ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 46-4
หวังซื่อดีใจยิ่ง จับมือเยี่ยหลีพร้อมยิ้มว่า “ลูกดูสิ ท่านพ่อของเจ้าถึงอย่างไรก็ยังเป็นห่วงเจ้า” นางรีบดึงเยี่ยอิ๋งให้ลุกขึ้นยืนต้อนรับเจ้ากรมเยี่ย
เมื่อเจ้ากรมเดินเข้ามาเห็นเยี่ยอิ๋งอยู่ด้วยก็นิ่งอึ้งไป ก่อนพูดว่า “อิ๋งเอ๋อร์ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่”
เยี่ยอิ๋งก้มหัวลงด้วยความเสียใจ “อิ๋งเอ๋อร์กลับมาบ้าน ก็ต้องเข้ามาพูดคุยกับท่านแม่ที่นี่สิเจ้าคะ ท่านพ่อคิดว่าลูกสมควรอยู่ที่ใดกัน”
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย อดเหลือบมองเยี่ยอิ๋งอีกทีไม่ได้ เขารู้สึกว่าหลายวันที่ไม่ได้พบหน้าบุตรสาวของตน ดูคล้ายว่านางจะเปลี่ยนไปไม่น้อย จึงสรุปเอาเองว่านางออกเรือนไปและกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก
รอจนเจ้ากรมเยี่ยนั่งลงและยกน้ำชามาให้เรียบร้อยแล้ว หวังซื่อถึงได้เอ่ยถามว่า “ท่านพี่ไม่อยู่คุยเป็นเพื่อนฮว่ากั๋วกงกับผู้อาวุโสซู แต่มาเสียที่นี้ด้วยเหตุอันใดหรือเจ้าคะ”
เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “กั๋วกงผู้เฒ่ากับผู้อาวุโสซูดื่มเหล้าในงานเสร็จและกลับไปแล้ว ข้าจะมาปรึกษากับเจ้าเรื่องสินเดิมของหลีเอ๋อร์”
หวังซื่อเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี “สินเดิมของหลีเอ๋อร์หรือ มิใช่ว่าจัดเตรียมเรียบร้อยดีแล้วหรือเจ้าคะ ท่านพี่เห็นว่ายังมีปัญหาอันใดอีกหรือ”
เจ้ากรมเยี่ยพยักหน้า เหลือบมองเยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้าน “ข้าปรึกษากับท่านแม่แล้ว เห็นว่าสินเดิมของเยี่ยหลีสมควรเพิ่มบ้านเข้าไปอีกสองหลัง เรือนอีกหนึ่งหลัง ร้านค้าอีกสองห้อง และเงินอีกแปดพันตำลึง”
“อะไรนะ!” หวังซื่อร้องเสียงแหลม อีกนิดก็จะปัดถ้วยชาตรงหน้าเสียแล้ว ขณะที่เยี่ยอิ๋งก็มองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “นี่เป็นความตั้งใจของฮูหยินผู้เฒ่า”
หวังซื่อพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตนกรีดร้องออกมา นางจับจ้องเจ้ากรมเยี่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “เหตุใดกัน เย่ว์เอ๋อร์กับอิ๋งเอ๋อร์เป็นบุตรสาวสายหลักเช่นเดียวกัน เป็นหลานแท้ๆ ของฮูหยินผู้เฒ่า ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังเกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ เย่ว์เอ๋อร์อยู่ในวังยังไม่เท่าไร แต่นี่อีกหน่อยจะให้อิ๋งเอ๋อร์อยู่ในตำหนักหลีอ๋องด้วยฐานะเช่นไร”
เจ้ากรมเยี่ยพูดด้วยความรำคาญว่า “เจ้าพูดจาไร้สาระอันใด เรื่องสินเดิมของอิ๋งเอ๋อร์เป็นเช่นไรเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ เจ้าเพิ่มสินเดิมเข้าไปอีกเท่าไรคิดว่าข้ากับฮูหยินผู้เฒ่าไม่รู้หรือ”
หวังซื่อพูดเสียงเบาอย่างขัดใจว่า “ของหลีเอ๋อร์ก็มีเพิ่มเข้าไปเช่นกันมิใช่หรือเจ้าคะ คราวคุณหนูใหญ่ออกเรือนไป สินเดิมยังไม่ได้เศษที่นางได้เลยด้วยซ้ำ”
เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยเสียงเย็นว่า “สินเดิมที่ท่านแม่ของหลีเอ๋อร์ทิ้งไว้ให้เจินเอ๋อร์หายไปที่ใดเจ้าไม่รู้หรือ อีกอย่าง สินเดิมของหลีเอ๋อร์ส่วนมากก็เป็นของที่ท่านแม่ของนางทิ้งไว้ให้ทั้งนั้น เป็นของที่มาจากตระกูลสวี แต่ของอิ๋งเอ๋อร์เป็นของตระกูลเยี่ยทั้งสิ้น!”
“ท่านพี่…” หวังซื่อมองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด ร่างกายดูโอนเอนคล้ายจะทรงตัวไม่อยู่ “ข้ารู้อยู่แล้ว…ว่าท่านพี่ดูถูกข้ามาโดยตลอด ก็เพราะตระกูลเดิมของข้ายากจน ไม่ร่ำรวยเหมือนตระกูลพี่สาว…” ยังไม่ทันพูดจบ หวังซื่อก็ร่ำไห้จนน้ำตาหยดเป็นสาย “ฮือๆ…ถ้าข้ารู้เช่นนี้แต่แรกว่าจะทำให้บุตรสาวของข้าถูกท่านพี่ดูถูกด้วยเช่นนี้ ข้า…สู้ข้าตายไปเสียแต่แรกยังดีเสียกว่า…”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใดกัน!” เมื่อเห็นภรรยาของตนร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยก็ใจอ่อนลงทันที คิดถึงว่าช่วงนี้ตนเพิกเฉยนางด้วยเรื่องของจ้าวซื่อ จึงจำใจเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
หวังซื่อน้ำตารื้นพลางมองเจ้ากรมเยี่ยด้วยสายตาต่อว่า “หรือว่าเมื่อครู่ท่านพี่ไม่ได้ดูถูกข้า”
เจ้ากรมเยี่ยตอบว่า “อยู่ดีๆ อย่าคิดอันใดเหลวไหลเช่นนี้ ข้าดูถูกเจ้าเมื่อไรกัน”
หวังซื่อจึงได้หยุดร้องไห้ มองเจ้ากรมเยี่ยด้วยความซาบซึ้งใจ “ปี้เอ๋อร์รู้ว่าถึงอย่างไรท่านพี่ก็จะดีกับปี้เอ๋อร์เสมอ”
เจ้ากรมเยี่ยเหลือบมองเยี่ยอิ๋ง ฝืนส่งเสียงอืมตอบรับ
เยี่ยอิ๋งที่นั่งอยู่อีกด้านดูคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ นางเองก็ตกใจกับมารยาที่ท่านแม่ของตนใช้มัดใจท่านพ่ออยู่เหมือนกัน ถึงแม้นางอยู่ในเหตุการณ์และเห็นว่าที่ท่านแม่ทำท่าทางเขินอายราวสาวน้อยแรกแย้มเช่นนี้ จะรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง แต่ที่ชัดเจนเลยคือท่านพ่อแพ้ทางนางที่เป็นเช่นนี้ ภาพเมื่อครั้งที่ฮูหยินใหญ่ยังอยู่นั้นนางจำได้ดี จะว่าเยี่ยอิ๋งคิดและพยายามจะรักษาท่าทางให้ได้อย่างฮูหยินใหญ่ก็ว่าได้ ดังนั้นนางจึงไม่เข้าใจมาตลอดว่าเหตุใดท่านพ่อถึงรังเกียจสตรีที่งดงามและมากความสามารถเช่นฮูหยินใหญ่ แต่กลับนึกรักใคร่เอ็นดูท่านแม่ของตน บางครานางถึงกับคิดว่าตนกำลังพยายามในทางที่ผิดอยู่หรือไม่ ครั้นโตขึ้น นางเป็นที่ชื่นชมในหมู่คุณหนูแห่งเมืองหลวงและเห็นสายตาชื่นชมจากเหล่าบุรุษที่ส่งมาทำให้นางเข้าใจว่านางไม่ได้วางตนผิด
“ท่านพี่ เช่นนั้น…เรื่องสินเดิมของหลีเอ๋อร์…”
เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “นี่เป็นเรื่องที่ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินใจแล้ว ถ้าเจ้ามีความเห็นเป็นอื่นก็ไปบอกฮูหยินผู้เฒ่าเองก็แล้วกัน” ถึงแม้เรื่องส่วนตัวในจวน เขาจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวเท่าไร แต่กับเรื่องที่เป็นงานเป็นการแล้วยังนับว่าพอได้เรื่องได้ราวอยู่บ้าง จึงรีบอ้างฮูหยินผู้เฒ่าขึ้นมาเป็นเกราะกำบังทันที
แน่นอนว่าหวังซื่อไม่กล้าไปถามเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่า หากนางกล้าท้าทายเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าจริง หลายปีมานี้นางคงหาทางจัดการแม่สามีแก่ๆ ที่ชอบใช้จมูกมองนาง แล้วยังชอบบงการโน่นนี่ไปนานแล้ว
เมื่อเห็นทั้งภรรยาและบุตรสาวต่างน้อยใจแต่ไม่กล้าเอ่ยปากเช่นนี้ เจ้ากรมเยี่ยจึงได้แต่ถอนใจ “เจ้าก็เห็นอยู่ว่าของหมั้นที่ตำหนักติ้งอ๋องส่งมาเป็นอย่างไร ถึงแม้จะมีสินเดิมของมารดานางช่วยเอาไว้ ทำให้คนนอกดูไม่ออก แต่ตระกูลใหญ่ที่ร่ำรวยและมีอำนาจในเมืองหลวงตระกูลใดบ้างที่ไม่รู้ที่มาที่ไป หากมีข่าวไม่ดีแพร่ออกไป ตระกูลเยี่ยของพวกเราคงไม่ต้องอยู่เป็นผู้เป็นคนในเมืองหลวงกันพอดี”
ละโมบของหมั้นมากมายของบ้านบุตรเขย แต่กลับไม่ยอมควักสินเดิมให้ติดตัวไปอย่างเหมาะสม คงได้ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างสนุกปาก
หวังซื่อคิดถึงรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว นางจำต้องยอมรับว่าถึงแม้ตำหนักติ้งอ๋องจะถดถอยลงมากก็จริง ทว่ายังคงเป็นตระกูลใหญ่ที่มีกิจการใหญ่โตและมีพื้นเพร่ำรวยมหาศาลทีเดียว
“หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คนที่ดูไม่ดีมิใช่ตำหนักติ้งอ๋องหรือหลีเอ๋อร์ แต่จะเป็นตระกูลเยี่ยของพวกเรา รวมถึงเจาอี๋ในวังด้วย” เจ้ากรมเยี่ยพูดต่อ
เพียงพูดถึงเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ในวัง สีหน้าหวังซื่อก็หวั่นไหวทันที เพียงแต่เมื่อคิดว่าจะต้องควักเงินออกไปทีเดียวหลายหมื่นตำลึงเช่นนั้นก็ให้รู้สึกเจ็บปวดในใจยิ่งนัก เมื่อตรึกตรองได้พักหนึ่ง จึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพี่และฮูหยินผู้เฒ่าไตร่ตรองรอบคอบแล้ว เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเอง ขอท่านพี่อย่าได้ถือโทษเลยเจ้าค่ะ จัดการตามที่ท่านพี่ว่าเถิด ยามนี้ข้าก็ไม่มีกะจิตกะใจจะจัดการเรื่องเหล่านี้แล้ว”
เจ้ากรมเยี่ยได้ฟังเช่นนี้ ก็หันมองนางด้วยความประหลาดใจทันที “เพราะเหตุใดหรือ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับอิ๋งเอ๋อร์หรือ”
หวังซื่อดึงเยี่ยอิ๋งเข้ามา พร้อมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในตำหนักหลีอ๋องให้ฟังโดยละเอียด เมื่อเจ้ากรมเยี่ยได้ฟังก็อดนึกโกรธจนลมออกหูไม่ได้ เยี่ยอิ๋งอาจดูไม่ออกว่าเสียนเจาไท่เฟยตั้งใจจะยึดอำนาจในการจัดการตำหนักคืน แต่มีหรือที่หวังซื่อและเจ้ากรมเยี่ยจะดูไม่ออก ใครกันจะเคยได้ยินว่าสะใภ้แต่งเข้าไปวันแรกก็ต้องจัดการเรื่องบัญชีภายในบ้านเสียแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น สองวันให้หลังก็ตัดสินเสียแล้วว่าเยี่ยอิ๋งไม่เหมาะกับการจัดการเรื่องในตำหนัก แม้แต่แม่สามีที่ร้ายกาจที่สุดยังไม่ทำถึงขนาดนี้เลย
“จะรังแกกันเกินไปแล้ว! ข้าจะไปพบหลีอ๋อง เขาจะต้องให้คำอธิบายแก่ตระกูลเยี่ยของพวกเราให้จงได้!” เจ้ากรมเยี่ยกล่าวด้วยความโกรธ
เยี่ยอิ๋งรีบเข้ามาดึงเจ้ากรมเยี่ยไว้ไม่ให้ออกไป เจ้ากรมเยี่ยขมวดคิ้ว “อิ๋งเอ๋อร์ นี่เจ้าทำอันใด” เยี่ยอิ๋งพูดเสียงต่ำว่า “ท่านพ่อ เรื่องนี้พักไว้ก่อนเถิดเจ้าค่ะ ท่านอ๋องรับปากไท่เฟยแล้ว หากท่านไปพูดยามนี้ก็รังแต่จะทำให้ท่านอ๋องไม่พอพระทัย” เมื่อได้ร่ำไห้ไปยกหนึ่ง และหวังซื่ออธิบายให้นางฟังแล้ว เยี่ยหลีจึงเข้าใจทันทีว่าที่พึ่งของนางในยามนี้มีเพียงม่อจิ่งหลีเท่านั้น ดังนั้นจึงมิอาจทำให้เขาไม่พอใจ
“จะให้เรื่องแล้วไปแล้วเช่นนี้หรือ” เจ้ากรมเยี่ยเอ่ยถาม เมื่อเทียบม่อซิวเหยาที่ดูสุภาพมีมารยาทกับม่อจิ่งหลีที่ดูท่าทางไม่เห็นหัวผู้ใดแล้ว เจ้ากรมเยี่ยยิ่งรู้สึกไม่พอใจบุตรเขยคนนี้เข้าไปใหญ่ เหตุใดติ้งอ๋องจำต้องอยู่ในฐานะเช่นนี้ด้วย เจ้ากรมเยี่ยคิดด้วยความเสียดาย
“อิ๋งเอ๋อร์จะคิดหาทางก่อนเจ้าค่ะ หากไม่ไหวจริงๆ จะขอให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าให้อีกทีนะเจ้าคะ”
เจ้ากรมเยี่ยถอนหายใจแผ่วเบา พูดกับบุตรสาวด้วยความสงสารว่า “เอาเถิด ถึงแม้หลีอ๋องจะเป็นโอรสแท้ๆ ของไทเฮา แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวเขาเพียงนั้น ฮ่องเต้มิใช่ผู้ที่ไม่รับสั่งกันด้วยเหตุด้วยผล หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราค่อยกราบทูลขอให้ฮ่องเต้ช่วยออกพระพักตร์ให้ก็แล้วกัน ก่อนกลับเตรียมเงินให้อิ๋งเอ๋อร์ไปใช้หน่อยก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะ ข้าขอบคุณท่านพี่แทนอิ๋งเอ๋อร์ด้วยเจ้าค่ะ”