให้มากกว่านี้ ข้าขอตัว” เมื่อนางเอ่ยจบ ก็เมินเฉยต่อปฏิกิริยาของม่อจิ่งหลีและออกเดินต่อไปยังทิศทางของห้องหนังสือทันที
“เยี่ยหลี” จู่ๆ ม่อจิ่งหลีก็อุทานออกมา ก่อนจะเอื้อมมือไปจับข้อมือของเยี่ยหลีไว้ แต่เยี่ยหลีหาใช่ผู้หญิงอ่อนแอทั่วไปที่จะยอมให้เขาดึงไว้ได้ง่ายๆ นางยกมือขึ้นมากันมือของม่อจิ่งหลี ม่อจิ่งหลีพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า!” เยี่ยหลีเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ข้าไม่มีอะไรจะพูดกับหลีอ๋อง” เขายื่นอีกมือหนึ่งมาคว้าแขนของเยี่ยหลีเอาไว้ เยี่ยหลีเบี่ยงตัวหลบ ประกายเย็นวาบที่วิ่งออกมาจากแขนเสื้อทำให้พวกเขาผะออกห่างจากกัน เยี่ยหลียกมือขึ้นห้ามองครักษ์ลับไม่ให้ออกมา นางจ้องม่อจิ่งหลีและพูดว่า “หลีอ๋อง ที่นี่คือตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ใช่ที่ที่ท่านสามารถทำทุกอย่างตามอำเภอใจได้”
ม่อจิ่งหลีเงียบไปครู่หนึ่ง และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัว”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว ก่อนจะเอ่ย “ข้าก็บอกแล้วอย่างไร ว่าไม่มีอะไรจะคุณกับท่านอ๋องเป็นการส่วนตัว ข้าเคารพท่านในฐานะแขก ท่านอ๋องโปรดพึงระวังในคำพูดและการกระทำของตนเองด้วย ขอตัว” จากนั้นนางก็หันหลังและเดินจากไป ม่อจิ่งหลีอยากจะไล่ตามนาง ทว่าก็มีเงาดำสองเงาวาบผ่าน องครักษ์ลับในชุดดำมายืนอยู่ตรงหน้าม่อจิ่งหลี “หลีอ๋อง โปรดพึงระวังในคำพูดและการกระทำของท่านด้วย”
เมื่อเห็นคนสองคนที่เห็นได้ชัดว่าฝีมือไม่ธรรมดาตรงหน้า แล้วมองเยี่ยหลีที่จากไปอีกครั้ง ในที่สุดม่อจิ่งหลีก็สบถออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือที่ม่อซิวเหยากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้า แล้วเงยหน้าขึ้นเห็นเยี่ยหลี เขาก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “อาหลี องค์หญิงอันซีไปแล้วหรือ” เยี่ยหลีพยักหน้าและพูดว่า “ข้าพบกับม่อจิ่งหลีในสวนดอกไม้ อารมณ์เสียเหมือนไปโกรธใครมา พวกเจ้าคุยอะไรกันหรือ” ม่อซิวเหยาเอื้อมมือไปดึงเยี่ยหลีมาไว้ในอ้อมแขน การถูกบังคับให้นั่งลงบนตักของใครบางคน ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกขัดเขินอยู่ครู่หนึ่ง ม่อซิวเหยายิ้มบางๆ ก่อนจะโบกมือ แล้วจึงมีลมพัดปิดประตูอย่างแรง ม่อซิวเหยาพูดพลางยิ้ม “จะคุยอะไรได้อีกเล่า ก็ว่าข้าต่ำต้อยและฉวยโอกาสน่ะสิ แล้วก็มาลองหยั่งเชิงว่าจะเอาเมืองฉางซิงกลับไปได้หรือไม่”