ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 55-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 55-1 สตรีในตำหนักติ้งอ๋อง
“เรียนพระชายา ไท่เฟยรองมาเพคะ”
ในห้องหนังสือ เยี่ยหลีกำลังนั่งสะสางบัญชีที่นำมาจากจวนเยี่ย ก็มีสาวใช้เดินเข้าประตูมารายงาน เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นเห็นสาวใช้คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ตกใจเล็กน้อย
ชิงซวงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า “จิ้งเหวิน เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
สาวใช้คนนี้คือจิ้งเหวิน หรือชื่อเดิมคือหานฉิง เป็นคนที่เยี่ยหลีส่งไปอยู่ห้องเย็บปักถักร้อยตั้งแต่สมัยยังอยู่จวนเยี่ย ชุดสาวใช้ในตำหนักติ้งอ๋องเป็นสีเดียวกันหมดคือเป็นชุดสีเหลืองนวลกับเข็มขัดสีอ่อน แต่ชุดที่เรียบง่ายธรรมดาๆ เช่นนี้เมื่ออยู่บนตัวนางยังดูมีเสน่ห์เย้ายวนขึ้นอีกหลายส่วน
จิ้งเหวินเหลือบมองเยี่ยหลีอย่างตระหนก ก่อนตอบเสียงเบาว่า “หมัวมัวที่เป็นหัวหน้าบอกว่า พระชายาคงไม่ใส่เสื้อผ้าที่จิ้งเหวินเย็บเพคะ ในห้องเย็บปักมีสาวเย็บผ้าฝีมือดีอยู่แล้วสี่คน จึงให้จิ้งเหวินออกมาคอยรับใช้อยู่ที่ด้านนอกเพคะ”
แม้ว่านางจะดีใจที่ได้ออกจากห้องเย็บปัก แต่เมื่อผลงานของตนถูกวิจารณ์เสียไม่มีชิ้นดีเช่นนั้น สีหน้าจิ้งเหวินมีแววอับอาย เยี่ยหลีได้แต่นึกละเ**่ยใจ สาวใช้คนนี้ทำงานในห้องเย็บปักมาเดือนกว่าเกือบสองเดือน แต่ไม่ได้ทำให้นางเรียนรู้ที่จะฉลาดขึ้นเลยแม้แต่น้อย หรือนางคิดว่าการที่นางมีรูปโฉมงดงามจะทำให้ไม่ต้องพบเจอเรื่องยากลำบากเช่นนั้นหรือ
“เอาละ เจ้าออกไปก่อน แล้วเชิญไท่เฟยรองเข้ามาเถิด” เยี่ยหลีเอ่ยพร้อมโบกมือ
“เพคะ พระชายา” จิ้งเหวินโค้งตัวคารวะ ก่อนถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ชิงซวงบ่นขึ้นด้วยความไม่พอใจว่า “เหตุใดหลินหมัวมัวกับเว่ยหมัวมัวถึงได้ให้นางมารับใช้คุณหนูนะเจ้าคะ แค่ดูก็รู้แล้วว่านางเป็นคนไม่เรียบร้อย”
ชิงหลวนและชิงอวี้ต่างเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ทีหลัง จึงไม่ค่อยคุ้นเคยกับจิ้งเหวินที่อยู่ห้องเย็บปักสักเท่าไร เพียงรู้สึกว่าลักษณะท่าทางนางดูเย้ายวนเกินไปหน่อยเท่านั้น เมื่อได้ฟังชิงซวงเอ่ยเช่นนี้จึงรีบหันไปมองนางทันที
ชิงซวงกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดใจ “เพราะข้าแท้ๆ ที่ลืมบอกเรื่องนี้กับหลินหมัวมัว”
ชิงสยายิ้ม “เอาละชิงซวง หลินหมัวมัวเป็นหมัวมัวผู้ใหญ่ที่อยู่กับฮูหยินมาตั้งแต่แรก เจ้าคิดว่านางดูไม่ออกหรือว่าจิ้งเหวินเป็นคนอย่างไร อีกอย่างตอนนี้นางเป็นเพียงสาวใช้ขั้นสองที่คอยรับใช้อยู่ด้านนอก แม้แต่กับอวิ๋นเอ๋อร์ ชุ่ยเอ๋อร์นางก็ยังเทียบไม่ได้ ในตำหนักติ้งอ๋องที่นางไม่คุ้นเคยและมีแต่คนไม่คุ้นหน้าเช่นนี้นางจะเล่นลูกไม้อันใดได้”
เยี่ยหลียิ้มแล้ววางหนังสือลง “ชิงซวง เจ้าต้องเรียนรู้จากชิงสยาให้มากๆ เสียแล้ว อย่าได้เอะอะโวยวายไปเสียทุกเรื่องเช่นนี้”
ชิงซวงแลบลิ้นออกมา “เพคะ น้อมรับคำสั่งพระชายาเพคะ”
เมื่อก้าวเข้าประตูโถงดอกไม้สำหรับต้อนรับเหล่าสตรีโดยเฉพาะแล้ว เยี่ยหลีก็ถึงกับอึ้งไป ตรงตำแหน่งประธานมีสตรีวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบปีคนหนึ่งนั่งอยู่ นางอยู่ในชุดผ้าไหมอวิ๋นจิ่นดูหรูหรา บนศีรษะปักเครื่องประดับทองฝังอัญมณี มองดูสูงส่งยิ่งนัก หากไม่รู้ถึงฐานะของนางมาก่อน เยี่ยหลีคงคิดว่าท่านนี้ไม่ใช่พระชายารองแต่เป็นพระชายาเอกของติ้งอ๋องคนก่อนเป็นแน่ ตอนที่นางเข้าไป ไท่เฟยรองกำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ ด้านหลังมีเด็กสาวยืนอยู่สองคน คนหนึ่งกำลังทุบไหล่ให้นาง ส่วนอีกคนกำลังถือพัดคอยพัดเบาๆ ให้นางอยู่ เยี่ยหลีเกือบจะกลั้นหัวเราะไม่ได้ นี่ยังไม่ทันถึงเดือนหก อากาศในเมืองหลวงของต้าฉู่ยังไม่ถือว่าร้อน นางไม่กลัวว่าพัดไปจะทำให้นางหนาวหรือ
“พระชายา” เมื่อทุกคนเห็นเยี่ยหลีเดินเข้ามา จึงรีบยืดตัวขึ้นคารวะ
“ออกไปเถิด ข้าให้ไท่เฟยรองรอนานแล้ว” เยี่ยหลีโบกมือให้คนอื่นถอยออกไป ก่อนขมวดคิ้วเดินไปนั่งที่ด้านหนึ่ง
ไท่เฟยรองหยางจึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มองสำรวจเยี่ยหลีด้วยสายตาจับผิด เยี่ยหลีอมยิ้มน้อยๆ ปล่อยให้นางสำรวจตนตามสบาย ก่อนเลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวในชุดสีขาวที่นั่งอยู่ด้านข้าง หญิงสาวผู้นั้นดูบอบบางมาก เมื่อสบตากับเยี่ยหลีแล้วก็รีบหลบสายตาด้วยท่าทีตื่นตระหนกทันที
“ที่ไท่เฟยรองมานี่ มีเรื่องอันใดหรือ” เยี่ยหลีเลื่อนสายตากลับไปมองที่ไท่เฟยรองหยาง
ไท่เฟยรองหยางหรี่สายตาลงด้วยความไม่พอใจ ใบหน้าที่ล่วงเลยวัยสะพรั่งมาแล้วขรึมลงอย่างเห็นได้ชัด นางส่งเสียงเหอะเบาๆ “ฐานะของพระชายานี่คงสูงเกินไปสินะ เข้าเรือนมาแล้วก็ไม่รู้จักไปคารวะผู้อาวุโส ข้าจึงต้องมาคารวะพระชายาด้วยตนเอง”
เยี่ยหลีเข้าใจในทันที ที่แท้ก็มาหาเรื่องนี่เอง นางย่นคิ้วเล็กน้อยด้วยความรำคาญใจ ก่อนยิ้มน้อยๆ ให้ไท่เฟยรอง “เช่นนั้นเป็นข้าเองที่เสียมารยาท เพียงแต่เมื่อวานข้าได้สอบถามท่านอ๋องแล้ว ท่านอ๋องบอกข้าแต่เพียงว่า หลังจากข้ากลับบ้านเดิมก็ให้ไปคารวะพี่สะใภ้ใหญ่ แต่ไม่ได้เอ่ยถึงว่าในตำหนักอ๋องนี้มีใครที่ข้าควรต้องไปคารวะอีก”
ไท่เฟยรองหยางหน้าเสียลงทันที ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าจะคืนสีหน้าให้เป็นปกติได้ นางหันมองเยี่ยหลีแล้วกล่าวว่า “หลายปีนี้ท่านอ๋องสภาพจิตใจไม่ดีนัก คงมีเรื่องที่หลงลืมไปบ้างเป็นธรรมดา แต่เจ้ามีฐานะเป็นชายา ไม่รู้จักเอ่ยเตือนก็เรื่องหนึ่ง แต่ยังกล้าเสียมารยาทเช่นนี้อีก!”
เตือนหรือ ม่อซิวเหยายังไม่เคยแม้แต่จะเอ่ยถึง เห็นชัดอยู่ว่าเขาไม่ได้เคารพเจ้า ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่เอ่ยเตือนเขาหรอก
เยี่ยหลีจดจำฐานะของสมาชิกแต่ละคนในตำหนักติ้งอ๋องได้ตั้งแต่ก่อนที่จะแต่งงานเข้ามาแล้ว อย่างเช่น ชายารองหยางคนนี้ จะว่าไปฐานะของนางก็มีความพิเศษอยู่ไม่น้อย นางไม่ได้เป็นเพียงชายารองคนเดียวของอดีตติ้งอ๋อง ม่อหลิวฟางเท่านั้น แต่นางยังเป็นท่านน้าแท้ๆ ของม่อซิวเหยาและม่อซิวเหวิน น้องสาวแท้ๆ ของพระชายาติ้งอ๋องคนก่อน แต่ด้วยฐานะเช่นนี้ กลับไม่ทำให้นางได้รับความเคารพจากตำหนักติ้งอ๋องมากขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ม่อหลิวฟางยังมีชีวิตอยู่หรือติ้งอ๋องรุ่นต่อมาอย่างม่อซิวเหวิน รวมถึงติ้งอ๋องคนปัจจุบันอย่างม่อซิวเหยา ทุกคนต่างทำเหมือนนางเป็นอากาศธาตุอย่างไรอย่างนั้น ปีนี้ไท่เฟยรองหยางอายุยังไม่ห้าสิบปี ใกล้เคียงกับองค์หญิงเจาหยาง แต่สตรีหม้ายที่ครองตนอยู่เป็นโสดทั้งสองคนนี้ หากเปรียบเทียบจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว อาจจะคิดว่าพวกนางอายุต่างกันสักสิบปีได้
ทว่าเยี่ยหลีไม่ได้เห็นใจนางด้วยเหตุผลเช่นนี้ กล่าวได้เพียงว่า ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่นางหาเรื่องใส่ตัวเอง ไท่เฟยรองหยางคนนี้ แต่งงานเข้าตำหนักติ้งอ๋องมาเมื่อตอนที่พระชายาติ้งอ๋องคนก่อนให้กำเนิดม่อซิวเหวิน หลังจากคลอดม่อซิวเหวินแล้วร่างกายนางก็อ่อนแอลงมาก ความรักที่เคยมีต่อติ้งอ๋องก็ค่อยๆ จืดจางลง เจ็ดปีให้หลังก็เสียชีวิตหลังจากให้กำเนิดม่อซิวเหยาได้ไม่นาน และเมื่อได้เห็นม่อซิวเหยาปฏิบัติต่อไท่เฟยรองหยางเหมือนเป็นอากาศธาตุ และท่าทีของม่อซิวเหวินที่ปกติขึ้นชื่อเรื่องเป็นบัณฑิตผู้สุภาพเรียบร้อย แต่กลับปฏิบัติต่อนางด้วยท่าทีรังเกียจเช่นนั้นแล้ว เยี่ยหลีจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะคิดได้ว่า สมัยนั้นไท่เฟยรองหยางคงใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมเพื่อให้ตนได้แต่งงานเข้ามาในตำหนักติ้งอ๋อง และคงเป็นเหตุผลที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างม่อหลิวฟางกับพระชายาย่ำแย่ลงเป็นแน่ ต่อให้ไม่พูดถึงเรื่องนี้ หากม่อซิวเหยาต้องการที่จะแต่งภรรยารองเข้ามา อย่างไรนางก็จะไม่รับเยี่ยซานหรือเยี่ยหลินเข้ามาอย่างแน่นอน หากว่าการต้องใช้สามีร่วมกับคนอื่นเป็นเรื่องที่นางยากจะรับได้แล้ว การที่ต้องใช้สามีร่วมกับพี่น้องของตนเองคงถือเป็นการท้าทายความอดทนของนางน่าดู