ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 336-3 เผด็จการอย่างสมเหตุสมผล
เยี่ยเย่ว์เอ่ยว่า “ในโลกนี้ไม่มียาพิษตัวใดที่ไม่สามารถถอนพิษได้ แม้แต่พิษร้ายในตัวท่านอ๋องก็ถูกถอนออกไปแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้ารู้อะไรไม่น้องทีเดียว” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว หากสตรีนางนี้ไม่ได้ทำให้เรื่องที่เขาโกรธจริงๆ เขาก็ไม่รังเกียจที่จะชื่นชมนางสักเล็กน้อย เยี่ยเย่ว์ทำเป็นไม่ได้ยิน พูดต่อไปว่า “ยาตัวนั้นที่ไม่มียาถอนพิษเป็นเพราะตัวยาส่วนที่นำมาใช้ทำยาพิษและยาถอนพิษนั้นเป็นตัวเดียวกัน ทั้งยังไม่มีตัวใดสามารถเอามาทดแทนได้ ซึ่งก็คือต่อให้หาตัวยาเดียวกันมาสกัดเป็นยาถอนพิษ ก็สามารถถอนได้เพียงพิษที่มาจากกิ่งยาเดียวกันเท่านั้น ยาพิษและยาถอนพิษทุกสูตรล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว ยาพิษตัวที่ม่อจิ่งหลีได้รับไปนั้น ยาถอนพิษอยู่ในมือข้า”
“หากเป็นเช่นนี้ ก็ไม่แปลกที่ม่อจิ่งหลีกล้าก่อเรื่องใต้จมูกข้าแล้ว” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ สำหรับม่อจิ่งหลีแล้ว ถึงแม้เยี่ยเย่ว์จะไม่มีประโยชน์ด้านอื่น แต่หากมีเพียงข้อนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ม่อจิ่งหลีพยายามสุดความสามารถที่จะพานางกลับไปด้วยได้แล้ว เพราะถึงอย่างไรการไม่มีบุตรสืบสกุล ก็เรียกได้ว่าเป็นปมด้อยและจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของเขานอกจากตำแหน่งฮ่องเต้แล้ว “ยานั่นอยู่ที่ไหน” ม่อซิวเหยาถาม
เยี่ยเย่ว์กัดฟัน ม่อซิวเหยาจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าไม่จำเป็นต้องมียาตัวนั้น ข้าเพียงต้องการให้ม่อจิ่งหลีไม่ได้มันไปก็ เจ้าว่า…ข้าสามารถฆ่าเจ้าเสียแต่ตอนนี้เลยได้หรือไม่”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นนี้ นอกจากยอมแพ้อย่างราบคาบแล้ว ก็ไม่มีทางอื่นให้เดินอีก ในที่สุดเยี่ยเย่ว์ก็จำต้องดึงปิ่นปักผมที่ดูสะดุดตาเล่มหนึ่งออกมาโยนให้ม่อซิวเหยาด้วยความไม่ยินดี ม่อซิวเหยาโยนสิ่งนั้นไปให้ฉินเฟิงที่อยู่หน้าประตู บอกว่า “เอาไปให้เสิ่นหยางดูที”
เมื่อเสียหมากเกือบจะทั้งหมดไป เยี่ยเย่ว์กลับดูเหมือนผ่อนคลายลงมาก นางทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ มองม่อซิวเหยาพลางพูดว่า “ข้าไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว พวกเจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อ”
ม่อซิวเหยาอยากจะพูดอะไรอีก แต่ที่นอกประตูมีองครักษ์เข้ามารายงานว่า “ท่านอ๋อง พระชายา หลีอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อซิวเหยาซบลงบนไหล่เยี่ยหลี เอ่ยกลั้วหัวเราะเสียงต่ำว่า “จับจุดตายของม่อจิ่งหลีไว้ได้แล้วจริงๆ ช่างมาได้ทันกาลเหลือเกิน”
เยี่ยหลีมองเข้าด้วยความจนใจ การมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นในเรื่องเช่นนี้ เป็นเรื่องดีจริงๆ หรือ
ม่อซิวเหยาหัวเราะจนพอใจแล้ว ก็จับมือเยี่ยหลีพลางหันไปพูดกับเยี่ยเหวินหวาว่า “ท่านพ่อตา” ชั่วชีวิตนี้เยี่ยเหวินหวาเคยได้ยินม่อซิวเหยาเรียกตนว่าท่านพ่อตาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น แต่ ณ ตอนนี้เขารู้สึกว่าไม่ได้ยินอีกเลยตลอดชีวิตยังดูจะดีเสียกว่า เขาก้าวเข้าไปด้วยความตื่นเต้นตกใจ ม่อซิวเหยาเอ่ยว่า “เยี่ยเย่ว์มอบหมายให้ท่านชั่วคราว หากเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้น…พวกท่านทั้งตระกูลก็ไม่ต้องมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ…ข้ารู้แล้ว ไม่มีทางให้พวกนางทำอะไรเหลวไหลเด็ดขาด” เยี่ยเหวินหยาแทบจะตอบด้วยความยินดี เรื่องในวันนี้เขาแทบไม่มีความหวังว่าจะจบลงด้วยดีเลย เดิมทีคิดว่าอย่างไรเยี่ยเย่ว์คงต้องตายแน่แล้ว คิดไม่ถึงว่าม่อซิวเหยาจะถึงขั้นยอมเอ่ยปากออกมา จึงรีบตอบรับทันที เพราะถึงอย่างไรเยี่ยเย่ว์ก็เป็นบุตรสาวของตน
ม่อซิวเหยาพยักหน้าด้วยความพอใจแล้วจึงจูงมือเยี่ยหลีจากไป
ภายในห้องหนังสือ เมื่อองครักษ์ทั้งหมดในห้องหนังสือจากไปหมดแล้ว พวกเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนใจออกมา
หวังซื่อจับแขนเสื้อเยี่ยเหวินหวาพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “นายท่าน ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” เยี่ยเหวินหวาใบหน้าเรียบเฉย จ้องหวังซื่อที่เอาแต่ร้องไห้อยู่นาน ในขณะที่หวังซื่อคิดว่าเขาจะพูดอะไรนั้นเอง นางก็ถูกสะบัดตบเข้าที่ใบหน้าโดยแรงทันที ตบครั้งนี้รุนแรงและหนักหน่วงกว่าครั้งก่อนหน้านี้เสียอีก ศีรษะของหวังซื่อกระแทกถูกขอบโต๊ะที่อยู่ข้างๆ พลันมีเลือดไหลออกมา
“นายท่าน!”
“ท่านพ่อ!”
“หวาเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรน่ะ” ทั้งสามตกใจจนร้องเสียงหลง เยี่ยเหวินหวาจ้องหวังซื่อด้วยสายตาดุดันพลางพูดว่า “ไปอยู่ในห้องตัวเองให้สงบเสงี่ยมเรียบร้อยเดี๋ยวนี้ หากกล้าก้าวเท้าออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว เจ้าก็เอาหนังสือหย่าขาดแล้วไสหัวไปเสีย”
“นายท่าน...” หวังซื่อตกใจจนอึ้งไป ลืมแม้กระทั่งการร้องไห้ เยี่ยเหวินหวาพูดจบก็ไม่สนใจนางอีก หันมองเยี่ยเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ “เจ้าก็ด้วย ถ้าไม่อยากตายก็อย่าอวดฉลาดอีก การแกล้งตายของเจ้าอย่าได้ทำให้ตระกูลเยี่ยทั้งตระกูลเดือดร้อนไปด้วย” เยี่ยเย่ว์หลุบตาลง มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำเข้าหากันแน่น “ท่านพ่อ ลูกรู้แล้ว”
“รู้แล้วก็ดี” เยี่ยเหวินหวานเอ่ยเสียงขรึม
“หวาเอ๋อร์…” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วเอ่ย นางไม่พอใจกับท่าทีแข็งกระด้างเช่นนี้ของบุตรชายเป็นอย่างมาก เยี่ยเหวินหวาไม่รอให้นางพูดจบ เอ่ยเสียงเข้มว่า “ท่านแม่ ท่านอยากเห็นตระกูลเยี่ยหมดสิ้นผู้สืบทอดแล้วถึงจะพอใจจริงๆ หรือ” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าตกใจเอ่ยว่า “จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เจ้าเป็นบิดาของเยี่ยหลี หรือว่านางจะกล้า…”
เยี่ยเหวินหวายิ้มเฝื่อน “หลีเอ๋อร์อาจจะไม่ แต่ติ้งอ๋องเห็นข้าเป็นพ่อตาตั้งแต่เมื่อไรกัน หลายปีนี้ติ้งอ๋องฆ่าคนไปกี่คน ท่านแม่ไม่รู้หรือ หรือท่านแม่คิดว่าเขาจะทำไม่ลง”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไป หลายปีนี้ไม่ต้องบอกว่าม่อซิวเหยาสังหารคนในสนามรบไปเท่าไร แค่บอกว่าเพื่อเยี่ยหลีแล้วเขาสังหารคนไปเท่าไรก็พอ…เมื่อคิดถึงตรงนี้ เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพลันตัวสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เยี่ยเหวินหวาส่งเสียงเหอะเย็นๆ ไม่สนใจเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่เหมือนอยากจะพูดอะไรอีก เพียงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที
เมื่อเยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาออกมาจากห้องหนังสือแล้ว ก็เดินเคียงกันไปที่โถงด้านหน้า เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความใคร่รู้ว่า “เจ้าคิดจะจัดการเยี่ยเย่ว์อย่างไรหรือ” ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจม่อซิวเหยา แต่การปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ไม่เหมือนกับนิสัยของม่อซิวเหยาเอาเสียเลย ม่อซิวเหยาก้มหน้าลง ตาที่มองเยี่ยหลีเจือรอยยิ้มอบอุ่น “เห็นแก่ที่นางทำให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นมาเล็กน้อย จะปล่อยให้นางดีใจต่อไปสักสองวันก่อน”
“เยี่ยเย่ว์ไม่ใช่คนที่ยอมรับชะตากรรม” เมื่อครั้งอยู่ในวัง นางยังหาวิธีหลบหนีจากความตายมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามนี้ หนำซ้ำเยี่ยเย่ว์ยังเป็นคนฉลาด นางไม่มีทางเดาไม่ออกว่าม่อซิวเหยาไม่มีทางปล่อยนางไป หากปล่อยไว้เช่นนี้เกรงว่ามีแต่จะเกิดเรื่องวุ่นวายในภายหน้า
ม่อซิวเหยายิ้มเรียบๆ “ข้ากลับกลัวว่านางจะยอมรับชะตาเสียมากกว่า ตอนนั้นนาง…ไม่ใช่คิดอยากจะให้ไฟครอกอาหลีตายหรอกหรือ หากให้ตายไปแบบนี้คงเป็นการดูถูกนางเกินไป อาหลีไม่ต้องไปสนใจนาง ไปแหย่ม่อจิ่งหลีเป็นเพื่อนข้าเล่นดีกว่า” พูดจบก็ไม่ให้เวลาเยี่ยหลีได้ไตร่ตรอง จับมือเยี่ยหลีออกเดินไปทางเรือนหน้าทันที
จั๋วจิ้งกับเว่ยลิ่นที่ติดตามอยู่ด้านหลังพวกเขาอดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้ ทั้งสองหันสบตากัน ท่านอ๋องคงไม่ได้คิดจะให้ไฟครอกเยี่ยเย่ว์ตายทั้งเป็นหรอกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นจริง พวกเขาคงต้องเห็นใจนางแล้ว สู้เมื่อครู่ถูกท่านอ๋องฆ่าให้ตายไปเสียเลยยังดีกว่า อีกอย่าง แหย่หลีอ๋องอะไรนั่นอีก ท่านอ๋องท่านแน่ใจหรือว่าที่ท่านพูดถึงคือหลีอ๋อง ไม่ใช่หมาสีขาวตัวเล็กจากต่างแคว้นที่สวีฮูหยินน้อยเอามาเลี้ยง