ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 334-2 ตัวเลือกขององค์หญิงหรงหวา
เยี่ยหลีพินิจมององค์หญิงหรงหวาเงียบๆ อยู่นาน ในที่สุดก็พยักหน้า “ข้าเชื่อองค์หญิง อันที่จริงยามนี้องค์หญิงก็ไม่จำเป็นต้องกังวลไป จุดยืนของตำหนักติ้งอ๋องกับรัชทายาทเยียหลี่ว์หาได้อยู่ตรงข้ามกันไม่ ยามนี้ ตำหนักติ้งอ๋องยังไม่สนใจพื้นที่นอกชายแดนที่อยู่ห่างไกลออกไป พวกเราเพียงต้องการขับไล่ทัพเป่ยหรงทางตอนเหนือที่ตั้งค่ายอยู่ออกไปเท่านั้น เยียหลี่ว์เหยี่ยนำทัพเข้ามาแล้วทำอะไรกับทางตอนเหนือไปบ้าง เชื่อว่าองค์หญิงคงทราบดี”
องค์หญิงหรงหวาพยักหน้าอย่างหนักแหน่น นางเป็นองค์หญิงของต้าฉู่ที่แต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ไปยังเป่ยหรง การสูญสิ้นของต้าฉู่ไม่เป็นผลดีต่อนางเลย ตั้งแต่ม่อจิ่งหลีนำราชวงศ์ต้าฉู่อพยพลงใต้เป็นต้นมา ฐานะของนางในเป่ยหรงก็เริ่มง่อนแง่น และก็ด้วยเพราะเหตุนี้ นางถึงได้ติดตามเยียหลี่ว์หงมาที่เมืองหลี ขอเพียงตำหนักติ้งอ๋องยอมรับการมีอยู่ของนาง ต่อไปหากตำหนักติ้งอ๋องแข็งแกร่งขึ้น ก็จะยิ่งปลอดภัยสำหรับนาง “รัชทายาทก็เคยเสนอกับเป่ยปรงอ๋องหลายครั้งเรื่องให้ถอนทัพ แต่เป่ยหรงอ๋องเห็นว่าตลอดทางองค์ชายเจ็ดบุกทะลวงได้ราวกับตัดไผ่ จึงไม่เห็นด้วยกับความคิดของรัชทายาท” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “ยามนี้ถึงแม้ทัพใหญ่ของเป่ยหรงจะถูกกองทัพตระกูลม่อขวางเอาไว้จนไม่สามารถเคลื่อนทัพขึ้นหน้าต่อไปได้ แต่ถึงอย่างนั้นเยียหลี่ว์เหยี่ยก็ยังบุกยึดดินแดนขนาดใหญ่ไปให้เป่ยหรงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าฐานะของรัชทายาทก็คงจะเริ่มไม่มั่นคงกระมัง”
องค์หญิงหรงหวามองหน้าเยี่ยหลี พยักหน้าพลางเอ่ยทอดถอนใจ “พระชายากล่าวถูกแล้ว นี่ก็เหตุผลที่ว่าทำไมคราแรกรัชทายาทไม่ยินยอมให้องค์ชายเจ็ดเป็นผู้นำทัพ ในกองทัพ องค์ชายเจ็ดเป็นฝ่ายที่อยู่เหนือกว่ามาตลอด หากให้เขาได้รับผลงานการรบเช่นนี้อีก เกรงว่าคนที่สนับสนุนเขาก็คงจะมีมากยิ่งขึ้น ถึงยามนั้นรัชทายาท…”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาว่า “กองทัพตระกูลม่อสามารถให้ความช่วยเหลือรัชทายาทเป่ยหรงได้เล็กน้อย”
“เช่นนั้น…ท่านอ๋องกับพระชายาต้องการให้รัชทายาททำสิ่งใด” องค์หญิงหรงหวาถามขึ้น ขนมเปี๊ยะไส้เนื้อไม่มีทางหล่นลงมาจากฟ้าอย่างไม่มีเหตุผล หากคิดอยากได้สิ่งใดก็ย่อมต้องเสียบางอย่างเสมอ
เยี่ยหลียิ้ม “เรื่องนี้…ท่านอ๋องย่อมพูดคุยกับรัชทายาทเป่ยปรงเอง องค์หญิงเพียงต้องช่วยผลักดันในเวลาที่เหมาะสมให้รัชทายาทเป่ยหรงตัดสินใจโดยเร็วก็พอแล้ว ยิ่งรู้มากไปก็มีแต่จะทำให้รัชทายาทรู้สึกคลางแคลงใจ”
องค์หญิงหรงหวานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ต้องยอมรับว่าที่เยี่ยหลีพูดมามีเหตุผลยิ่งนัก นางพยักหน้าเป็นการตอบรับทุกอย่างที่เยี่ยหลีพูด
เมื่อให้คนไปส่งคณะของรัชทายาทเป่ยหรงกลับไปพักผ่อนที่โรงพักม้าแล้ว เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาถึงได้จูงมือกันกลับห้อง
“หลิ่วกุ้ยเฟยไปเจอกับเยียหลี่ว์เหยี่ยได้อย่างไร” เยี่ยหลีพิงอยู่กับอกของม่อซิวเหยา ใช้ความคิดพลางถามขึ้นด้วยความใคร่รู้ ม่อซิวเหยาเอนอยู่บนฟูกอย่างเกียจคร้าน ในมือถือม้วนหนังสือยกขึ้นอ่านเป็นพักๆ อีกมือหนึ่งก็จับเส้นผมของเยี่ยหลีเล่นไปด้วย เขาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เมื่อตอนม่อจิ่งฉีตาย เป่ยหรงส่งเยียหลี่ว์เหยี่ยมา หากหลิ่วกุ้ยเฟยถูกเขาช่วยเอาไว้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”
“แต่ที่เยียหลี่ว์เหยี่ยลุ่มหลงในตัวหลิ่วกุ้ยเฟยถึงเพียงนี้ เจ้าไม่คิดว่ามันน่าแปลกมากหรือ เยียหลี่ว์เหยี่ยผู้นี้ไม่ว่าความทะเยอะทะยาน ความสามารถล้วนไม่เป็นรองเยียหลี่ว์หง มาลุ่มหลงในสนมหลบหนีของต้าฉู่เช่นนี้ อย่างไรก็ทำให้รู้สึกแปลกๆ” นี่เป็นเรื่องที่เยี่ยหลีคิดไม่ตกจริงๆ หากจะพูดเรื่องลุ่มหลง หากเยียหลี่ว์หงที่ดูเผินๆ แล้วสุภาพกว่าเล็กน้อยมาลุ่มหลงในตัวหลิ่วกุ้ยเฟยยังดูน่าเชื่อกว่าเป็นเยียหลี่ว์เหยี่ยเสียอีก
ม่อซิวเหยาวางหนังสือลง ขมวดคิ้วครุ่นคิดเล็กน้อย “เป็นไปได้มากที่ในมือหลิ่วกุ้ยเฟยมีหมากอะไรที่เยียหลี่ว์เหยี่ยให้ความสำคัญอยู่ เจ้าไม่รู้สึกว่าตอนที่เยียหลี่ว์เหยี่ยยกทัพมาบุกก่อนหน้านี้ล้วนราบรื่นจนเกินไปหรือ” เป่ยหรงเป็นคู่ต่อคนสำคัญที่ต้าฉู่ป้องกันมาโดยตลอด แต่ทว่าตลอดทาง เยียหลี่ว์เหยี่ยกลับบุกโจมตีได้อย่างราบรื่นเสียยิ่งกว่าเหรินฉีหนิงของเป่ยจิ้งเสียอีก แค่เรื่องนี้ก็สามารถทำให้คนรู้สึกตกใจได้แล้ว เพียงแต่ในยามนั้นต้าฉู่มีข้าศึกประชิดทั้งสามด้านและพ่ายแพ้มาตลอด ทำให้ไม่มีใครไปใส่ใจใคร่ครวญในเรื่องนี้อย่างละเอียด
“หรือว่าหลิ่วกุ้ยเฟย...” สมคบคิดกับศัตรูเพื่อขายแคว้น
“เป็นไปได้มากทีเดียว” ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ “ตระกูลหลิ่วเป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยมีคนมีความสามารถนำทัพไปออกศึกได้ แต่ม่อจิ่งฉีให้ความสำคัญกับสายบุ๋น เมินเฉยต่อสายบู๊ คนตระกูลหลิ่วที่รู้ความลับของกองทัพก็ใช่ว่าจะมีน้อย” ถึงแม้สีหน้าจะยังคงเดิม แต่เยี่ยหลีกลับฟังแววสังหารในน้ำเสียงของม่อซิวเหยาออก นางขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าคิดจะทำเช่นไร”
ม่อซิวเหยาตอบว่า “หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่จำเป็นต้องไปจากเมืองหลีอีก ก่อนหน้านั้น…ม่อเซียวอวิ๋นกับเจินหนิงพักอยู่ที่ใด” อย่างไรม่อเซียวอวิ๋นก็เป็นองค์ชายของต้าฉู่ ถึงแม้จะจากเมืองฉู่จิงมาด้วนตนเองแต่ก็ไม่เหมาะที่จะให้พักอยู่ที่นั้น ย่อม จึงย่อมต้องย้ายมาพักยังฐานที่มั่นของตำหนักติ้งอ๋องที่เมืองหลี เยี่ยหลีเอ่ยว่า “ให้พวกเขาพักอยู่ที่จวนหลังหนึ่งในเมือง ไม่ไกลจากทั้งจวนสวีและจวนแม่ทัพหลี่ว์” ม่อซิวเหยาพยักหน้ายิ้ม “ดียิ่ง ให้คนปล่อยข่าวไปให้ถึงหูม่อเซียวอวิ๋นกับเจินหนิงด้วยก็แล้วกัน ในเมื่อมารดาแท้ๆ มาแล้ว จะเก็บเงียบจากพวกเขาก็คงไม่ได้”
นึกไปถึงใบหน้าองค์หญิงเจินหนิงที่ถูกทำให้เสียโฉมไปครึ่งหนึ่ง ในใจเยี่ยหลีก็จำต้องทอดถอนใจ ตอนพวกเขาเพิ่งมาถึงเมืองหลีใหม่ๆ เยี่ยหลีก็ได้พบเด็กทั้งสองคนนี้ เพราะในครานั้นเยี่ยหลีถือได้ว่าได้ช่วยชีวิตองค์หญิงเจินหนิงไว้ ม่อเซียวอวิ๋นกับองค์หญิงเจินหนิงจึงให้ความเคารพนางมาก เยี่ยหลีมองออก ยามที่เอ่ยถึงหลิ่วกุ้ยเฟย ในใจองค์หญิงเจินหนิงก็ให้บังเกิดความโกรธแค้น
“ข้ารู้แล้ว ทางด้านรัชทายาทเป่ยหรงนั่นเจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ม่อซิวเหยาหลุบตาลง “หากเทียบกับเยียหลี่ว์เหยี่ยแล้ว ความทะเยอทะยานของเยียหลี่ว์หงนั้นน้อยกว่ามาก แต่นั่นก็เกี่ยวกับนิสัยสุขุมของเขาที่ต่างกับชาวเป่ยหรงอยู่มาก เขาจึงมองอะไรได้ชัดกว่าเยียหลี่ว์เหยี่ย หากเขารู้ว่าควรทำเช่นไรแล้ว ก็ย่อมต้องมาเจรจากับพวกเราเอง” เยี่ยหลีพยักหน้า ระบายลมหายใจออกช้าๆ หลายวันนี้ที่ต้องมาพูดคุยกับบรรดาองค์ชายและท่านอ๋องเหล่านี้ เหนื่อยยากกว่ายามอยู่ในสนามรบเสียอีก
ม่อซิวเหยาก้มลงมองเยี่ยหลี เอ่ยเสียงเบาว่า “อาหลีเหนื่อยหรือ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “เพียงรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ซับซ้อนจนเกินไป ยังสบายใจสู้ยามอยู่ในสนามรบไม่ได้เท่านั้น” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “หากอาหลีไม่ชอบ จะมอบให้ข้ากับสวีชิงเฉินจัดการก็ได้ ไม่ต้องฝืน” เยี่ยหลีส่ายหน้า พิงซบม่อซิวเหยาพลางหลับตาพักผ่อน
“ท่านอ๋อง พระชายา หลินหานขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหลินหานดึงขึ้นที่หน้าประตู
ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นเอ่ยเรียบๆ ว่า “เข้ามา”
หลินหานก้าวเข้ามาในห้อง พอเห็นท่านอ๋องกับพระชายาอิงแอบอยู่ด้วยกันก็หลุบตาลงทันที เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เรียนพระชายา เมื่อครู่พระชายาหลีอ๋องไปที่จวนเยี่ยพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยหลีลุกขึ้นนั่ง หันไปถลึงตาใส่ม่อซิวเหยาที่ดุนดันตนด้วยความไม่พอใจพลางถามว่า “มีปัญหาอะไรหรือ” หลินหานสายตาไม่วอกแวก “องครักษ์ลับเห็นใครคนหนึ่งในตระกูลเยี่ย คิดว่าควรจะมารายงานให้ท่านอ๋องกับพระชายาทราบ”
“อ้อ ใครกันหรือ” เยี่ยหลีถามด้วยความใคร่รู้ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าในยามที่ตระกูลเยี่ยตกต่ำถึงเพียงนี้ จะยังมีใครที่ดึงความสนใจขององครักษ์ลับได้อีก
หลินหานเอ่ยว่า “เยี่ยเย่ว์พ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ” เยี่ยหลีอึ้งไป แม้แต่ม่อซิวเหยาก็ยังผงกศีรษะขึ้นมาพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม เยี่ยหลีมองหลินหานด้วยสายตาหนักอึ้งเล็กน้อย เอ่ยเรียบๆ ว่า “พูดให้ละเอียด”
หลินหานเอ่ยว่า “หลังจากพระชายาหลีอ๋องกลับไปที่จวนเยี่ยและพูดคุยกับคนตระกูลเยี่ยเสร็จ ก็ถูกเยี่ยหวังซื่อพาเข้าไปพูดคุยเป็นการส่วนตัวในห้อง พระชายาหลีอ๋องกับเยี่ยหวังซื่อความเห็นไม่ตรงกันจึงเกิดทะเลาะกันขึ้น องครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนถึงได้สังเกตเห็นว่า สาวใช้นางหนึ่งในห้องของเยี่ยหวังซื่อดูแปลกๆ ภาพเหมือนที่ส่งออกมาเห็นได้ชัดว่าสาวใช้คนนั้นมีความคล้ายคลึงกับเยี่ยเย่ว์ที่ถูกไฟครอกตายในวังหลวงในยามนั้นถึงเจ็ดส่วนพ่ะย่ะค่ะ”
“เยี่ยเหวินหวาช่างใจกล้านัก” น้ำเสียงของม่อซิวเหยาเจือความอึมครึม ทำให้หลินหานที่ยืนอยู่ข้างๆ อดเย็นวาบขึ้นไม่ได้ ไฟไหม้ใหญ่ในวังเมื่อปีนั้น ก็ทำให้เยี่ยหลีหายตัวไปพักใหญ่เช่นกัน ผลกระทบของเรื่องนี้ที่ฝากไว้ในใจของม่อซิวเหยาจะบอกว่าไม่ลึกคงไม่ได้ แม้แต่ม่อซิวเหยาก็ยังคิดไม่ถึงว่าเยี่ยเหวินหวาจะซุกซ่อนตัวเยี่ยเย่ว์เอาไว้