ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 42
ตามธรรมเนียมแล้วในงานแต่งงานของน้องสาว หากเยี่ยหลีมิได้อยู่ในขบวนส่งตัวก็ไม่จำเป็นต้องไปร่วมงาน แต่ในเมื่อม่อซิวเหยาถึงขนาดให้คุณชายสามตระกูลเฟิ่งมาส่งข่าวแล้ว เยี่ยหลีเชื่อว่าจะต้องมีละครฉากเด็ดให้ได้ชมอย่างแน่นอน อีกอย่าง นางเองก็มีเรื่องหานหมิงเย่ว์ที่จะต้องพูดคุยกับคู่หมั้นของนางเช่นกัน การสื่อสารที่ดีย่อมมีประโยชน์ต่อความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน
เยี่ยหลีเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เหมาะกับวาระโอกาสก่อนให้คนไปรายงานฮูหยินผู้เฒ่า นางยังไม่ทันออกจากจวนก็มีบ่าวมารายงานว่าติ้งอ๋องมารอรับคุณหนูสามอยู่ที่หน้าจวน
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ดีว่าม่อซิวเหยาไม่สะดวกที่จะลงมานัก จึงมิกล้ารั้งนางไว้นาน รีบให้เยี่ยหลีออกไปกับม่อซิวเหยา
เมื่อออกจากประตูใหญ่จวนเยี่ยแล้ว ก็พบรถม้าที่มีตราสัญลักษณ์ของตำหนักติ้งอ๋องจอดอยู่ที่หน้าประตู อาจิ่น องครักษ์หนุ่มข้างกายม่อซิวเหยาเมื่อเห็นเยี่ยหลีเดินออกมาก็รีบออกมาต้อนรับทันที “อาจิ่นคารวะพระชายาขอรับ”
เยี่ยหลีรู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้าง ถึงแม้จะเป็นการพบหน้ากันเพียงครั้งที่สอง ทว่าเยี่ยหลีก็มองออกว่าบุรุษที่ชื่ออาจิ่นนี้ยามปกติมิใช่คนหัวไวแต่อย่างใด นางจึงเพียงพยักหน้ารับพลางกล่าวว่าลำบากเจ้าแล้ว ก่อนก้าวขึ้นรถม้าไป
บนรถม้า ม่อซิวเหยากำลังนั่งพิงผนังรถม้าพลางก้มหน้าอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ ครั้นเห็นเยี่ยหลีก้าวขึ้นรถม้ามาจึงวางหนังสือเล่มนั้นลง พร้อมยิ้มให้น้อยๆ “นั่งสิ เมื่อคืนเจ้าตกใจหรือไม่”
เยี่ยหลีก้าวขึ้นไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเขา แล้วยิ้มตอบ “ข้าไม่เป็นอันใดมากเพคะ ลำบากท่านต้องรีบไปช่วยแล้ว”
ม่อซิวเหยาคล้ายนึกถึงเรื่องน่าสนุกขึ้นมาได้ รอยยิ้มน้อยๆ ที่อยู่บนใบหน้าจึงดูจริงใจขึ้นหลายส่วน “โชคดีที่ข้ารีบไป มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่าชายาของข้ามีฝีมือเช่นนั้น”
เยี่ยหลียักไหล่อย่างไม่ใคร่ใส่ใจ นางมิได้สนใจว่าม่อซิวเหยาจะเห็นบางมุมที่แท้จริงของนาง เพราะถึงอย่างไรอีกหน่อยทั้งสองคนก็จะเป็นสามีภรรยากันอยู่แล้ว มีหลายเรื่องที่ต่อให้อยากปิดบังก็คงปิดได้ไม่มิด “ฝีมือข้าอ่อนด้อยนัก ท่านอ๋องคงเห็นว่าน่าขันแล้ว”
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้วน้อยๆ “พวกเราจะเรียกขานกันว่าท่านอ๋องกับชายาเช่นนี้หรือ”
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นสบตาเขาด้วยความไม่เข้าใจ “เช่นนั้นสมควรเรียกขานกันอย่างไรเพคะ ท่านพี่ นายท่าน สามี สวามี” ยังไม่ทันพูดจบดี เยี่ยหลีก็รู้สึกขนลุกเสียแล้ว ยามปกติได้ยินคนอื่นเรียกขานกันก็มิได้รู้สึกผิดปกติอะไร ทว่าเมื่อต้องเรียกเองกับปากแล้วเหตุใดจึงรู้สึกขัดปากเช่นนี้ หากต้องเรียกขานอย่างที่นางว่าแล้ว เยี่ยหลียอมเรียกตามคนทั่วไปว่าท่านอ๋องและชายาเสียยังจะดีกว่า
ม่อซิวเหยาหัวเราะ “เจ้าเรียกชื่อข้าก็ได้”
“ม่อ…ซิวเหยาหรือ”
“ซิวเหยา” ม่อซิวเหยาช่วยแก้ให้ “ข้าเรียกเจ้าว่าอาหลีได้หรือไม่”
เยี่ยหลีพยักหน้า โชคดีที่เขาไม่ขอเรียกนางว่าหลีเอ๋อร์ พูดตามจริง นอกจากผู้อาวุโสเรียกนางแล้ว นางไม่คุ้นชินกับการมีคนมาเรียกอย่างสนิทสนมเช่นนั้นเลยจริงๆ
“ข้าปล่อยคนเมื่อวานไป ท่านว่าอะไรหรือไม่” เยี่ยหลีเอ่ยถามพร้อมสบตาม่อซิวเหยาตรงๆ
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า ยิ้มสบายๆ “ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าไม่ถือสาหาความก็ให้แล้วกันไปเถิด ถึงอย่างไรหานหมิงเย่ว์ก็มิใช่ผู้ที่สมควรล่วงเกินนัก”
เยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ดูเหมือนท่านจะไม่แปลกใจเลยที่เขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหานหมิงเย่ว์”
“เมื่อครั้งข้ายังเด็ก เคยมีไมตรีกับหานหมิงเย่ว์อยู่บ้าง”
เยี่ยหลีเข้าใจแล้ว หากเป็นคนที่ม่อซิวเหยายอมรับว่าเคยมีไมตรีด้วยแล้ว คาดว่าคงมิใช่การสานไมตรีกันธรรมดา
“ท่านอ๋อง ถึงตำหนักหลีอ๋องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ระหว่างที่ทั้งคู่สนทนากันเรื่อยเปื่อยนั้น รถม้าก็มาถึงหน้าตำหนักหลีอ๋องพอดี ทั้งสองคนต่างมิใช่คนที่สนทนาเก่ง แต่เยี่ยหลีกลับพบว่าการพูดคุยกับม่อซิวเหยานั้นไม่น่าเบื่อเลย
“อาหลี”
เยี่ยหลีลุกขึ้นเตรียมตัวลงจากรถม้า ก็ได้ยินม่อซิวเหยาเรียกนาง
เยี่ยหลีหันหน้ากลับไปมองเขาด้วยความสงสัย ม่อซิวเหยามองตอบนางนิ่งๆ “เจ้าเตรียมพร้อมแล้วจริงหรือ”
“ต้องเตรียมอะไรด้วยหรือเพคะ” คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย นึกไม่ออกว่าตนลืมเรื่องอันใดไปหรือเปล่า
ม่อซิวเหยาอึ้งงันไป มุมปากยกยิ้มขึ้นเพียงน้อยนิด ก่อนพูดเสียงเบาว่า “ไม่มีอะไร เจ้าลงไปเถิด”
การที่ติ้งอ๋องมาร่วมงานด้วยตนเอง แน่นอนว่าตำหนักหลีอ๋องมิอาจเพิกเฉยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งติ้งอ๋องไม่ออกงานสังคมให้ผู้คนพบเห็นมาเป็นเวลากว่าแปดปี การมาร่วมงานเสกสมรสของหลีอ๋องด้วยตนเองเช่นนี้ถือเป็นการให้เกียรติหลีอ๋องอย่างมาก
หากเรียงตามลำดับราชนิกุลแล้ว ติ้งอ๋องที่อายุไล่เลี่ยกับหลีอ๋องนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าหลีอ๋องอยู่หนึ่งขั้น ดังนั้นไม่เพียงหลีอ๋องเอง แม้แต่ราชนิกุลคนอื่นที่มาร่วมงานในวันนี้ยังต้องออกมาต้อนรับติ้งอ๋องด้วยตนเองเช่นกัน
ตำหนักติ้งอ๋องมิได้มาอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสำแดงยศศักดิ์ใดๆ ภายใต้สายตาทุกคู่ที่จับจ้อง ผู้ที่ลงจากรถม้าเป็นคนแรกคือสตรีในชุดสีม่วงอ่อน บนชุดสีม่วงอ่อนนั้นปักลวดลายกอบัวอย่างงดงาม ผมสลวยเพียงรวบเอาไว้หลวมๆ ประดับเครื่องประดับที่ทำจากเพชรพลอยรูปผีเสื้อประหนึ่งกำลังโบยบิน มองเพียงด้านข้างก็ทำให้ผู้คนเห็นใบหน้างดงามของนาง
จากนั้นองครักษ์สองนายได้เข้าไปเลิกม่านรถม้าออก พร้อมกับยกม่อซิวเหยาพร้อมเก้าอี้รถเข็นลงมาอย่างเบามือ ม่อซิวเหยากวาดสายตามองผู้คนที่รอต้อนรับอยู่หน้าตำหนักหลีอ๋องด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนเบือนหน้าไปทางเยี่ยหลีพร้อมกับยื่นมือให้นาง
เยี่ยหลียกมือขึ้นจับมือม่อซิวเหยาอย่างว่าง่าย อาจิ่นที่ยืนอยู่ด้านหลังค่อยๆ เข็นรถเข้าประตูตำหนักหลีอ๋องไป
“อะแฮ่ม…คารวะติ้งอ๋อง”
ในที่สุดก็มีคนได้สติ เขาหันไปมองหลีอ๋องที่กำลังจ้องติ้งอ๋องที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้ที่ได้สติก่อนกระแอมขึ้นเบาๆ ทีหนึ่งเพื่อเตือนให้ผู้เป็นเจ้าภาพเอ่ยต้อนรับแขก
“คารวะติ้งอ๋อง”
“วันนี้เป็นวันเสกสมรสของหลีอ๋อง ทุกท่านไม่ต้องมากพิธี” ม่อซิวเหยาพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนหันไปยิ้มให้ม่อจิ่งหลี “จิ่งหลี ยินดีกับเจ้าด้วย”
“ขอบคุณมาก!” ม่อจิ่งหลีจ้องเยี่ยหลีที่ยืนอยู่ข้างๆ ม่อซิวเหยาด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนกัดฟันเอ่ยขอบคุณ
ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว “ไม่เชิญพวกเราเข้าข้างในหรือ”
ม่อจิ่งหลีเพียงขยับตัวไปด้านข้างเพื่อเชื้อเชิญคนทั้งคู่ให้เข้าไปข้างในโดยไม่เอ่ยคำใด
ม่อซิวเหยาดูจะเข้าใจนิสัยของม่อจิ่งหลีเป็นอย่างดี จึงหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี “พวกเราเข้าไปกันเถิด”
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าตอบโดยไม่พูดจา เดินเข้าประตูใหญ่ตำหนักหลีอ๋องไปพร้อมม่อซิวเหยา หางตาทันเห็นเฟิ่งจือเหยาที่ยืนหลบมุมหนึ่งที่ไม่สะดุดตา เห็นเขายืนยิ้มมองทั้งสามคนที่หน้าประตูแล้ว ช่างเป็นรอยยิ้มที่…น่าตีเสียจริง
เมื่อเข้ามาในตำหนักหลีอ๋อง เสียนเจาไท่เฟยมารอต้อนรับที่ห้องโถงใหญ่ด้วยตนเองเช่นกัน เมื่อเห็นม่อซิวเหยาเข้ามาพร้อมเยี่ยหลี สายตาของนางทอประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนยิ้มแล้วยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว “งานเสกสมรสของหลีเอ๋อร์ ยากนักที่ซิวเหยาจะยอมมาร่วมงานด้วยตนเอง ช่างเป็นเกียรติแก่ตำหนักหลีอ๋องยิ่งนัก ดูซิวเหยากับชายาในอนาคตของเจ้าออกจะชอบพอกันไม่น้อย ไว้ถึงวันเสกสมรสของพวกเจ้า ข้าจะต้องส่งของขวัญชิ้นใหญ่ไปให้พวกเจ้าด้วยเป็นแน่”
ม่อซิวเหยาพยักหน้าเล็กน้อย ใบหน้าครึ่งที่ไม่มีสิ่งใดปกปิดเต็มไปด้วยความเคารพและอ่อนโยน “ขอบพระทัยไท่เฟยที่ทรงดำริถึง ถึงเวลานั้นซิวเหยาจะรอรับเสด็จไท่เฟยและจิ่งหลีแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลียืนนิ่งเงียบอยู่ข้างม่อซิวเหยา มิได้เอ่ยประสมโรงใดๆ ไม่รู้เพราะเหตุใด นับแต่ได้พบหน้าเสียนเจาไท่เฟยคราวที่แล้ว ไท่เฟยที่ดูอ่อนโยนและใจดีท่านนี้ ทำให้นางรู้สึกว่าต้องระวังตัวขึ้นหลายส่วน
“ในนี้ไม่มีใครอื่น คุณหนูสามเชิญนั่งเถิด” ระหว่างที่เสียนเจาไท่เฟยสนทนากับม่อซิวเหยานั้น นางก็ยังไม่ลืมหันมาทักทายเยี่ยหลี
เยี่ยหลีเอ่ยขอบพระทัยเบาๆ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างม่อซิวเหยา ทว่าโชคไม่ดีกลับเป็นเก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ตรงข้ามม่อจิ่งหลีพอดี ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมองก็รับรู้ได้ว่าม่อจิ่งหลีส่งสายตาเจ็บแค้นมาให้ตน การที่ถูกคนจับจ้องภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ชวนให้เยี่ยหลีรู้สึกหัวเสียขึ้นหลายส่วน ผู้ที่กำลังจะเข้าพิธีวิวาห์สมควรจะยุ่งจนหัวหมุนมิใช่หรือ เหตุใดม่อจิ่งหลีถึงได้ว่างจนมีเวลามานั่งฟังคนเขาคุยกันอยู่ที่นี่ได้
“เอ๊ะ จิ่งหลีเป็นกระไรไป เหตุใดถึงจ้องคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไม่วางตาเช่นนั้น” เสียงแหลมบาดหูของสตรีนางหนึ่งในห้องโถงดังขึ้น
เยี่ยหลีขมวดคิ้วหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ในห้องโถงนี้มีคนนั่งกันอยู่เพียงเจ็ดแปดคน แต่ผู้ที่จะมานั่งเป็นเพื่อนเสียนเจาไท่เฟยได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา อย่างน้อยก็มิใช่คนที่บุตรสาวจากจวนเจ้ากรมอย่างเยี่ยหลีจะริอ่านล่วงเกินได้ ผู้ที่พูดนั้นกำลังเบิกนัยน์ตาเรียวมองสำรวจเยี่ยหลีอยู่เช่นกัน เจ้าของเสียงสวมชุดปักลายหงส์ทำจากผ้าไหมลายโบตั๋น ดูก็รู้ว่ามีฐานะไม่ธรรมดา เพียงถ้อยคำของนางประโยคเดียวสามารถทำให้ผู้คนที่กำลังให้ความสนใจม่อซิวเหยาหันมาสนใจเยี่ยหลีทันที สตรีนางนั้นไม่คิดปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป นัยน์ตาคมรูปหงส์มีประกายเย็นเยียบ หัวเราะน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงแหลมว่า “พูดไปพูดมาข้าก็ลืมไปเลยว่า คุณหนูสามตระกูลเยี่ยคืออดีตคู่หมั้นของจิ่งหลีมิใช่หรือ”
“สงสัยจิ่งหลีคงจะประหลาดใจกับเจ้าของตำแหน่งสตรีมากความสามารถอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงเป็นแน่ ทุกท่านที่นั่งอยู่ที่นี่ก็ประหลาดใจเช่นเดียวกันมิใช่หรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยน้ำเสียงราบเรียบ ฟังดูนุ่มนวลไม่เจือความโกรธขึ้งใดๆ ทว่ากลับทำให้ทุกคนรู้สึกได้ว่าเขากำลังปกป้องคู่หมั้นของเขาอยู่
เยี่ยหลีก้มหน้าลง จ้องมองมือของตนที่ถูกมือใหญ่ที่ค่อนข้างเย็นเกาะกุมไว้
“ติ้งอ๋องพูดถูกทีเดียว คุณหนูสามตระกูลเยี่ยช่างเหมาะกับคำว่าคมในฝักที่แท้จริง นึกย้อนไปแล้วเยี่ยฮูหยินก็เป็นคนนิ่งๆ เงียบๆ เช่นนี้เช่นกัน แต่ความสามารถและความฉลาดหลักแหลมของนาง พวกเรายังจำกันได้จนถึงทุกวันนี้” ฮูหยินผู้เฒ่าผมขาวที่นั่งเก้าอี้ตัวแรกสุดเอ่ยพร้อมหัวเราะเสียงใส สายตาที่มองเยี่ยหลีเต็มไปด้วยความเอื้อเอ็นดู
เยี่ยหลียิ้มตอบน้อยๆ “ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ความสามารถของท่านแม่ เยี่ยหลีมิอาจเทียบเท่าได้ ขอเพียงได้อย่างท่านแม่เพียงหนึ่งหรือสองส่วนเยี่ยหลีก็พอใจแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ช่างเป็นเด็กสาวที่ถ่อนตนเสียจริง”
“ท่านนี้คือฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนฮว่ากั๋วกง” ม่อซิวเหยาเอ่ยแนะนำให้เยี่ยหลีฟังเบาๆ
เยี่ยหลีถึงได้รู้ว่าที่แท้ท่านผู้นี้คือท่านย่าของเทียนเซียงนั่นเอง
จากนั้นม่อซิวเหยาค่อยๆ แนะนำทุกท่านที่นั่งอยู่ให้เยี่ยหลีรู้จักทีละคน เป็นไปอย่างที่นางคิดไว้หากมิใช่ขุนนางหรือภรรยาของขุนนางระดับสูงแล้ว ล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนสตรีในชุดผ้าไหมที่เอ่ยปากพูดเป็นคนแรกนั้นคือท่านน้าของหลีอ๋องกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นามองค์หญิงเจาเหริน และเป็นมารดาบังเกิดเกล้าของท่านหญิงหรงหวา
เมื่อนึกไปถึงท่าทางถือดีและไม่เห็นหัวผู้ใดของท่านหญิงหรงหวาในงานบุปผานานาพรรณวันนั้นแล้ว เยี่ยหลีก็ได้แต่ถอนใจแล้วคิดว่าสมกับเป็นแม่ลูกกันจริงๆ เพียงแต่นางไม่รู้ว่าที่องค์หญิงเจาเหรินดูเป็นปฏิปักษ์กับนางอย่างชัดเจนเช่นนี้ด้วยเรื่องอันใด คงมิใช่เพราะเรื่องของท่านหญิงหรงหวาหรอกกระมัง
ในขณะที่ม่อซิวเหยากำลังแนะนำผู้คนให้เยี่ยหลีรู้จักอยู่นั้น บรรดาคนที่นั่งอยู่ก็กำลังพิจารณาคุณหนูสามตระกูลเยี่ยที่ถูกหลีอ๋องถอนหมั้นแล้วถูกจับคู่กับติ้งอ๋องเงียบๆ ในใจ การที่ติ้งอ๋องพานางมาทำความรู้จักกับกลุ่มผู้ดีมีตระกูลและมีอิทธิพลมากที่สุดในต้าฉู่ด้วยตนเองเช่นนี้ บอกได้ทันทีว่าติ้งอ๋องให้ความสำคัญกับนางเพียงใด ดังนั้นนอกจากสีหน้าบูดบึ้งยิ่งกว่าเดิมของม่อจิ่งหลีแล้ว บรรยากาศในห้องโถงก็เป็นไปด้วยดีและมีไมตรีจิตต่อกัน