ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 339-2 แผนการของติ้งอ๋อง
สายตาของหลันซือจ้องนิ่งอยู่ที่ร่างในชุดแดง รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง ทั้งยังรูปโฉมที่งดงามผ้าไหมเส้นหนึ่งรวมเส้นผมดกดำเอาไว้ง่ายๆ อีกทั้งรอยยิ้มมุมปากที่เกียจคร้านนั่น สร้างความรู้สึกงดงามอย่างประหลาดให้กับผู้พบเห็นอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้เมื่อเทียบกับพระชายาผู้เลอโฉมแล้วจะยังดูไม่อ่อนหวานและละมุนละไมเท่า แค่กลับดูมีรูปลักษณ์ที่ต่างออกไปเพิ่มเข้ามา ดังนั้นจึงเป็นอีกครั้งที่หลันซือมองเมินชายในชุดขาวข้างกายร่างในชุดแดงไป เด็ดดอกไม้ขึ้นมาดอกหนึ่งพลางวิ่งเหยาะๆ เข้าไปทันที
“คุณหนูแห่งแดนตะวันออกผู้เลอโฉม ข้าพอจะมีวาสนาได้จิบชายามบ่ายกับท่านสักครั้งหรือไม่ หากท่านยังไม่ได้แต่งงานดังเช่นพระชายาผู้เลอโฉมแล้ว ได้โปรดพิจารณาตอบรับความรักอันลึกซึ้งของข้าทีเถิด”
คนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าถึงกับอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าตกใจกับการสารภาพรักอย่างกะทันหันของคนตรงหน้า ไม่นานคนในชุดแดงถึงได้ถามเสียงขรึมว่า “เจ้าพูดอะไรน่ะ”
หลันซืออึ้งไป น้ำเสียงของคุณหนูผู้นี้ดูจะแตกต่างจากพระชายาผู้เลอโฉมอยู่ไม่น้อย ทว่าหญิงงามที่เพียบพร้อมไม่มีที่ติดังเช่นพระชายานั้นคงจะพบเจอได้ไม่บ่อยครั้งนัก แต่หญิงงามในชุดแดงผู้นี้ก็เป็นคนงามที่พบเจอได้ยากเช่นกัน
“หากท่านยังไม่ได้แต่งงาน ได้โปรดตอบรับความรักอันลึกซึ้งของข้าด้วยเถิด” หลันซือเงยหน้าขึ้นเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ
“ผลั่ก!”
คำตอบที่เขาได้รับเป็นหมัดลุ้นๆ ที่ทั้งรุนแรงและหนักหน่วง หลันซือถูกต่อยจนมึนงงไปหมด ตั้งตัวไม่ติดไปชั่วขณะ เขาส่ายหน้าพลางพูดว่า “คุณหนูคนงา…”
“ผลั่ก!”
หานหมิงซีต่อยเข้าอีกหมัดอย่างไม่ออมแรง จนทำให้ชายหนุ่มผมทองที่เดิมตาดำข้างเดียวเป็นสุนัขพันธุ์บูลเทอเรียกลายเป็นตาดำสองข้างเหมือนหมีแพนด้าไปทันที “เจ้าตาบอดแล้วหรือไร ข้าเป็นบุรุษต่างหากเล่า!”
เอ๋ ใบหน้าที่เดิมทีดูน่าสงสารของคุณหนูชาวตะวันออก เปลี่ยนเป็นดุดันจนหลันซือนิ่งอึ้งไป เขาพินิจมองชุดสีแดงสดและใบหน้าอันหล่อเหลาของหานหมิงซีอีกครั้ง ถึงได้สังเกตเห็นว่าคนงามในชุดแดงผู้นี้สูงยาวใกล้เคียงกับเขาเลยทีเดียว หนำซ้ำ…
หานหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ มองใบหน้าเดือดดาลของน้องชาย ก่อนจะหันไปจ้องบุรุษผมทองที่ตาสองข้างดำเป็นหมีแพนด้า แล้วก็ถึงกับก้มหน้าหัวเราะเงียบๆ อย่างอดไม่อยู่
“พี่!” หานหมิงซีหงุดหงิดจนกลายเป็นโกรธเกรี้ยว สลัดมือหานหมิงเย่ว์ที่จับมือตนไว้อยู่ออก “พี่อย่าห้ามข้า ข้าจะเอามันให้ตาย!”
“เอาน่า เขาน่าจะเป็นแขกของตำหนักติ้งอ๋อง เจ้าต่อยเขาสองหมัดให้พอระบายอารมณ์ก็พอแล้ว พระชายาติ้งอ๋องยังรอเจ้าไปพูดธุระด้วยอยู่มิใช่หรือ” หานหมิงเย่ว์พูดปลอบเขา
พอได้ยินที่พี่ชายเอ่ย หายหมิงซีถึงทิ้งความคิดที่จะอัดหลันซือต่อด้วยความหัวเสีย ทิ้งสายตาดุดันราวคมมีดไว้ทีหนึ่งก่อนจะเดินไปทางห้องหนังสือของเยี่ยหลี
หลันซือหน้าม่อยเดินตามอยู่ด้านหลัง นี่เขาถึงขั้นสารภาพรักกับบุรุษเชียวหรือ แค่ลองจินตนาการก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว หลันซือตัวสั่นพร้อมตัดสินใจที่จะทำตามคำแนะนำของลูกจ้างเขา ด้วยการเชิญแม่สื่อสักคนให้ช่วยแนะนำคุณหนูที่อ่อนหวานงดงามมาเป็นภรรยา แดนตะวันตกนี้ช่างน่าหวาดกลัวเหลือเกิน เขาแยกไม่ออกเลยว่าผู้ใดเป็นบุรุษผู้ใดเป็นสตรี ที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาดันไว้ผมยาวเหมือนกันหมดนี่สิ
หลันซือผู้น่าสงสารไม่มีวันได้รู้เลยว่า เหตุใดเขาถึงได้โดนต่อยเข้าสองหมัดเสียได้
ภายในห้องหนังสือของเยี่ยหลี เมื่อคณะของหานหมิงซีทั้งสามคนไปถึง ม่อซิวเหยากับสวีชิงเฉินมารออยู่ก่อนแล้ว
เมื่อได้เห็นสภาพแปลกใหม่ของหลันซือ เยี่ยหลีก็ถึงกับอึ้งไปด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับหลันซือที่พอได้เห็นสวีชิงเฉินก็รู้สึกว่าเขาหล่อเหลาโดดเด่นเสียยิ่งกว่าหานหมิงซี แต่พอเหลือบมองหานหมิงซีที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว จึงได้แต่กะพริบตาพลางก้มหน้าลงอย่างน่าสงสาร
ท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น สวีชิงเฉินเห็นเข้าก็ถึงกับมุมปากกระตุก เลิกคิ้วขึ้นด้วยความฉงนสงสัย
แต่ที่ไม่มีใครทันเห็นคือ ใครบางคนที่นั่งอยู่ข้างกายเยี่ยหลี ผู้ซึ่งกำลังก้มหน้าจิบชาอยู่ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มสมใจ
ถึงแม้ธุระของหลันซือจะสำคัญมาก แต่กลับมีความหมายต่อติ้งอ๋องในขณะนี้ไม่มากนัก ต่อให้ร่วมมือทำการค้ากับหลันซือ ก็ไม่ใช่ว่าจะเห็นผลกำไรในช่วงสั้นๆ อยู่ดี ดังนั้นเมื่อพูดคุยแผนการกันคร่าวๆ แล้ว เรื่องนี้จึงมอบให้หานหมิงซีไปจัดการต่อ หลายปีนี้ หานหมิงเย่ว์อยู่อย่างเหมือนมีเหมือนไม่มีตัวตนเช่นนี้ ม่อซิวเหยาก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเขา แต่ถึงอย่างไรหากหานหมิงซีเจอเรื่องวุ่นวายอะไร หานหมิงเย่ว์ก็ย่อมยื่นมือเข้ามาช่วยเขาจัดการอยู่แล้ว ถึงแม้เขาจะไม่มีมิตรไมตรีใดๆ ต่อหานหมิงเย่ว์ผู้นี้แล้ว แต่อย่างน้อยมันสมองของหานหมิงเย่ว์ก็ถือว่าไม่เลวอย่างมาก หากสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียอะไร เหตุใดถึงจะไม่ใช่เล่า
เมื่อไล่พวกหานหมิงซีทั้งสามคนไปแล้ว พวกม่อซิวเหยาอีกสามคนที่เหลือจึงลงนั่งปรึกษาหารือกันต่อ เมื่อฟังม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเอ่ยเล่าเหตุการณ์ที่ออกไปในวันนี้จนจบ ความสนใจของคุณชายใหญ่สวี ก็ไปรวมอยู่ที่ฉินหงส์หยกขาวที่ยังไม่ได้มาในครอบครองจริงดังคาด หาใช่คนสองสามคนที่ม่อซิวเหยากับเยี่ยหลีคิดจะวางแผนจัดการเหล่านั้นไม่ เขาจ้องหน้าม่อซิวเหยาพลางเอ่ยถามว่า “ม่อจิ่งหลีจะมอบของเหล่านั้นให้ท่านจริงหรือ” การละทิ้งฉู่จิงไปเป็นเรื่องที่เสียหน้าพออยู่แล้ว หากต้องมาเสียสมบัติอันล้ำค่าของต้าฉู่ไปอีก หน้าของม่อจิ่งหลีผู้ซึ่งเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการผู้นี้คงได้ถูกผู้คนเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าเป็นแน่
ม่อซิวเหยายิ้มอย่างได้ใจเต็มเปี่ยม “หากเทียบกับสิ่งของไร้ชีวิตที่กินไม่ได้ใช้ไม่ได้แล้ว บุตรชายที่วิ่งได้กระโดดได้จะไม่สำคัญกว่าหรอกหรือ”
คุณชายชิงเฉินนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ม่อจิ่งหลีดูไม่ใช่คนที่ยึดมั่นทุ่มเทเพื่อความถูกต้องจริงๆ “ฉินหงส์หยกขาวนั่นมอบมาให้ข้า”
รอยยิ้มของม่อซิวเหยาดูปรีดายิ่งขึ้น “พี่สวี นี่เป็นถึงสมบัติล้ำค่าแห่งต้าฉู่เชียวนะ ต่อให้เป็นท่าน ข้าก็คงไม่อาจมอบให้ท่านได้โดยง่ายกระมัง” สวีชิงเฉินมองหน้าเขาเรียบๆ “เจ้าดีดฉินเป็นหรือ”
“พอได้อยู่บ้าง” หากเทียบกับสวีชิงเฉินแล้ว ฝีมือการดีดฉินของติ้งอ๋องถือว่าแค่พอได้จริงๆ มิหนำซ้ำความสนใจของติ้งอ๋องไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงย่อมไม่สนใจว่าฉินที่ตนดีดจะเป็นฉินที่เพิ่งผลิตขึ้นเมื่อปีที่แล้ว หรือเป็นฉินอันโด่งดังในตำนาน แต่กับสวีชิงเฉินนั่นไม่เหมือนกัน ฉินหงส์หยกขาวนั่นสำหรับสวีชิงเฉินแล้วน่ากลัวจะมีแรงดึงดูดเสียยิ่งกว่ายอดหญิงงามแห่งยุคเสียอีก สวีชิงเฉินเป็นคนฉลาดเพียงใด มีหรือจะไม่รู้ถึงความนัยของม่อซิวเหยา เขาส่งเสียงหึเบาๆ แล้วไม่พูดถึงเรื่องฉินอีกเลย เขาไม่ได้มาก็ไม่ได้หมายความว่าผู้อื่นจะไม่ได้ด้วย ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว ส่งยิ้มให้สวีชิงเฉิน ถึงแม้เขาจะรับประกันไม่ได้ว่าผู้อื่นจะไม่ได้ แต่สิ่งที่เขาสามารถรับประกันได้ก็คือ คุณชายชิงเฉินไม่มีทางได้แตะต้องมันอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นประกายสังหารระหว่างทั้งสอง เยี่ยหลีก็เอ่ยขัดขึ้นด้วยความจนใจว่า “ของนั่นไว้รอม่อจิ่งหลีมอบมันมาให้ก่อนแล้วค่อยพูดกันเถิด พี่ใหญ่ ซิวเหยา พวกเขามิใช่ว่าควรคุยกันเรื่องคนในเมืองหลีนี้ก่อนหรอกหรือ”
สวีชิงเฉินเองก็ไม่อยากตั้งแง่กับม่อซิวเหยาในเรื่องนี้ต่อไป ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็อาศัยความสามารถ เขาขมวดคิ้วไตร่ตรอง “ดังนั้น เป่ยหรงคิดอยากเจรจาร่วมมือกับเรา ดีที่สุดคือร่วมเป็นพันธมิตรต่อสู้กับซีหลิงและเยียหลี่ว์เหยี่ยอย่างนั้นหรือ เยียหลี่ว์เหยี่ยคิดว่าคนของตำหนักติ้งอ๋องปัญญาทึบหรือไร” หากเป็นเมื่อก่อน เยียหลี่ว์เหยี่ยเสนอเช่นนี้ขึ้นมาก็ยังพอน่าเชื่ออยู่หลายส่วน แต่หลังจากกองทัพตระกูลม่อเข้ายึดครองเมืองหลวงของซีหลิงแล้ว เขตแดนซีหลิงที่เชื่อมต่อกับเป่ยหรงก็ล้วนตกเป็นของตำหนักติ้งอ๋อง ซึ่งก็หมายความว่าการสู้รบระหว่างเป่ยหรงและซีหลิงไม่มีทางเกิดขึ้นในชั่วเวลาอันสั้น โบราณกล่าวกันไว้ว่า เป็นมิตรกับคนไกล เปิดศึกกับคนใกล้ การที่เยียหลี่ว์เหยี่ยกระทำการที่ขัดแย้งกับคำพูดนี้ล้วนไม่มีความหมายอันใดเลย กับเป่ยหรงเองก็ไม่มีข้อดีเลยเช่นกัน
ม่อซิวเหยาเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่าพวกเราปัญญาทึบกันหมดหรอกหรือ ข้าเดาว่าความคิดปัญญาอ่อนเช่นนี้หาใช่เยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นคนคิดขึ้นไม่ เพียงแต่ ทุกวันนี้อยู่ในหน้าร้อน เป่ยหรงกำลังแห้งแล้งอย่างหนัก หนำซ้ำพื้นที่ทางตอนเหนือที่พวกเขายึดครองอยู่ก็เต็มไปด้วยความวุ่นวายจากสงคราม เสบียงอาหารต้องที่ใช้สิบกลับมีไม่ถึงหนึ่ง การที่เยียหลี่ว์เหยี่ยคิดอยากเจรจาร่วมมือกับตำหนักติ้งอ๋องก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้ยาก หากพวกเขามีเสบียงอาหารของเป่ยหรงอยู่ในครอบครอง การต่อสู้ระหว่างเยียหลี่ว์หง เขาก็จะกลายเป็นฝ่ายที่มีแต้มต่อทันที”
“น่าเสียดายที่ท่านอ๋องตัดสินใจช่วยเยียหลี่ว์หงไปแล้ว” สวีชิงเฉินเอ่ยพร้อมยิ้มเรียบๆ
“ไม่ว่าอย่างไร เยียหลี่ว์หงก็ถือเป็นเขยของพวกเราจงหยวน ขอเพียงองค์หญิงหรงหวายังคงเป็นพระชายารัชทายาท ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเหลือเขา” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ