ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 53-3
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 53-3 วันมงคลสมรสใหญ่
เมื่อพวกชิงซวงเข้ามาถึง เยี่ยหลีได้ถอดเครื่องประดับบนตัวทั้งหลายออกลงวางในกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งเรียบร้อยแล้ว ชิงซวงขมวดคิ้ว ก่อนพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณหนู เหตุใดท่านอ๋องจึงออกไปเล่าเจ้าคะ” องค์หญิงได้สั่งไว้แล้วว่าห้ามใครรบกวนในห้องหอ และไม่ต้องให้ติ้งอ๋องอยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนแขกเหรื่อ ดังนั้นตอนนี้ติ้งอ๋องจึงควรอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูในห้องหอถึงจะถูก เหตุใดเมื่อเข้ามาแล้วถึงได้ออกไปอีก
เยี่ยหลีหันไปยิ้มกับพวกนาง “ที่นี่คือตำหนักติ้งอ๋องนะ หรือเจ้ากลัวว่าเขาจะไม่มีที่พักผ่อนก่อน”
ชิงหลวนและชิงอวี้เตรียมน้ำอุ่นไว้พร้อมแล้ว จึงเข้ามาเชิญเยี่ยหลีให้เข้าไปอาบน้ำ สีหน้าทั้งสองก็ดูไม่ค่อยดีเช่นกัน เยี่ยหลีไม่มีแรงจะมาสนใจว่าสีหน้าของสาวใช้จะดีหรือไม่ดี อันนี้จริงสำหรับนางแล้ว ที่ม่อซิวเหยาทำเช่นนี้ถือว่าเขาใส่ใจความรู้สึกของนางมากแล้ว ถึงแม้นางไม่ได้คิดจะเป็นสามีภรรยากับเขาแค่เพียงในนามไปตลอดชีวิต เพียงแต่หากจะให้นางทำอันใดกับชายที่ไม่คุ้นเคย และเคยเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ครั้งเช่นนี้ นางยังนึกเป็นกังวลว่าตนเองจะทำได้หรือไม่ด้วยซ้ำ สำหรับเรื่องนี้นางยังรู้สึกนับถือหญิงสาวในสมัยก่อนที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ ปกติแค่จะจับมือถือแขนกับผู้ชายยังไม่ได้ แต่พอแต่งงานกันแล้วก็ต้องกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนที่นอนกับชายที่โดยปกติแทบจะไม่เคยได้พบหน้ากันมาก่อน เมื่อถอดเครื่องประดับอันแสนหนักอึ้งกับถอดชุดแต่งงานที่หรูหราออกไปแล้ว เยี่ยหลีค่อยรู้สึกผ่อนคลายร่างกาย เตรียมตัวอาบน้ำ แล้วลงนอนบนที่นอนที่นุ่มสบายจนเข้าสู่นิทรารมณ์ไป ริมฝีปากยังแต้มรอยยิ้มน้อยๆ อีกด้วย ท่านแม่ ท่านพ่อ พ่อแม่ และพี่น้องทุกคน ข้าขายออกแล้ว…
ในห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋อง ม่อซิวเหยาที่เปลี่ยนมาใส่ชุดสีอ่อนกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าขรึมกระด้างอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ในชุดสีแดงยืนพิงประตูอยู่อย่างเกียจคร้าน “วันมงคลใหญ่แท้ๆ มานั่งทำหน้าเช่นนี้อยู่ไปไย ไม่นึกว่าจะทำให้พี่สะใภ้กลัวเสียเลย”
ที่มุมหนึ่งของห้องมีชายหนุ่มหน้าตาผิวพรรณดีมองเขาอยู่พร้อมหัวเราะหึๆ “เท่าที่ข้าเห็น พี่สะใภ้ดูใจกล้ากว่าที่พวกเราคิดกันไว้เยอะเลยนะ”
เฟิ่งจือเหยานิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ที่พูดก็ถูก ข้าไม่เคยเห็นผู้หญิงสักกี่คนที่ใจกล้าอย่างคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเลยจริงๆ”
“พูดพอหรือยัง” ม่อซิวเหยาเงยหน้าขึ้นใช้สายตาเยือกเย็นมองบุรุษทั้งสองที่เห็นรูปลักษณ์ไม่ชัดเจน เฟิ่งจือเหยายักไหล่ก่อนกล่าวว่า “เจ้าทึ่มเมื่อคืนนี้คือองค์ชายสิบเอ็ดจากแคว้นเป่ยหรง นามเยียหลี่ว์ผิง เป็นบุตรชายของเซียวเฟยที่ท่านอ๋องเป่ยหรงทรงโปรดปรานที่สุด น้องชายร่วมอุทรของเยียหลี่ว์เหยี่ย องค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นเป่ยหรง และยังเป็นหลานชายของเฮ่อเหลียนเจิน แม่ทัพใหญ่เฟยฉีแห่งเป่ยหรงด้วย เจ้าคงยังไม่ลืมนะว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเจ้าทำอันใดไว้กับเฮ่อเหลียนเจินบ้าง”
“เฮ่อเหลียนเจิน แซ่เฮ่อเหลียน เซียวเฟยแซ่เซียว เยียหลี่ว์ผิงจะเป็นหลานชายของเฮ่อเหลียนเจินได้อย่างไร” ชายหนุ่มผิวพรรณดีเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
“ความสัมพันธ์ของคนเป่ยหรงซับซ้อนจนทำให้คนปวดหัวไปหมด ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาเป็นญาติกันทางไหนเล่า” เฟิ่งจือเหยาพูดอย่างไม่เห็นขันว่า “เหลิ่งเฮ่าอวี่ นี่ควรจะเป็นเรื่องของเจ้ามิใช่หรือ”
ชายหนุ่มคนที่ว่า ก็คือเหลิ่งเฮ่าอวี่ บุตรชายคนที่สองของท่านแม่ทัพเจิ้นเป่ย ที่ว่ากันว่าเป็นคนไม่เอาถ่านที่สุดในเมืองหลวงนั่นเอง
“ข่าวที่ข้าได้รับมาจากแคว้นเป่ยหรง ดูเหมือนจะว่ากันว่า เยียหลี่ว์เหยี่ยเป็นบุตรชายลับๆ ของเฮ่อเหลียนเจิน”
“ข่าวเช่นนี้ยังให้หลุดมาถึงต้าฉู่ได้ เชื่อถือได้หรือ” เฟิ่งจือเหยากลอกตามองบน แล้วหันไปมองม่อซิวเหยา “เจ็ดปีก่อนพี่ชายเจ้าเกิดป่วยจนเสียชีวิตไปกะทันหัน ทั้งที่เฮ่อเหลียนเจินสามารถใช้โอกาสนั้นสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ หรืออาจถึงขั้นกวาดล้างต้าฉู่ได้ แต่สุดท้ายกัดฟันสู้รบจนฝ่าออกมาจากหุบเขากุ่ยโฉวได้ด้วยเพลิงลูกใหญ่จนเกือบเผาเอาชีวิตของเฮ่อเหลียนเจินไปครึ่งชีวิต เฮ่อเหลียนเจินพ่ายแพ้เสียทหารไปยังไม่เท่าไร แต่นั่นทำให้แคว้นเป่ยหรงไม่กล้าสร้างกองกำลังทหารขึ้นอีกเลยเป็นเวลาสามปี กว่าพวกมันจะกลับมาตั้งตัวได้ ต้าฉู่ของพวกเราก็ฟื้นกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้ว ตั้งแต่นั้นมาเฮ่อเหลียนเจินก็ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเป่ยหรงอ๋องอีกเลย ทั้งยังทำให้เยียหลี่ว์เหยี่ยกับเซียวเฟยเสียฐานอำนาจในเป่ยหรงไปอีกมหาศาล พวกมันไม่พุ่งตรงมาเอาชีวิตเจ้าถึงที่ต้าฉู่นี่ก็ถือว่าไม่เลว
ม่อซิวเหยาเอ่ยเรียบๆ ว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า เยียหลี่ว์ผิงเป็นคนที่เยียหลี่ว์เหยี่ยส่งมาทำให้ข้าขายหน้าอย่างนั้นหรือ”
เฟิ่งจือเหยาลูบคางพร้อมเอ่ยว่า “ใครไม่รู้บ้างว่าเยียหลี่ว์ผิงเป็นคนหยาบช้า ต่อให้ล่วงเกินเจ้า เจ้าก็คงไม่มีหน้าไปถือสาหาความกับเขา ผลเป็นอย่างไรก็คาดเดาได้อยู่มิใช่หรือ”
ม่อซิวเหยายิ้มเย็น “วันนี้ยังถือว่าพวกมันเกรงใจบ้างแล้ว มีเพียงเยียหลี่ว์ผิงคนเดียวที่ออกมาสร้างความวุ่นวายในงาน คนอื่นๆ เองก็คงรอจนแทบทนกันไม่ไหวแล้วกระมัง”
เฟิ่งจือเหยาเคาะหน้าผากครุ่นคิด “ใครจะไปคิดว่าฮ่องเต้ของเราจะพาฮองเฮาและไทเฮามาร่วมงานที่ตำหนักติ้งอ๋องด้วยเล่า ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ถึงอย่างไรก็คงไม่กล้าเสียมารยาทจนเกินไปมิใช่หรือ ในเมื่อมีเจ้าทึ่มออกโรงแล้ว คนอื่นๆ ที่ถือว่าตนเองฉลาดย่อมไม่เปิดปากอีกแน่นอน เพียงแต่…ทูตจากแคว้นต่างๆ ยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงกันอีกครึ่งเดือน ทางพี่สะใภ้นั่น…”
“ห้ามไปรบกวนนาง!” ม่อซิวเหยาเอ่ยเสียงเรียบ
เฟิ่งจือเหยากับเหลิ่งเฮ่าอวี่หันมาสบตากัน เหลิ่งเฮ่าอวี่กะพริบตาดวงตาดอกท้อของตนก่อนถามว่า “ท่านอ๋อง ท่านคงไม่ได้กำลังจะบอกพวกเราว่าพระชายาคนใหม่ที่ท่านแต่งเข้ามานี้ ท่านกะจะเก็บไว้ในกรงทอง ซ่อนไว้ในตำหนักติ้งอ๋อง ไม่ให้ใครได้พบเจอหรอกกระมัง” หรือว่าคุณหนูสามตระกูลเยี่ยจะมีเสน่ห์ผิดธรรมดา ทำให้ท่านติ้งอ๋องเกิดรักแรกพบ ยิ่งพบยิ่งชอบพอจนอยากเก็บกอดไว้อย่างทะนุถนอม และตั้งใจปกป้องนางอย่างนั่นหรือ
ม่อซิวเหยาตอบว่า “อาหลีไม่ชอบการแก้แค้นของพวกผู้มีอำนาจพวกนั้น หากไม่มีเรื่องสำคัญอันใดก็อย่าได้ไปกวนใจนาง”
เฟิ่งจือเหยาขมวดคิ้วเคาะพัดในมือ “อาเหยา ต่อให้เป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป เมื่อแต่งสะใภ้เข้ามาแล้วก็ยังต้องให้ควบคุมเรื่องในเรือนหลัง และคอยจัดการการสานสัมพันธ์กับคนนอก นับประสาอะไรกับนายหญิงแห่งตำหนักติ้งอ๋อง ถ้าเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ที่ไม่มีความสามารถอันใดก็ว่าไปอย่าง แต่คุณหนูสามตระกูลเยี่ยไม่ใช่ผู้หญิงบอบบางไร้ความสามารถ หากนางสามารถช่วยเจ้าให้บรรลุผลเช่นเดิมโดยเจ้าเสียแรงเพียงครึ่ง เจ้าจะเบาแรงไปได้เยอะเชียวนะ”
“เฟิ่งซานพูดถูก ถิงเอ๋อร์เอ่ยชื่นชมคุณหนูสามตระกูลเยี่ยไว้มากทีเดียว” เหลิ่งเฮ่าอวี่เอ่ยสำทับอีกแรง
ม่อซิวเหยาขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไว้ว่ากันทีหลัง”
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วอยู่ดีๆ ก็หัวเราะขึ้นเหมือนคิดเรื่องอันใดได้ “เอาเถิด ในเมื่อเจ้าตัดสินใจไปแล้ว พวกเราก็จะไม่ยุ่งเรื่องนี้อีก วันนี้ฝ่าบาทพาไทเฮามาร่วมงานด้วยพระองค์เองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขายังคิดจะขัดขวางเจ้าอยู่”
“เขาไม่คิดขัดขวางข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ตอนนี้กระบี่หลั่นอวิ๋นกลับมาอยู่ในตำหนักติ้งอ๋องอีกครั้ง หลายวันนี้คงมีคนหลายสิบกลุ่มคิดอยากบุกเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง อย่างน้อยๆ สามกลุ่มในนั้นจะต้องเป็นคนที่มาจากวังหลวงเป็นแน่” ม่อซิวเหยาตอบ
เหลิ่งเฮ่าอวี่ตาเป็นประกาย “เป็นคนจากฝ่าบาทของพวกเราหรือ”
ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ไม่แน่ใจ แต่แน่นอนว่าย่อมมีคนของเขา”
เฟิ่งจือเหยายิ้มตาหยีให้เหลิ่งเฮ่าอวี่ “เหลิ่งเอ๋อร์ เจ้ากลับไปจับตาดูแม่ทัพหน้าตายที่บ้านเจ้าให้ดีเถิด หากฝ่าบาทของพวกเราบุกเข้าจวนมาไม่สำเร็จ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่เขาจะส่งคนนั้นของเจ้ามา ใครใช้ให้เขาเป็นเพื่อนที่โตมาด้วยกัน ทั้งยังเป็นคนที่เขาไว้ใจที่สุดของฝ่าบาทกันเล่า”
เหลิ่งเฮ่าอวี่เบ้ปาก “วางใจเถิด ไม่ว่าใครเข้ามาก็อย่าได้หวังว่าจะได้แม้แต่เศษขนของจวนนี้ออกไปเลย” นึกถึงพี่ชายใหญ่หน้าตายของตนแล้ว เหลิ่งเฮ่าอวี่ก็รู้สึกอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที เขาคิดว่าพี่ชายเป็นเจ้าทึ่มที่ไม่มีสมอง คอยแต่ตามฮ่องเต้ต้อยๆ แต่ทุกครั้งที่ถิงเอ๋อร์เจอหน้าเขากลับทำท่าเทิดทูนบูชาเสียเหลือเกิน แต่เมื่อเห็นตนกลับทำท่าเหมือนเห็นขยะเสียอย่างนั้น ช่างน่าหงุดหงิดนัก ลองมาบุกจวนดูสิ ข้าจะจับมาจัดการซ้อมเสียให้เข็ด ถิงเอ๋อร์จะได้รู้เสียทีว่าใครกันแน่ที่เก่งจริง ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าโง่!
“ท่านอ๋อง มีคนบุกตำหนักพ่ะย่ะค่ะ!” ประตูหินทั้งหนาและหนักถูกเจาะจนเป็นรู อาจิ่นจึงรีบเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว
ม่อซิวเหยาสายตาเยือกเย็น “ไปทางไหนแล้ว”
“เรือนพระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
ตึง!
“อย่าปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว ในเมื่อวันนี้เป็นวันมงคลใหญ่ไม่ควรให้เสียเลือด เช่นนั้นก็ค่อยจัดการพวกมันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”