ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 336-1 เผด็จการอย่างสมเหตุสมผล
“พี่รอง ไม่ได้พบกันเสียหลายปี ท่านจะไปแล้วหรือ”
แผ่นหลังของเยี่ยเย่ว์ที่เดินไปถึงปากประตูแล้วชะงักงันไปทันที นางเหลือบมององครักษ์ในชุดดำที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วในที่สุดนางก็หันกลับมาพร้อมใบหน้าขาวซีด มองเยี่ยหลีที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานพร้อมรอยยิ้มอย่างพอเหมาะพอดีแล้วพูดเรียบๆ ว่า “น้องสาม ไม่ได้พบกันหลายปีทีเดียว” ไม่ใช่หลายปีแล้วหรือ จากครั้งสุดท้ายที่พวกนางพบหน้ากันอีกไม่นานก็เกือบจะครบสิบปีแล้ว เด็กสาวที่เดิมทีในสายตาของเยี่ยเย่ว์ยังเจือแววอ่อนใส ได้เติบโตจนกลายเป็นพระชายาติ้งอ๋องผู้โด่งดังไปทั่วหล้าที่ไม่ว่าในเวลาได้ก็สามารถเป็นการเป็นงานได้ไปแล้ว
ถึงแม้จะว่ากันเพียงรูปโฉม ความงดงามที่เยี่ยเย่ว์เคยนึกภูมิใจ เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเยี่ยหลีกลับดูจะตื้นเขินและน่าขันอย่างเห็นได้ชัด บางทีเยี่ยหลีอาจไม่ใช่สตรีที่งดงามที่สุด แต่อย่างไรนางก็มีสง่าราศีที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใครที่สุดในใต้หล้านี้ ทั้งยังเป็นสตรีที่มีแรงดึงดูดมากที่สุดด้วย ต่างกับความสุภาพอ่อนหวานอย่างหญิงงามคนใดก็ตามในโลกหล้านี้ นางสงบนิ่งสง่างาม องอาจ ผ่อนคลาย ทั้งยังมีความเด็ดขาดและเฉียบคมอย่างที่บุรุษก็ยังไม่อาจทัดเทียมได้ บุคลิกที่แตกต่างกันอย่างมากเช่นนี้ เดิมทีไม่มีทางปรากฏอยู่ในตัวคนคนเดียว แต่ด้วยเพราะเหตุนี้จึงทำให้เยี่ยหลีดูแตกต่างจากสตรีคนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด จึงไม่แปลกที่จนถึงตอนนี้ม่อจิ่งหลียังคงฝักใฝ่หาไม่ยอมลืมเลือน และถึงขั้นนึกเกลียดม่อซิวเหยาต่างๆ นานาอีกด้วย
ติ้งอ๋องช่างวาสนาดีและสายตาดีเสียจริง ประโยคนี้เคยมีคนพูดกันมาหลายคน แม้แต่คนที่เย่อหยิ่งอย่างเยี่ยเย่ว์ก็ยังต้องยอมรับว่าน้องสาวต่างมารดาของตนผู้นี้ เพียงพอที่จะให้ติ้งอ๋องผู้เย่อหยิ่งเหนือผู้ใดต้องยอมโค้งตัวให้
เมื่อเห็นท่าทางสบายๆ ไม่ตื่นกลัวของเยี่ยเย่ว์ นัยน์ตาของเยี่ยหลีก็เป็นประกายชื่นชม “หลายปีนี้ พี่รองสบายดีหรือไม่”
เยี่ยเย่ว์หลุบตาลง เอ่ยกลั้วหัวเราะเรียบๆ ว่า “จะมีเรื่องอะไรดีหรือไม่ดีกัน ใช้ชีวิตเหมือนผีตายซากไปวันๆ ก็เท่านั้น”
ในขณะที่เยี่ยเย่ว์มองประเมินเยี่ยหลีนั้น เยี่ยหลีก็กำลังมองประเมินเยี่ยเย่ว์ด้วยเช่นกัน ไม่แปลกที่คนของตำหนักติ้งอ๋องที่จัดให้อยู่ในจวนเยี่ยจะจำนางไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เยี่ยเย่ว์หมกตัวอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนให้ใครพบเห็น แค่ด้วยรูปลักษณ์ของนางในยามนี้ก็ไม่ง่ายที่จะทำให้คนนึกไปถึงเยี่ยเจาอี๋ที่เคยงดงามโดดเด่นอย่างเมื่อหลายปีก่อน ผ่านมาหลายปีเช่นนี้ รูปลักษณ์ภายนอกของเยี่ยเย่ว์เปลี่ยนไปมาก เยี่ยเย่ว์คนก่อนงดงามหยาดเยิ้ม แต่เยี่ยเย่ว์ในยามนี้ แม้จะยังคงงดงามดังเก่า แต่กลับมีความอ่อนน้อมและบอบบางมากขึ้น หากเยี่ยเย่ว์ในอดีตคือดอกไห่ถัง เช่นนั้นเยี่ยเย่ว์ในยามนี้ก็คงดูคล้ายดอกกุ้ยฮวาเสียมากกว่า ที่มองดูแล้วไม่ได้โดดเด่นดึงดูดสายตาดังเช่นแต่ก่อน แต่หากลองพินิจมองให้ดีแล้วกลับทำให้คนเฝ้าคนึงหา หากไม่ได้รู้เรื่องมาก่อน คนที่ต่อให้รู้จักกับเยี่ยเย่ว์ไปพบเห็นนางที่อื่นเข้า ก็น่ากลัวว่าคงคิดว่าเป็นคนที่มีส่วนคล้ายนางหลายส่วนเท่านั้น
“ในเมื่ออยู่เหมือนผีตายซาก เหตุใดจึงไม่ตายไปเสียเลยเล่า” ม่อซิวเหยาที่อยู่ข้างกายเยี่ยหลีเอ่ยขึ้นมาลอยๆ คำพูดที่หลุดออกมาถึงแม้จะราบเรียบไม่เจือความรู้สึกใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงไอสังหารอันเหลือล้น
เยี่ยเย่ว์พลันหน้าถอดสี ทั้งเมืองหลีนี้คนที่นางหวาดกลัวที่สุดก็คือม่อซิวเหยา หากเป็นเยี่ยหลีนางยังพอพูดคุยหว่านล้อมได้ แต่เทิ้อต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยา นางกลับทำอันใดไม่ได้เลย หากเป็นไปได้ เยี่ยเย่ว์ไม่อยากต้องมาเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเลยจริงๆ นางถึงขั้นไม่อยากมีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตำหนักติ้งอ๋องอีก เพียงแต่ตั้งแต่วินาทีที่นางมาถึงเมืองหลี บางทีอาจกำหนดไว้แล้วว่า นางจะต้องมีชั่วขณะหนึ่งที่ต้องเผชิญหน้ากับม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเช่นในยามนี้ก็เป็นได้
ไม่เพียงแต่เยี่ยเย่ว์ แต่เยี่ยเหวินหวา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าและหวังซื่อเองก็พลอยหน้าถอดสีไปด้วย หวังซื่อฝืนกลั้นความหวาดกลัวในใจ เข้าไปขวางหน้าเยี่ยเย่ว์ไว้ “ท่านอ๋องหมายความเช่นไรกันเพคะ…เยี่ยเย่ว์เป็นบุตรสาวของตระกูลเยี่ย จะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ”
ม่อซิวเหยาคว้ามือเยี่ยหลีมาจับไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งวางอยู่บนที่เท้าแขน เคาะไม้แดงเบาๆ อย่างไม่เร่งร้อนและไม่เนิบช้า แต่กลับทำให้ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันใจเต้นระส่ำ ครู่ใหญ่ ม่อซิวเหยาถึงได้ยิ้มจางๆ กล่าวว่า “ดูท่า เยี่ยฮูหยินคงจะลืมไปแล้วว่าในครั้งนั้นบุตรสาวของท่านได้ทำเรื่องอะไรไว้กับอาหลี” เยี่ยหวังซื่อตัวสั่นเล็กน้อย “นั่นมันเรื่องตั้งนานมาแล้ว อีกอย่าง…เยี่ยหลีก็ไม่ได้ไม่เป็นอะไรหรอกหรือ”
ม่อซิวเหยาหรี่ตาลง โกรธจัดจนยิ้มออกมา “พูดได้มีเหตุผล…เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ให้ข้าลองฟันเยี่ยเย่ว์ดูสักทีดีหรือไม่ หากนางไม่ตาย เรื่องที่นางทำร้ายอาหลีในครั้งนั้นก็ถือว่าแล้วกันไป”
ได้ยินอย่างนั้น เยี่ยหวังซื่อก็ตกใจจนเกือบร้องออกมา เยี่ยเย่ว์ได้แต่กัดฟันแน่นพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน หากติ้งอ๋องต้องการจะฆ่าใครสักคน เขาจะฟันไม่ตายในทีเดียวได้อย่างไร เยี่ยเย่ว์ไม่ใช่คนมีวรยุทธสูงส่ง แท้จริงแล้วนางก็เป็นเพียงสตรีบอบบางที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับไก่ด้วยซ้ำ หากเรื่องพละกำลังวรยทุธแล้ว นางถึงขั้นสู้มู่หรงถิงกับฮว่าเทียนเซียงที่เกิดในตระกูลนักรบ หรือแม้แต่หลิ่วกุ้ยเฟยที่ได้ชื่อว่าพรักพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ด้วยซ้ำ
“หลีเอ๋อร์” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วพลางเอ่ยปากขึ้น “เรื่องในตอนนั้นเป็นเย่ว์เอ๋อร์ที่ผิดต่อเจ้าจริงๆ แต่เย่ว์เอ๋อร์ก็ทำไปเพราะถูกบังคับ หลายปีนี้นางก็ลำบากมาไม่น้อย เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้องของพวกเจ้า อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยไปเลย” เยี่ยหลีผินหน้าไปมองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ที่พูดนั้นที่เป็นการเกลี้ยกล่อมขอร้อง แต่น้ำเสียงของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ากลับฟังดูไม่เป็นเช่นนั้นเลย น้ำเสียงนางเจือแววคำสั่งอย่างผู้ใหญ่พูดกับผู้น้อยเสียมากกว่า ถึงแม้เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจะอาวุโสกว่าเยี่ยหลีก็จริง แต่นางกลับลืมไปเสียแล้วว่า เยี่ยหลีไม่ใช่คนที่จะให้นางสั่งได้อีกต่อไป “ท่านย่า ตอนนั้นพี่รองเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้ว ถึงแม้ตั้งแต่เล็กมา ท่านย่าจะเอ็นดูพี่รองมากกว่าอยู่เล็กน้อย แต่กระนั้นนางก็เป็นหลานสายรอง ใจท่านย่าออกจะลำเอียงเกินไปสักหน่อยกระมัง”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอึ้งไป นางย่อมรู้ว่าตนนั้นลำเอียง แต่นางคิดมาตลอดว่าที่นางลำเอียงนั้นเป็นเรื่องสมเหตุสมผล หากเทียบกับเยี่ยหลีที่ตั้งแต่เล็กก็เติบอยู่ในบ้านตระกูลสวีครึ่งหนึ่ง อยู่ข้างกายสวีซื่อครึ่งหนึ่งแล้ว เยี่ยเย่ว์ต่างหากถึงเป็นหลานที่เติบโตมาข้างกายนางจริงๆ เยี่ยเย่ว์เป็นเด็กดี ฉลาดทั้งยังรู้จักพูดเอาใจให้นางใจอ่อน แล้วเหตุใดนางถึงจะไม่ลำเอียง เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเยี่ยหลีพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คิ้วสีดอกเลาขมวดมุ่นแล้วเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าก็พูดว่า “ย่ารู้ว่าเจ้าน้อยใจ แต่ยามนี้ตระกูลเยี่ยก็เหลือเพียงพวกเจ้าพี่น้องไม่กี่คนแล้ว เจ้าจะใจกว้างสักหน่อยได้ไม่เชียวหรือ”
เยี่ยหลีกะพริบตา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าคงไม่คิดจริงๆ ว่านางน้อยใจที่ไม่ได้รับความเอ็นดูกระมัง นางเงยหน้าขึ้นมองม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าหมายความเช่นนั้นจริงๆ
เยี่ยหลีคลี่ยิ้ม เอ่ยถามช้าๆ ว่า “ท่านย่า หากข้าปล่อยพี่รองไป พวกท่านคิดจะจัดการเช่นไร”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันได้เอ่ยปาก เยี่ยเหวินหวาที่อยู่ข้างๆ ก็พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พ่อจะสร้างอารามขึ้นในจวน ต่อไปนางจะอยู่แต่ในจวน ถือศีลกินเจ ไม่ออกไปไหนอีกเลยตลอดชีวิต”
“เหลวไหล!” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพลันน่าบึ้งตึงลงทันที ถลึงตาใส่เยี่ยเหวินหวาด้วยความไม่พอใจ ที่นางพูดเกลี้ยกล่อมเยี่ยหลีขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะต้องการจะเพิ่มอารามขึ้นในจวนหรือเลี้ยงดูคนว่างเพิ่มอีกคนหนึ่งเสียหน่อย เยี่ยหลีเลิกคิ้ว อมยิ้มมองเยี่ยเหวินหวาแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “เช่นนั้นท่านย่าคิดเห็นเช่นไร” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบตาขึ้นพูดว่า “ในเมื่อเจ้ากับติ้งอ๋องไม่ต้อนรับพวกเรา ข้ากับพ่อเจ้าก็คิดจะตามอิ๋งเอ๋อร์ไปอยู่ที่เจียงหนาน เจ้าเห็นแก่ที่เป็นพี่น้องกับเย่ว์เอ๋อร์ ก็ให้นางไปกับพวกเราก็แล้วกัน”
“ท่านพ่อ ท่านก็ตั้งใจเช่นนี้หรือ” เยี่ยหลีหันมองเยี่ยเหวินหวาพลอางเอ่ยถามเรียบๆ ความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักติ้งอ๋องกับม่อจิ่งหลีนางไม่เชื่อว่าเยี่ยเหวินหวาจะไม่รู้ หากเขาก็เลือกที่จะไปด้วยกันแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาตั้งใจที่จะเป็นอริกับตำหนักติ้งอ๋องตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เช่นนั้นนางก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจแล้ว
“ไม่” เยี่ยเหวินหวาส่ายหน้า “พ่อจะไม่ไปจากเมืองหลี เยี่ยหรงก็จะไม่ไปเช่นกัน พ่อไม่มีสิ่งใดจะขอร้องอีก หวังเพียงได้เห็นหรงเอ๋อร์แต่งงานมีบุตรอย่างสงบเรียบร้อยเท่านั้น” เยี่ยหลีพอใจกับตัวเลือกของเยี่ยเหวินหวามาก ต่อให้นางไม่ชอบใจเยี่ยเหวินหวาเพียงใด แต่ก็เปลี่ยนความจริงที่ว่าเขาเป็นบิดาของนางไปไม่ได้ เยี่ยหลียังไม่ใจไม้ไส้ระกำถึงขั้นสามารถสังหารบิดาและญาติมิตรโดยไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่ได้ ไม่ต้องพูดถึงชาตินี้ ถึงอย่างไรการใช้ชีวิตเป็นทหารมายี่สิบกว่าปีในชาติที่แล้ว ก็ทำให้มุมมองต่อโลก ต่อมนุษย์และต่อคุณค่าของนางถูกต้องอย่างมากมาตลอด ขอเพียงเยี่ยเหวินหวาไม่ทำเรื่องที่ส่งผลร้ายต่อตำหนักติ้งอ๋อง การจะเลี้ยงดูเขาในวัยชราให้มีชีวิตที่สงบสุข เยี่ยหลีก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไร แต่แน่นอนว่าเพียงแค่นี้เท่านั้น