ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 40
จวนเจ้ากรม
ที่จวนวันนี้มีผู้คนเข้าออกกันอย่างพลุกพล่านตั้งแต่เช้า เยี่ยหลีพร้อมด้วยเยี่ยซานและเยี่ยหลินมานั่งเป็นเพื่อนสนทนากับเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ที่เรือนหรงเล่อถัง
ขณะที่เรือนของเยี่ยอิ๋งวุ่นวายกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หวังซื่อรำคาญว่าเยี่ยหลินกับเยี่ยซานเกะกะ และยิ่งเกรงว่าเยี่ยหลีจะฉวยโอกาสสร้างเรื่องให้ตน จึงมิให้พวกนางอยู่เป็นเพื่อน แต่กลับพาหลานสาวสองสามคนจากบ้านฝั่งมารดาของตนมาอยู่เป็นเพื่อนเยี่ยอิ๋งแทน
แน่นอนว่าเยี่ยหลียินดียิ่งนัก นางมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้าตรู่แล้วรั้งอยู่เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าไปด้วยเลย เพราะถึงอย่างไรวันนี้นางคงไม่สามารถอยู่ที่เรือนชิงอี้เซวียนตามลำพังได้อยู่ดี มิเช่นนั้นคงตกเป็นขี้ปากคนไม่น้อย
ใบหน้าของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความปลื้มปริ่ม ยามพบปะผู้คนก็ดูเป็นกันเองขึ้นมาก เยี่ยหลินและเยี่ยซานไม่ปล่อยให้โอกาสเช่นนี้หลุดมือไป รีบเข้ามากล่าววาจาเอาอกเอาใจกันยกใหญ่ ขณะที่เยี่ยหลีนั้นนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ในใจคิดวางแผนว่าวันนี้จะไปร่วมชมละครด้วยดีหรือไม่
รอจนใกล้ถึงยามเที่ยงวัน คิ้วสีดอกเลาของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าค่อยๆ ขมวดเข้าหากันก่อนหันไปสั่งการบ่าวรับใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปดูที คณะที่จะมารับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วหรือยัง”
ผ่านไปเพียงครู่บ่าวที่ออกไปดูก็รีบร้อนกลับเข้ามารายงานพลางปาดเหงื่อไปด้วยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า…คณะรับตัวเจ้าสาวยังมาไม่ถึงเลยเจ้าค่ะ”
ใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเปลี่ยนเป็นบึ้งตึงทันใด อีกไม่นานก็จะเลยยามอู่[1]แล้ว การมารับตัวเจ้าสาวในยามบ่ายไม่เป็นมงคลเอาเสียเลย
“ท่านหลีอ๋องคงจะมิได้ทิ้งพี่สี่ไปอีกคนหรอกกระมัง” เยี่ยซานที่อายุน้อยที่สุดพูดขึ้น
“ซานเอ๋อร์!” มารดาของเยี่ยซานตกใจจนหน้าขาวซีด
“บังอาจ! วันนี้เป็นวังมงคลใหญ่ของน้องสี่ พูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร ยังไม่รีบออกไปอีก!” เยี่ยหลีพูดเสียงเข้ม อาศัยจังหวะที่เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ทันหันมาว่ากล่าว รีบส่งสายตาไปทางเยี่ยซานคราหนึ่ง
เยี่ยซานขยับปากคล้ายอยากพูดอะไรอีก เยี่ยหลินที่อยู่ใกล้ๆ รีบเข้าไปดึงแขนนางกับมารดาของนางออกไปอย่างรวดเร็ว
“ซานเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่รู้จักระวังคำพูดคำจา เป็นเพราะหลีเอ๋อร์อ่อนการอบรม ขอท่านย่าอย่าได้โกรธเคืองนางเลยเจ้าค่ะ” เยี่ยหลีมองเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมเอ่ยขอโทษเสียงเบา
“คุณหนูสามพูดถูก คุณหนูหกเป็นน้องเล็ก การพูดจาอาจพลาดพลั้งไปบ้าง ยังดีที่ในนี้มีแต่พวกเรากันเอง ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแก่ที่วันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ของคุณหนูสี่ อย่าได้โกรธนางเลยนะเจ้าคะ” จ้าวอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นมาช่วยพูด ด้วยเพราะนางกำลังตั้งครรภ์ จึงมีเก้าอี้จัดให้นั่งเป็นกรณีพิเศษ
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีกะจิตกะใจไปถือสาหาความอันใดเยี่ยซาน นางเพียงโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไปเชิญนายท่านมาที แล้วก็ให้ใครไปดูอีกทีด้วย” บ่าวทั้งหลายเมื่อรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ไม่ดี จึงไม่กล้าพูดมาก ต่างรีบรับคำแล้วออกไปทำหน้าที่ของตน
บรรยากาศภายในหรงเล่อถังเต็มไปด้วยความอึมครึม เยี่ยหลียังคงนั่งหลังตรงจิบชาเงียบๆ
จ้าวอี๋เหนียงที่นั่งอยู่อีกด้านส่งสายตามาทางเยี่ยหลีโดยมิให้ผู้ใดทันสังเกตเป็นระยะๆ ทว่านางพบว่าสีหน้าของเยี่ยหลีไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสมือนหนึ่งไม่มีอันใดเกิดขึ้น จ้าวอี๋เหนียงเองก็เดาไม่ออกว่าเรื่องในวันนี้เกี่ยวข้องกับคุณหนูสามด้วยหรือไม่
เยี่ยหลีดูจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่ส่งมาของจ้าวอี๋เหนียง จึงเงยหน้าขึ้นมองตอบนางปราดหนึ่ง แต่ด้วยสายตาที่ไม่สื่อความหมายใดของเยี่ยหลี ทำให้จ้าวอี๋เหนียงรู้สึกเย็นวาบในใจ ได้แต่พยักหน้าให้เยี่ยหลีน้อยๆ ก่อนเอนศีรษะไปพิงพนักเก้าอี้แล้วหลับตาลงพักผ่อน
นี่ก็เลยยามอู่มาแล้ว บ่าวที่สั่งให้ไปเฝ้าที่หน้าประตูก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับมา ดูคล้ายว่าหลีอ๋องคงจะมารับตัวเจ้าสาวสายเป็นแน่แล้ว เจ้ากรมเยี่ยพร้อมด้วยหวังซื่อเดินหน้าตั้งกันเข้ามา เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้องบุตรชายและสะใภ้ก่อนเอ่ยถามเสียงแข็งว่า “นี่มันเรื่องอันใดกัน พวกเจ้าไปถามจนได้ความมาหรือยัง”
สีหน้าของเจ้ากรมเยี่ยหมองคล้ำ ตอบเสียงหนักๆ ว่า “ท่านแม่ใจเย็นก่อนเถิด บ่าวที่ส่งไปถามความกลับมารายงานแล้วว่า ทางตำหนักหลีอ๋อง…เริ่มออกเดินขบวนมาแล้วขอรับ”
“เริ่มเดินขบวนมาแล้ว” เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจัดจนต้องยิ้มออกมา ชี้หน้าเจ้ากรมเยี่ยแล้วต่อว่าเสียหลายประโยค “มีบุตรสาวบ้านใดแต่งงานแล้วฝ่ายเจ้าบ่าวลืมมารับตัวตามฤกษ์ดีกันบ้าง พ้นวันนี้ไป ตระกูลเยี่ยของพวกเราคงได้กลายเป็นขี้ปากให้ผู้คนหัวเราะเยาะกันทั้งเมืองหลวง! ตำหนักหลีอ๋องทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ทันแต่งสะใภ้เข้าบ้าน ก็ตบหน้าตระกูลเยี่ยของพวกเราเสียแล้ว”
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วหน้าเครียด “หรืออาจเกิดเรื่องที่ทำให้ล่าช้าขอรับ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะหนักๆ “มีเรื่องใดที่สำคัญกว่าการรับตัวเจ้าสาวอีกหรือ”
เจ้ากรมเยี่ยถึงกับพูดไม่ออก เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ได้แต่ถอนใจหนักๆ ยาวๆ วันนี้ตำหนักหลีอ๋องมารับตัวเจ้าสาวช้าก็เป็นเรื่องที่หน้าขันพอแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้นางโกรธสักเพียงใดก็จะต้องส่งเยี่ยอิ๋งออกจากจวนไปให้ได้ มิเช่นนั้นชื่อเสียงของเยี่ยอิ๋งคงป่นปี้ไม่มีเหลือ
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าหันไปถลึงตาใส่หวังซื่อ “มัวยืนอึ้งอยู่ไย รีบไปดูสิว่าอิ๋งเอ๋อร์เตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ คณะรับตัวเจ้าสาวมาถึงแล้วรีบส่งอิ๋งเอ๋อร์ออกไปทันที” ยามนี้หวังซื่อก็ไม่มีแก่ใจมานั่งทำท่าทางน่าสงสารหรือโกรธเคืองอีกแล้ว รีบตอบว่า “เตรียมพร้อมเรียบร้อยนานแล้วเจ้าค่ะ รอเพียงมาคำนับลาฮูหยินผู้เฒ่าเท่านั้นก็ออกจากจวนได้เลยเจ้าค่ะ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าส่งเสียงเหอะคราหนึ่งแล้วไม่ได้พูดอันใดอีก
รอจนมีบ่าวมารายงานว่าคณะรับตัวเจ้าสาวใกล้มาถึงจวน ก็เกือบเลยยามเว่ย[2]เสียแล้ว บ่าวและหมัวมัวข้างกายเยี่ยอิ๋งประคองนางเข้ามายังหรงเล่อถังเพื่อมาคำนับลาฮูหยินผู้เฒ่า ถึงแม้ใบหน้าจะได้รับการแต่งเติมอย่างประณีตงดงาม ทว่าเยี่ยหลีนั่งอยู่ใกล้พอที่จะเห็นสีหน้าขาวซีดภายใต้แป้งที่บดบังอยู่ ขอบตามีรอยแดงอยู่ไม่น้อย ก่อนหน้านี้เยี่ยอิ๋งคงร้องไห้เสียยกหนึ่งแล้วเป็นแน่ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใด เจ้าสาวที่กำลังจะออกเรือนไปก็ต้องร้องไห้กันทั้งนั้นมิใช่หรือ
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าประคองเยี่ยอิ๋งขึ้นมาด้วยตนเอง พร้อมเอ่ยสั่งสอนและเตือนสตินางอีกเล็กน้อย จากนั้นเยี่ยอิ๋งหันไปคำนับเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อ แล้วจึงนำผ้าปิดหน้าปิดลงมาพร้อมมีคนช่วยประคองนางออกไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนเยี่ย
เยี่ยหลีเองก็ลุกขึ้นเดินตามเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อออกไปด้วยเช่นกัน
ห้องโถงจวนเยี่ย
ม่อจิ่งหลีสวมชุดเจ้าบ่าวลายมังกรสี่เล็บ[3]สีแดงสด ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมมาวันนี้ดูคมเข้มขึ้นไปอีก ทว่าเยี่ยหลีมองออกว่าภายใต้สีหน้าที่เย็นชานั้นแฝงความแข็งกระด้างกว่าปกติ แล้วยังสีหน้าขาวกว่าปกติกับใต้ตาดำคล้ำนั่นอีก ทำให้เยี่ยหลีที่เบื่อหน่ายจากการนั่งรอมาตลอดเช้ากลับอารมณ์ดีขึ้นอย่างประหลาด นางกล้าเอาตำแหน่งจ้วงหยวนของพี่ใหญ่นางเป็นประกันเลยว่า ม่อจิ่งหลีจะต้องแต่งหน้ามาอย่างแน่นอน
ดูเหมือนม่อจิ่งหลีจะสังเกตเห็นเยี่ยหลีที่อยู่ในชุดสีม่วงอ่อนที่เดินตามหลังเจ้ากรมเยี่ยและหวังซื่อเข้ามาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาจึงเป็นประกายวาบ สายตาที่ลุกเป็นไฟนั้นมองข้ามแม้แต่เจ้าสาวของตนเอง
เจ้ากรมเยี่ยกระแอมคราหนึ่งด้วยความไม่พอใจ ม่อจิ่งหลีจึงจำต้องเลื่อนสายตาของตนมายังเจ้ากรมเยี่ยพร้อมยอบกายคารวะ “ข้ามาช้า ขอท่านพ่อตาโปรดอภัยด้วย”
หากเขาไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ก็คงปล่อยผ่านไป แต่เมื่อกล่าวแล้วก็ทำให้เจ้ากรมเยี่ยนึกโกรธติดหมัด น้ำเสียงที่เอ่ยจึงเต็มไปด้วยความมึนตึง “มิกล้า ขอเพียงต่อไปท่านอ๋องคอยดูแลอิ๋งเอ๋อร์เป็นอย่างดีก็พอ”
ม่อจิ่งหลีรู้ตนว่าผิดจึงได้แต่รีบเอ่ยรับคำ พร้อมสัญญาว่าจะดูแลเยี่ยอิ๋งเป็นอย่างดี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นกลับพบสีหน้าอมยิ้มของเยี่ยหลี จึงได้คิดไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเมื่อคืน เขาแทบอยากจะถลาเข้าไปฉีกเยี่ยหลีให้เป็นชิ้นๆ นับแต่เล็กจนโต มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายกลั่นแกล้งผู้อื่น นอกจากม่อซิวเหยาในกาลก่อนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ตนถูกผู้อื่นกระทำจนน่าสังเวชเช่นนี้
เขาได้สติตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พบว่าตนถูกมัดแล้วจับโยนลงหนองน้ำ ทว่าไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกสักเพียงใด กว่าองครักษ์ที่เขาให้หลบอยู่ในป่าจะมาเจอตัวเขาก็ยามที่ฟ้าสว่างเสียแล้ว ถึงแม้นี่จะใกล้เข้าเดือนห้า แต่น้ำในหนองน้ำนั้นกลับเย็นเยียบตลอดทั้งปี กว่าจะรอคนมาพบ เขาก็หนาวสั่นจนแทบจะขยับไม่ไหวแล้ว
องครักษ์พาเขาไปดื่มน้ำขิงพร้อมยาไล่ความหนาวที่เรือนอีกหลังอย่างทุลักทุเลเต็มที พออาการเริ่มดีขึ้นก็รีบเร่งเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง แบกเอาร่างที่อ่อนระโหยโรยแรงของตนมารับตัวเจ้าสาว ทว่าก็ยังไม่ทันฤกษ์อยู่ดี เมื่อเปรียบเทียบสภาพตนกับเยี่ยหลีแล้ว เยี่ยหลีที่นั่งยิ้มอย่างสบายอารมณ์อยู่นี้ สภาพดีเสียจนตนนึกเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันในใจ
ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่! สายตาม่อจิ่งหลีเต็มไปด้วยความเคียดแค้นใจ
เยี่ยหลีเบ้ปากน้อยๆ นางไม่เหลือความหวังต่อสติปัญญาของม่อจิ่งหลีอีกแล้ว จึงส่งสายตาตอบกลับไปว่า ข้ารอท่านอยู่!
เยี่ยหลีไม่ได้ทันสังเกตว่า ในขณะที่นางแลกเปลี่ยนสายตากับม่อจิ่งหลีอยู่นั้น สำหรับผู้อื่นที่มองมาแล้วตีความกันไปคนละเรื่องเลยทีเดียว หวังซื่อที่ยืนอยู่ข้างเยี่ยอิ๋งเห็นสายตาที่ทั้งคู่ส่งให้กันโดยตลอด สายตาที่เหลือบลงต่ำมีความแค้นเคืองซ่อนอยู่
[1] ยามอู่ หมายถึง ช่วงเวลา 11.00-13.00 น.
[2] ยามเว่ย หมายถึง ช่วงเวลา 13.00-15.00 น.
[3] มังกรสี่เล็บ เป็นลายสัญลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง หรือขุนนางระดับสูง