ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 44
“คุณหนู ฮูหยินมาเจ้าค่ะ”
ภายในเรือนชิงอี้เซวียนที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าและดูสบายตา ชิงสยาเดินเข้ามารายงานขณะที่เยี่ยหลีกำลังนั่งทิ่มๆ แทงๆ เข็มกับด้ายลงบนผ้าในมือ
เยี่ยหลีวางผ้าปักในมือลงก่อนเงยหน้าขึ้น “เหตุใดนางจึงว่างมาที่นี่ได้อีก”
นับแต่เกิดเรื่องวุ่นวายในงานแต่งงานของเยี่ยหลีเมื่อสองวันก่อน หวังซื่อก็ยุ่งจนหัวหมุนไปหมด สองวันมานี้ยังมีข่าวเรื่องเด็กในท้องจ้าวอี๋เหนียงมีชะตาไม่ต้องกับเยี่ยอิ๋งและเยี่ยหรงเสียอีก ทำให้นางเป็นเดือดเป็นร้อนหนักขึ้น
เจ้ากรมเยี่ยเองก็ลำบากใจไม่น้อย ด้วยด้านหนึ่งก็เป็นบุตรสาวที่เพิ่งกลายเป็นชายาหลีอ๋องกับบุตรชายเพียงคนเดียว อีกด้านหนึ่งก็เป็นอนุที่ตนโปรดปรานเป็นที่สุดกับบุตรชายในครรภ์ ผู้ใดสำคัญกว่ากันนั้นเจ้ากรมเยี่ยย่อมรู้ดีแก่ใจ เพียงแต่เมื่อเห็นจ้าวอี๋เหนียงร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเช่นนั้น ก็อดเห็นใจมิได้ ทั้งยังมิอาจตัดใจให้ขาด มิหนำซ้ำวันรุ่งขึ้นหลังจากเยี่ยอิ๋งแต่งงาน ระหว่างที่เยี่ยหรงนั่งรถม้ากลับไปยังสำนักศึกษาก็เกิดตกใจขึ้นมาจนถึงขั้นนอนซมไปถึงสองวัน ทำให้หวังซื่อยิ่งคร่ำครวญหนักเข้าไปอีก
หวังซื่อเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เป็นมิตรอย่างน้อยครั้งนักจะได้พบเห็น น่าเสียดายก็เพียงเยี่ยหลีมิใช่ลูกของอนุเล็กๆ ที่ต้องคอยสังเกตสีหน้าของนาง และนางก็มิใช่เด็กน้อยผู้น่าสงสารที่ไม่เข้าใจเรื่องเข้าใจเรื่องราวอันใด นางจึงเพียงลุกขึ้นทำความเคารพพอเป็นพิธีเท่านั้น “น้องสี่จะกลับบ้านครั้งแรกหลังแต่งงาน แล้วเหตุใดฮูหยินจึงมีเวลามาที่นี่ได้”
ใบหน้าหวังซื่อแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มที่นางคิดว่าเป็นมิตรที่สุด “ตำหนักติ้งอ๋องเลือกวันได้แล้วและจะนำของมาหมั้นหมายในอีกสองวันนี้ วันแต่งงานของหลีเอ๋อร์ใกล้เข้ามาทุกที ข้าจึงมาดูว่ายังมีอันใดที่ยังจัดเตรียมไม่เรียบร้อยหรือไม่”
เยี่ยหลีเชิญหวังซื่อให้นั่งลง “หลินหมัวมัวกับแม่นมคอยช่วยดูแลจัดการให้อยู่ ท่านน้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้ก็ได้มาช่วยตรวจดูอยู่หลายรอบ ไม่น่ามีปัญหาอันใด ลำบากฮูหยินต้องเป็นห่วงแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังซื่อหุบลงทันที สำหรับนางแล้วคำพูดของเยี่ยหลีเหมือนเป็นการติติงว่านางไม่ทำหน้าของแม่ใหญ่อย่างไรอย่างนั้น แต่อันที่จริงเยี่ยหลีมิได้มีเจตนาจะสื่อความเช่นนั้นเลย เพราะสำหรับนางแล้ว นางไม่คิดว่าหวังซื่อมีหน้าที่มาคอยจัดการเรื่องการแต่งงานให้ตนแม้แต่น้อย ขอเพียงไม่ทำให้กันและกันเสียหน้านางก็พอใจแล้ว
“อันที่จริง…ที่ข้ามาวันนี้ด้วยมีเรื่องอยากปรึกษาหลีเอ๋อร์สักหน่อย” หวังซื่อรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติโดยเร็ว ก่อนหันมองเยี่ยหลีด้วยความกระตือรือร้น
คิ้วเรียวของเยี่ยหลีเลิกขึ้นเล็กน้อย สบตาหวังซื่อด้วยความสงสัย
หวังซื่อถอนหายใจยาว “หลีเอ๋อร์คงได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในสองสามวันนี้บ้างแล้ว นั่นมิใช่เพราะคนที่เป็นภรรยาเอกและเป็นแม่ใหญ่อย่างข้าไม่อยากผ่อนปรน แต่บุตรของจ้าวซื่อนั่นมีชะตาชงกับลูกๆ สายหลักของตระกูลเยี่ยจริงๆ วันก่อนข้าไปขอให้ไต้ซือวัดสุ่ยอวิ๋นช่วยตรวจดู ท่านว่าชาติก่อนบุตรของจ้าวซื่อมีความแค้นกับตระกูลของพวกเรา เกิดมาก็เพื่อทำลายตระกูลเยี่ยของพวกเรา เจ้าว่า…นับแต่มีข่าวเรื่องนางตั้งครรภ์ บ้านของพวกเราก็มีแต่เรื่อง แต่นายท่านก็ยังปกป้องนางอยู่…”
เยี่ยหลีรับฟังหวังซื่อพร่ำบ่นเรื่องที่นางไม่พอใจจ้าวซื่อและเจ้ากรมเยี่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง หวังซื่อตั้งใจพูดเรื่องบุตรของจ้าวซื่อมีชะตาไม่ต้องกับลูกหลานสายหลักของตระกูลเยี่ย หากพูดถึงลูกสายหลักแล้ว จะมีผู้ใดที่เป็นลูกสายหลักโดยแท้จริงไปกว่าเยี่ยหลีอีกหรือ หากนางมิได้รู้อยู่แล้วและไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ เป็นคนอื่นเมื่อเห็นเยี่ยอิ๋งแต่งงานไปแล้วโชคไม่ดีเช่นนี้ คงนึกเกลียดจ้าวซื่อและบุตรในท้องของนางไม่น้อย
“ฮูหยินหมายความว่าอย่างไรหรือ ไม่ว่าอย่างไรเด็กคนนั้นก็เป็นสายเลือดตระกูลเยี่ย และเป็นน้องแท้ๆ ของหลีเอ๋อร์ ท่านพ่อย่อมต้องรักใคร่เป็นธรรมดา” เยี่ยหลีโยนคำถามกลับไปให้หวังซื่ออย่างนิ่มนวล หากมิใช่เพราะจ้าวซื่อระวังตัวอย่างดีจนหวังซื่อหาโอกาสลงมือไม่ได้ นางจะมาปรึกษาตนถึงที่นี่ได้อย่างไร หากเยี่ยหลีตกหลุมพรางช่วยนางออกความเห็น แล้วหากเกิดอันใดขึ้นในภายหลัง นางคงต้องรับน้ำเน่านั้นมาไว้กับตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
หวังซื่ออึ้งไป กัดฟันฝืนยิ้ม “ไม่ว่าอย่างไร เกรงว่าเด็กนั่น…เรื่องอิ๋งเอ๋อร์ทำให้ตระกูลเยี่ยแทบไม่เหลือหน้าเหลือตาแล้ว หากงานแต่งงานของหลีเอ๋อร์เกิดเรื่องใดขึ้นอีก หน้าตาของตระกูลเราคงไม่เหลือแล้วจริงๆ”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงพร้อมยิ้มน้อยๆ “เรื่องนี้ข้าคงมิอาจให้ความเห็นได้ ฮูหยินไปปรึกษาท่านพ่อและท่านย่าจะดีกว่า เกิดเป็นลูกผู้หญิง เมื่อแต่งงานออกไปต้องเชื่อฟังสามี อีกอย่าง…งานแต่งงานของหลีเอ๋อร์ก็มิมีเรื่องหน้าตาให้ต้องพูดถึง” เมื่อแต่งงานออกเรือนไปก็ต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่ม่อ ต่อให้เด็กคนนั้นชะตาเป็นภัยต่อใครจริง ก็ต้องเป็นคนที่ยังใช้แซ่เยี่ยอยู่มิใช่หรือ
เมื่อเห็นเยี่ยหลีนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนเช่นนี้ หวังซื่อจึงรู้ทันทีว่าเรื่องคงไม่เป็นอย่างที่นางหวังไว้ นางจึงแกล้งทำทีพูดปลอบใจเยี่ยหลีเล็กน้อย ก่อนกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นเสียจนแทบเสียรูปแล้วเดินจากไป
“คุณหนู หวังซื่อคนนี้ช่างร้ายกาจนัก คุณหนูอย่าตกหลุมพรางนางเข้าเชียวนะเจ้าคะ” เมื่อลับร่างหวังซื่อ หลินหมัวมัวและเว่ยหมัวมัวก็รีบเดินออกมาจากห้องด้านในทันที ก่อนเว่ยหมัวมัวจะพูดด้วยความโกรธ
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นพลางยิ้ม “แม่นมมองเจตนาของนางออกหรือ”
เว่ยหมัวมัวตอบ “จะมีเรื่องอันใดอีกเล่าเจ้าคะ ตัวนางคิดอยากทำร้ายจ้าวอี๋เหนียง แต่กลับลากคุณหนูให้มาช่วยออกหน้า หากคุณหนูเป็นคนหูเบาเชื่อตามที่นางพูดเข้าจริง อีกหน่อยคงได้พูดกันว่าบุตรสาวเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องในเรือนของบิดา ปฏิบัติต่อภรรยารองและบุตรภรรยารองอย่างไร้ศีลธรรมและไร้เมตตาธรรม มีแต่จะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูนะเจ้าคะ”
หลินหมัวมัวอมยิ้มก่อนพูดปลอบเว่ยหมัวมัวว่า “น้องอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าเห็นว่าลึกๆ คุณหนูทราบดีว่าต้องทำอย่างไร”
เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังซื่อไม่มีทางปล่อยจ้าวอี๋เหนียงไปแน่นอน เพียงแต่ช่วงนี้เรื่องในจวนมากนัก นางคงยังหาโอกาสลงมือมิได้เท่านั้น”
หลินหมัวมัวดูมีความกังวลในใจ “ความหมายของคุณหนูคือจะช่วยจ้าวอี๋เหนียงคนนั้นหรือเจ้าคะ”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “จะเรียกว่าช่วยคงมิได้ เรียกว่าต่างคนต่างได้ประโยชน์จะดีกว่า ช่วงที่ผ่านมาจ้าวอี๋เหนียงก็ช่วยข้าไว้ไม่น้อย อีกอย่าง ข้าเห็นว่าฮูหยินอบรมสั่งสอนหรงเอ๋อร์จนเขาไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร ถึงอย่างไรอีกหน่อยตระกูลเยี่ยก็ยังต้องมีคนคอยจุดธูปกราบไหว้”
หลินหมัวมัวเอ่ยต่อว่า “เกรงว่าอีกหน่อยจ้าวอี๋เหนียงจะคิดการณ์ใหญ่น่ะสิเจ้าคะ”
เยี่ยหลียิ้มพลางโบกมือ “หากนางเป็นคนฉลาดจริงคงรู้ว่าข้ากับนางไม่มีผลประโยชน์ที่ขัดต่อกัน”
หลินหมัวมัวหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยิ้มออก “คุณหนูช่างคิดได้รอบคอบจริงเจ้าค่ะ บ่าวคิดมากไปเอง”
เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมส่ายหน้า “ข้าอายุยังน้อย ย่อมมีเรื่องที่ข้าคิดไปไม่ถึง อีกหน่อยคงต้องให้หมัวมัวและแม่นมคอยช่วยเอ่ยเตือนด้วย”
เย็นวันนั้น ไม่รู้ว่าหวังซื่อไปพูดอีท่าไหนจนเจ้ากรมเยี่ยยินยอมให้ส่งจ้าวอี๋เหนียงกลับไปอยู่บ้านเดิมตระกูลเยี่ย แน่นอนว่าจ้าวอี๋เหนียงร้องไห้อ้อนวอนอยู่พักใหญ่ อี๋เหนียงอีกสองสามคนที่เหลืออยู่ในจวนเมื่อเห็นท่าทีคร่ำครวญของจ้าวอี๋เหนียงเช่นนี้ต่างก็รู้สึกทนดูไม่ได้ ด้วยรู้ดีว่าบ้านเดิมของตระกูลเยี่ยมิใช่เรือนหลังโตที่มีอันจะกินอะไร มิหนำซ้ำยังเป็นเรือนที่อยู่ในเขตปิ้งโจวใกล้ชายแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ของต้าฉู่ ที่ไม่เพียงเป็นพื้นที่แร้นแค้น ทว่ายังอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงเป็นพันลี้อีกด้วย นับแต่เจ้ากรมเยี่ยเข้ามารับตำแหน่งในเมืองหลวงและรับฮูหยินผู้เฒ่ามาอยู่ด้วยกันเป็นต้นมา ตระกูลเยี่ยก็ไม่เคยกลับบ้านเดิมอีกเลย
หลายปีก่อนแม้แต่โถงบรรพบุรุษก็ย้ายมาอยู่ที่จวนในเมืองหลวงเช่นกัน ดังนั้นที่ปิ้งโจวจึงเหลือเพียงเรือนหลังเก่ากับที่ดินอีกเล็กน้อยให้คนของตระกูลคอยดูแลเท่านั้น อย่าว่าแต่เรื่องจ้าวอี๋เหนียงกลับไปแล้วจะได้อยู่อย่างสุขสบายหรือไม่เลย แค่นางเดินทางไปทั้งๆ ที่ตั้งครรภ์อย่างนี้จะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นับเป็นบททดสอบหนึ่งแล้ว
สีหน้าเจ้ากรมเยี่ยเองก็ดูอดรนทนไม่ได้เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเห็นอนุแสนรักคนนี้ร่ำไห้อ้อนวอนอย่างไรก็ยังไม่ยอมใจอ่อน
เยี่ยหลีมองสีหน้าของจ้าวอี๋เหนียงที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเสียใจเป็นหมดหวังนิ่งๆ ถึงแม้นางจะมีความสามารถด้านการเล่นละครอยู่บ้าง แต่ก็ยังมีความจริงใจอยู่ลึกๆ ความไร้เยื่อไยของเจ้ากรมเยี่ยคงทำให้จ้าวอี๋เหนียงปวดใจไม่น้อยทีเดียว
“ท่านพ่อ” เมื่อเยี่ยหลีเห็นนางคร่ำครวญมาพอสมควรแล้ว จึงเริ่มเอ่ยปาก “เรื่องที่ปิ้งโจวอยู่ห่างไกลออกไปเท่าไรยังไม่ต้องพูดถึง แต่เส้นทางที่ต้องเดินทางไปนั้นยากลำบากนัก แม้แต่คนปกติทั่วไปเองก็ใช่ว่าจะรับไหว แล้วยิ่งจ้าวอี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์เช่นนี้”
สีหน้าเจ้ากรมเยี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันมองทางเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์มีความเห็นอย่างไร”
เยี่ยหลีหลุบตาลงเล็กน้อย “ในเมื่อฮูหยินตั้งใจส่งจ้าวอี๋เหนียงไปอยู่นอกเมือง แล้วเหตุใดจำเพาะจะต้องเป็นที่ปิ้งโจวเล่าเจ้าคะ หากระหว่างทางเกิดเหตุอันใดขึ้น…ยามนี้เจาอี๋ทรงพระครรภ์โอรสของฮ่องเต้อยู่ด้วย พวกเราสมควรช่วยนางสั่งสมบุญถึงจะถูกนะเจ้าคะ”
หวังซื่อหน้าซีดลงทันที ในใจโกรธจนอกแทบแตก เหตุใดเยี่ยหลีจึงหาว่าตนตั้งใจ ซ้ำยังพูดจาแช่งบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนกับหลานของนางอีก
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าขมวดคิ้วมุ่น “เช่นนั้นหลีเอ๋อร์เห็นว่าเป็นที่ใดจึงเหมาะหรือ”
เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ “เรื่องโชคชะตานั้นถึงแม้มิอาจไม่เชื่อ แต่ก็มิอาจเชื่อได้ทั้งหมด เพราะไม่ว่าอย่างไรบุตรในท้องของจ้าวอี๋เหนียงก็เป็นลูกหลานตระกูลเยี่ยของพวกเรา หากผู้อื่นรู้เข้าคงหาว่าตระกูลเยี่ยไม่ไยดีเลือดเนื้อเชื้อไขของตน ส่วนเรื่องจะให้จ้าวอี๋เหนียงไปอยู่ที่ใดนั้น ท่านพ่อกับท่านย่าคงใคร่ครวญกันไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้ากรมเยี่ยมองเยี่ยหลีด้วยท่าทีตรึกตรอง ก่อนเอ่ยถามเสมือนถามความเห็นว่า “ตระกูลเรามีเรือนหลังเล็กอยู่ที่อวิ๋นโจวหลังหนึ่ง อากาศที่อวิ๋นโจวก็ดีต่อสุขภาพ เช่นนั้นส่งจ้าวอี๋เหนียงไปอยู่ที่อวิ๋นโจวเจ้าว่าอย่างไร?”
“สุดแล้วแต่ท่านพ่อกับท่านย่าเจ้าค่ะ”
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่ามองจ้าวอี๋เหนียงอย่างใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ก่อนหันมายิ้มให้เยี่ยหลี “ที่ท่านพ่อเจ้าว่านั้นไม่เลวเลย อวิ๋นโจวเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยความรู้ ผลิตบัณฑิตออกมาไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจช่วยบรรเทาชะตาของเด็กคนนี้ได้”
เยี่ยหลีตอบรับด้วยความเคารพ “ท่านย่าพูดถูกเจ้าค่ะ ขอเพียงตระกูลเยี่ยดี พวกเราก็จะพลอยดีไปด้วยมิใช่หรือเจ้าคะ” ชะตาหรือ เด็กที่ยังไม่ทันได้เกิดจะมีชะตาได้อย่างไรกัน
เยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยชมเยี่ยหลีที่มองการณ์ไกล “หลีเอ๋อร์ช่างรู้เรื่องรู้ราวดีจริง เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้ก็จัดการตามนี้แล้วกัน”
จ้าวอี๋เหนียงที่คุกเข่าอยู่กลางห้องโถงหันไปมองใบหน้าไม่สบอารมณ์ของหวังซื่อปราดหนึ่ง ก่อนหันไปคารวะเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเคารพ “บ่าวขอบพระคุณที่ฮูหยินผู้เฒ่ากรุณาเจ้าค่ะ ขอบพระคุณนายท่านและคุณหนูสามที่กรุณาเจ้าค่ะ”
เยี่ยหลียิ้มเล็กน้อย “จ้าวอี๋เหนียงรีบลุกขึ้นเถิด นี่เป็นความกรุณาของท่านย่าและท่านพ่อเท่านั้น พวกเราเป็นผู้น้อยย่อมต้องเชื่อฟังพวกท่านเท่านั้น อี๋เหนียงไปครานี้ระยะทางยาวไกลนัก ต้องระมัดระวังให้มาก หากน้องชายคลอดออกมาแล้วหวังว่าอี๋เหนียงจะคอยอบรมดูแลอย่างดี อย่าให้ความเมตตาของท่านย่าและท่านพ่อต้องเสียเปล่า”
จ้าวอี๋เหนียงรีบพยักหน้ารับ “บ่าวขอบคุณที่คุณหนูเอ่ยเตือนเจ้าค่ะ”