ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 66-3
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 66-3 ความทะเยอทะยานและอำนาจ
เมื่อกลับเข้าเรื่องแล้ว ท่าทางของเฟิ่งจือเหยาดูจริงจังและดูสบายตาขึ้นมาก เขาพูดกับม่อซิวเหยาด้วยท่าทีรู้สึกผิดว่า “อาเหยา ขอโทษด้วยจริงๆ ดูเหมือนหลายปีนี้ข้าจะมองข้ามอันใดไปไม่น้อย” ม่อซิวเหยาเหลือบตาขึ้นมองเขา “ทำไมหรือ มีข่าวเรื่องที่ตำหนักหลีอ๋องแล้วหรือ” เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “องค์หญิงหลิงอวิ๋นเล่นงานหลีอ๋องด้วยคิดว่าตนฉลาด เพียงแต่เกรงว่านางจะไม่รู้ตัวว่าเป็นตัวนางเองที่ถูกคนเขาเล่นงานแทน”
“เรื่องเป็นอย่างไร”
“ได้ยินว่าตำหนักหลีอ๋องสืบจนได้ความแล้วว่า เครื่องหอมในห้ององค์หญิงซีสยาเป็นองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่สั่งให้คนนำไปไว้ และเป็นคนขององค์หญิงหลิงอวิ๋นที่ปล่อยให้องค์หญิงซีสยาเข้าไปข้างใน เพียงแต่…สาวใช้ที่พระชายาพูดถึง ที่บอกว่าเป็นคนแรกที่บุกเข้าไปในห้ององค์หญิงซีสยานั้น ก็ไม่ใช่คนขององค์หญิงซีสยา แต่ไม่ใช่คนขององค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่เป็น…สาวใช้ที่เสียนเจาไท่เฟยพาออกมาจากในวัง” เฟิ่งจือเหยาพูดด้วยสีหน้าหนักใจ เยี่ยหลีขมวดคิ้วถามว่า “สาวใช้คนนั้น…” เฟิ่งจือเหยาตอบว่า “สาวใช้คนนั้นถูกสังหารอย่างลับๆ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนั้นแล้ว ข้าให้คนคอยจับตาดูตำหนักหลีอ๋องและตำหนักองค์หญิงอยู่ตลอดทั้งวัน ตอนที่องค์หญิงซีสยามีคนมารับตัวกลับไปนั้น ไม่มีสาวใช้ข้างกายนางอยู่ด้วย จนเมื่อกลางดึกคืนนั้นจึงได้มีคนนำศพสาวใช้คนหนึ่งออกไปทิ้งไว้ยังสุสานนิรนามที่นอกเมือง แต่สาวใช้คนนั้นถูกทำให้เสียโฉมก่อนตาย บนตัวก็ไม่มีของอันใดที่สามารถยืนยันตัวตนได้
“เช่นนั้นท่านรู้ได้อย่างไรว่าเป็นคนของเสียนเจาไท่เฟย” เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
เฟิ่งจือเหยาหัวเราะอย่างได้ใจ “ตอนชันสูตรพบน้ำมันใส่ผม คราบน้ำมันใส่ผมกลิ่นดอกม่อลี่อยู่ที่ซอกเล็บกับบนเส้นผมของนาง น้ำมันใส่ผมชนิดนี้ว่ากันว่าเป็นน้ำมันใส่ผมชนิดพิเศษที่ร้านเครื่องหอมแห่งแรกของเมืองหลวงทำขึ้นเป็นพิเศษ ซ้ำยังมีราคาแพงมาก เพียงกล่องเล็กๆ ก็สิบกว่าตำลึงแล้ว และในเมืองหลวงสามเดือนมานี้น้ำมันใส่ผมกลิ่นนี้ขายไปได้เพียงห้ากล่อง สองในห้ากล่องนั้นเป็นเสียนเจาไท่เฟยที่ให้คนไปซื้อ ดังนั้นข้าจึงเดาว่าสาวใช้คนนั้นคงจะเป็นสาวใช้ที่คอยหวีผมให้เสียนเจาไท่เฟย อีกอย่าง เมื่อเช้าวานนี้ เสียนเจาไท่เฟยเปลี่ยนทรงผมใหม่ ตามที่คนที่ชำนาญเรื่องแต่งองค์ทรงเครื่องที่ข้าส่งไปช่วยดูนั้น บอกว่าทรงผมใหม่ของเสียนเจาไท่เฟยนี้ไม่ได้เป็นฝีมือคนคนเดียวกันแน่นอน”
เยี่ยหลีพยักหน้าให้อย่างเลื่อมใส “ดังนั้น เรื่องก็คือว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นไม่ยินดีที่จะแต่งงานกับม่อจิ่งหลี จึงได้คิดหาวิธีทางช่วยให้องค์หญิงซีสยาเข้าไปยังตำหนักหลีอ๋อง เพื่อให้ตนสามารถล้มเลิกการแต่งงานได้อย่างเต็มปากอย่างนั้นหรือ ซึ่งพอดีกับที่เสียนเจาไท่เฟยไม่ยินดีที่จะรับองค์หญิงหลิงอวิ๋นมาเป็นลูกสะใภ้ จึงคิดวางแผนให้องค์หญิงซีสยาสามารถเข้ามาแทนที่ได้ แต่ว่า…เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร”
“ตรงไหนที่ไม่สมเหตุสมผลกัน” เฟิ่งจือเหยาไม่เข้าใจ
เยี่ยหลีตอบว่า “นอกเสียจากว่าเหลยเถิงเฟิงเองก็มีส่วนในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นแล้วหาก ณ ตอนนั้น เหลยเถิงเฟิงไม่พาองค์หญิงหลิงอวิ๋นออกไปด้วยท่าทีแข็งขืนเช่นนั้น ต่อให้องค์หญิงหลิงอวิ๋นอาละวาดอย่างไร สุดท้ายก็ต้องยอมแต่งงานอย่างเชื่อฟังอยู่ดีมิใช่หรือ หากเป็นเช่นนั้น แผนของนางไม่เพียงไม่สำเร็จ แต่ยังเป็นการเพิ่มศัตรูของตนในตำหนักหลีอ๋องอีกด้วย หรือว่า นางเพียงต้องการจับว่าหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยาทำเรื่องบัดสีกันเพื่อมาข่มขู่พวกเขา แต่หากหลีอ๋องกับองค์หญิงซีสยายินยอมที่จะเดิมพันกับความเป็นและความตายด้วยการกราบทูลแผนการของนางกับฮ่องเต้ เพราะต่อให้นางเป็นถึงองค์หญิงหลิงอวิ๋น แต่ก็คงยากที่จะรอดพ้นจากเรื่องนี้ได้กระมัง”
“อาหลีคิดว่าเหตุใดเหลยเถิงเฟิงจึงต้องรีบร้อนไปเช่นนั้นหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามขึ้นเบาๆ
เยี่ยหลีนิ่งคิดเล็กน้อย “เหลยเถิงเฟิงรู้ว่าองค์หญิงหลิงอวิ๋นกำลังถูกคนเล่นงานหรือ”
เฟิ่งจือเหยาพยักหน้า “หากองค์หญิงหลิงอวิ๋นยังอยู่ที่เมืองหลวง และเรื่องนี้สืบจนรู้ความแล้ว ต่อให้ฮ่องเต้ไม่อยากจัดการนางก็คงจะไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าตัวไม่อยู่แล้ว หากฮ่องเต้ไม่คิดอยากทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสองแคว้น ก็คงต้องทำเหมือนไม่เคยมีอันใดเกิดขึ้น เพราะคงไม่อาจส่งทหารออกไปตีแคว้นซีหลิงด้วยเรื่องเพียงเท่านี้กระมัง เพียงแต่ เมื่อเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น การมาต้าฉู่ของเหลยเถิงเฟิงในครั้งนี้ก็คงเสียเปล่าแล้ว” แผนการแต่งงานเพื่อสานสัมพันธ์ถูกวางเอาไว้เสียดิบดี แต่มาถูกองค์หญิงหลิงอวิ๋นที่แสนโง่เขลาทำพังเสียได้ เหลยเถิงเฟิงคงโกรธจนแทบกระอักเลือดเลยทีเดียว
เยี่ยหลีทอดถอนใจ หันหน้าไปถามม่อซิวเหยาว่า “ข้าควรยินดีหรือไม่ที่ข้าไม่มีค่าพอให้พวกเขาเปลืองแรงคิดหาทางเล่นงานข้า”
ม่อซิวเหยาหัวเราะน้อยๆ “ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ ที่ผ่านมาหลายปีนี้…จิ่งหลีทำให้ข้าต้องหันมามองเขาใหม่เสียแล้ว”
เฟิ่งจือเหยาเบ้ปาก “ข้าว่าไม่จำเป็นหรอก คนที่เก่งกาจจริงๆ คนคนข้างกายเขาคนนั้นเสียมากกว่ากระมัง หากเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนั้นจริงจะทิ้ง…แล้วไปแต่งงานกับเยี่ยอิ๋งหรือ”
ม่อซิวเหยาหัวเราะ “ชายาหลีอ๋องเป็นเช่นไร นางเป็นถึงลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมกรมครัวเรือน และเป็นน้องสาวแท้ๆ ของเยี่ยเจาอี๋เชียวนะ”
เฟิ่งจือเหยาพูดอย่างดูหมิ่นว่า “พี่สะใภ้ก็เป็นลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมกรมครัวเรือน ทั้งยังเป็นหลานสาวของท่านชิงอวิ๋นเหมือนกัน”
“เฟิ่งซาน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้วางใจให้ข้าแต่งงานกับอาหลี” ม่อซิวเหยาเอ่ยถาม
เฟิ่งจือเหยาเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยาจึงตอบให้ว่า “คนตระกูลสวีไม่มีทางอาศัยใครเป็นที่พึ่งพิง และจะไม่ช่วยเหลือใครในการแย่งชิงบัลลังค์ ในเรื่องนี้ฝ่าบาทรู้ดี ข้าก็รู้ดี ซึ่งม่อจิ่งหลีเองก็คงรู้ดีเช่นกัน เขาไม่มีทางได้การสนับสนุนใดๆ จากตระกูลสวี ในทางกลับกัน หากเขามีแผนที่จะใช้ทหารออกสร้างความวุ่นวาย หรือคิดการกบฎจนทำให้ราษฎรเดือดร้อน ตระกูลสวีอาจถึงขั้นขัดแข้งขัดขาเขาได้เลยทีเดียว” ในตอนนั้นบรรพบุรุษตระกูลสวีได้สังหารผู้นำของตนเองกับมึอ ทั้งยังช่วยเหลือฮ่องเต้ในการปกครองต้าฉู่มาหลายยุคหลายสมัย เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องที่คนเล่าขานกัน เพียงแต่ม่อจิ่งหลีคงเข้าใจไปว่าตระกูลสวีจงรักภักดีต่อองค์ฝ่าบาทกระมัง เพราะอันที่จริงความลับที่แท้จริงนั้นได้รับการถ่ายทอดต่อๆ กันเพียงแค่ระหว่างองค์ฮ่องเต้ ติ้งอ๋องและประมุขตระกูลสวีเท่านั้น
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น หากตัดเรื่องตระกูลสวีทิ้งไป พวกนางต่างเป็นลูกสาวสายหลักของเจ้ากรมเยี่ยด้วยกันทั้งคู่ อย่างน้อยๆ คุณหนูสามก็เป็นผู้ที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสให้ น่าจะเป็นหน้าเป็นตาได้มากกว่ามิใช่หรือ” เฟิ่งจือเหยาพูด
เยี่ยหลียกมุมปากขึ้นยิ้ม “เรื่องนี้ข้าว่าข้าเดาถูก”
ทั้งสองหันไปมองเยี่ยหลีพร้อมๆ กัน เยี่ยหลีพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ท่านพ่อข้า…น่าจะเป็นคนของไทเฮา ท่านน่าจะรู้ถึงความคิดของหลีอ๋องและไทเฮา แต่หากแต่งงานกับข้า ท่านคงคิดว่าอีกหน่อยตระกูลที่หลีอ๋องจะให้ความสำคัญจะไม่ใช่ตระกูลเยี่ย แต่เป็นตระกูลสวีที่คอยสนับสนุนข้า แต่บ้านทางฝั่งมารดาของน้องสี่เป็นตระกูลเล็กๆ หากน้องสี่ได้เป็นชายาหลีอ๋องหรือ…ในอนาคตจะไม่มีอันใดเหมือนเดิม ตระกูลเยี่ยจะขึ้นเป็นใหญ่ได้ภายในก้าวเดียว ตอนนี้ในวังหลวงมีไทเฮาเป็นประมุขฝ่ายหญิง สนมทรงโปรดคือหลิ่วกุ้ยเฟย ทั้งยังมีพระโอรสอยู่อีกหลายพระองค์ หากท่านพ่อเป็นคนของไทเฮาจริง ท่านไม่มีทางไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพี่รองไม่เป็นพี่โปรดปรานเท่าไรนัก ดังนั้นหากมองจากมุมฝ่าบาทแล้ว…โอกาสที่ลูกของพี่รองจะ…มีไม่มากนัก อีกอย่างเด็กคนนั้นจะได้คลอดออกมาอย่างปลอดภัยหรือไม่นั้นก็ยังไม่แน่”
หลายวันนี้เมื่อลองนึกย้อนกลับไป เยี่ยหลีนึกนับถือท่านพ่อของตนเองไม่น้อย ใครๆ ต่างก็คิดว่าที่เขาให้เยี่ยอิ๋งแต่งงานกับหลีอ๋องก็เพื่อที่จะช่วยสนับสนุนเยี่ยเจาอี๋ที่อยู่ในวัง แต่กลับไม่รู้ว่าอันที่จริงแล้วเยี่ยเจาอี๋ต่างหากที่ถูกใช้เป็นหมาก ช่างเป็นแผนสร้างทางบนพื้นแต่ขุดอุโมงค์ไว้ใต้ดินที่ดีจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่หมากของเยี่ยอิ๋งนั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี หากมีเยี่ยเย่ว์สองคน ไม่แน่ว่าแผนการณ์ของเจ้ากรมเยี่ยอาจจะสำเร็จขึ้นมาจริงๆ ได้ อันที่จริงไม่ใช่เพราะคนโบราณพวกนี้ไม่ฉลาด พวกเขาเพียงชอบดูถูกคนอื่นว่าโง่กว่าตนเองเท่านั้น ดูจากเยี่ยฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นคนหลักแหลมและเจ้ากรมเยี่ยที่เป็นคนละเอียดรอบคอบและสามารถเป็นใหญ่ขึ้นในทางราชการได้แล้ว เหตุใดนางจึงได้เข้าใจไปว่าทั้งสองคนได้ใจจนตัวลอยเพียงเพราะเยี่ยเจาอี๋ตั้งครรภ์
“ช่างเป็นการคาดเดาที่น่าตกใจจริงๆ” เฟิ่งจือเหยามองหน้าเยี่ยหลีแล้วพูดขึ้น “เหตุใดพระชายาถึงได้คิดว่าเจ้ากรมเยี่ยเป็นคนของไทเฮาหรือ” เรื่องนี้เกรงว่าแม้แต่คนที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มังกรก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน เพียงแต่ ชายาติ้งอ๋องไม่ได้คาดเดาผิดเสียด้วย
เยี่ยหลีเอ่ยเรียบๆ ว่า “เพราะท่านพ่อมักแสดงทีท่าไม่พอใจในตัวหลีอ๋องอยู่เป็นครั้งคราว แต่เอาเข้าจริงท่านก็ไม่เคยทำเรื่องอันใดที่จะส่งผลกระทบต่อหลีอ๋องเลยสักที ในเมื่อให้ลูกสาวที่ตนให้ความสำคัญที่สุดแต่งงานไปกับหลีอ๋องแล้ว เหตุใดยังต้องมักแสดงท่าทีไม่พอใจเขาเช่นนั้น ดูประหนึ่งกำลังแสดงให้ใครดูเสียมากกว่า การพระราชทานงานสมรสกับองค์หญิงหลิงอวิ๋นครั้งก่อน ได้ยินว่าทั้งไทเฮาและหลีอ๋องต่างไม่พอใจ ท่าทีท่านพ่อก็ดูแข็งขืน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีความเป็นห่วงในอนาคตของน้องสี่รวมอยู่ด้วย แต่ในครั้งนี้ ด้วยความหลักแหลมของท่านพ่อ ไม่มีทางดูไม่ออกว่าอย่างไรคราวนี้องค์หญิงซีสยาจะต้องได้แต่เข้าตำหนักหลีอ๋องอย่างแน่นอน และต่อให้เปลี่ยนฐานะ แต่ต่อไปตำแหน่งองค์หญิงซีสยาในตำหนักหลีอ๋องก็ไม่มีทางเป็นตำแหน่งเล็กๆ แต่ครั้งนี้ท่านพอดูเหมือนจะไม่ได้พูดอันใดเลย แม้แต่ตอนที่น้องสี่กลับบ้านไปในวันนั้น ยังถูกท่านพ่อไล่กลับมาอีกด้วย น้องสี่บอกข้าว่า ท่านพ่อเตรียมที่จะส่งน้องห้าเข้าตำหนักหลีอ๋องไปเป็นอนุในหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ บอกว่าเพื่อช่วยรักษาความโปรดปรานของท่านอ๋องในตัวน้องสี่ไว้ เผื่ออีกหน่อยจะถูกองค์หญิงซีสยาแย่งไป”
ม่อซิวเหยามองเยี่ยหลีแล้วหัวเราะน้อยๆ “อาหลีพูดได้ไม่เลวทีเดียว ที่เจ้ากรมเยี่ย…สามารถขึ้นเป็นเจ้ากรมได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้ ย่อมเกี่ยวข้องกับไทเฮาอยู่หลายส่วน เพียงแต่ ข้าเห็นว่าน่าจะเป็นการตีสองหน้าเสียมากกว่า”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ “ท่านกำลังจะบอกว่า ท่านพ่อจะรอดูก่อนว่าฝ่ายไหนมีโอกาสชนะมากกว่ากัน แล้วจึงค่อยเข้ากับฝ่ายนั้นหรือ”
“ตอนนี้โรคหวาดระแวงอย่างหนักไม่ใช่คนธรรมดาจะสามารถเข้าใจได้ หากใต้เท้าเยี่ยไม่ได้มีความจงรักภักดีประมาณหนึ่งแล้ว เขาไม่มีทางไว้ใจเขาอย่างแน่นอน”
ถึงแม้ตอนเองจะเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ไปไม่น้อยแล้ว แต่เยี่ยหลีก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี คนนั้นของตนที่ดูว่าไหลลื่นนั้น แท้จริงแล้วก็เป็นคนไหลลื่นจริงๆ เสียด้วย ท่านพ่อที่กับเรื่องในบ้านดูไม่เป็นโล้เป็นพายคนนี้ ถึงขั้นเล่นบทตีสองหน้าได้เลยเชียวหรือ
“แต่ว่า ไทเฮากับฝ่าบาทนี่มันเรื่องอันใดกันหรือ” เยี่ยหลีเอ่ยถาม
เฟิ่งจือเหยาถึงกับหัวเราะ “จะเรื่องอันใดได้ องค์ไทเฮาของพวกเราที่ใครๆ ต่างเรียกกันว่าเป็นยอดหญิงแห่งยุค หรือนักปราชญ์หญิงนี้ เดิมทีพระนางเป็นคนยกฮ่องเต้ขึ้นนั่งบัลลังค์ตั้งแต่อายุยังน้อย ส่วนตัวพระนางก็กุมอำนาจการปกครองไว้ทั้งหมด แต่ทว่า ฝ่าบาทของพวกเรานั้นก็ไม่ได้ถือศีลกินเจอันใด ชั่วระยะเวลาเพียงสามปี เขาก็รวบอำนาจกลับคืนมาอยู่ในมือตนเองได้หมด ทั้งยังได้เชิญให้ไทเฮากลับไปพักยังวังหลังเพื่อพักผ่อนร่างกาย ว่าด้วยเรื่องอำนาจพวกนี้…หากไม่เคยได้ลิ้มลองก็ว่าไปอย่าง แต่เมื่อได้ลิ้มลองแล้วก็ยากที่จะยอมปล่อยไปได้ ฝ่าบาทกับไทเฮารู้หน้าไม่รู้ใจกันมานานแล้ว นี่เป็นเรื่องที่ผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงต่างรู้กันดีแก่ใจแต่ไม่มีใครพูดออกมา ถึงแม้ตำแหน่งฮ่องเต้จะเปลี่ยนไม่ได้ แต่คนที่จะเป็นฮ่องเต้นั้นเปลี่ยนได้”
“ดังนั้น คนที่มีความทะเยอทะยานที่แท้จริงไม่ใช่ม่อจิ่งหลีแต่เป็นไทเฮาน่ะสิ”
“ม่อจิ่งหลีย่อมมีความทะเยอทะยานแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่มีโอกาสเท่านั้น ตอนนี้เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เหตุใดเขาจะไม่ให้ความร่วมมือ ตำหนักหลีอ๋องเป็นตำหนักของเขา หากเขาไม่เห็นด้วยต่อให้เสียนเจาไท่เฟยคิดจะทำอันใดก็คงไม่ง่ายเช่นนั้น”
เยี่ยหลีพูดไม่ออก หรือว่าไทเฮาไม่สนใจว่าพี่น้องจะผิดใจกันหรือ ที่แท้พระนางก็เฝ้ารอให้บุตรชายของพระนางสองคนฆ่าฟันกันให้ตายไปข้างหนึ่งอย่างนั้นหรือ
“อำนาจ…สำคัญเช่นนั้นเลยจริงๆ หรือ”
เฟิ่งจือเหยาอึ้งไป ตอบด้วยสีหน้ามืดครึ้มว่า “สำหรับบางคนแล้วคงสำคัญมากทีเดียว” สีหน้าเขามืดครึ้มอยู่เพียงแวบเดียว ก่อนที่เฟิ่งจือเหยาจะเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหันไปกะพริบตาให้ม่อซิวเหยา “เป็นอย่างไรบ้างท่านอ๋อง สองท่านในวังนั้นในที่สุดก็เริ่มทิ้งไพ่กันแล้ว พวกเราจะต้องทิ้งไพ่ตามหรือไม่ หรือจะ…กินรวบเลยดี”
“กินรวบหรือ” ม่อซิวเหยาปรายตามองเขา “จากนั้นให้เจ้ามาคอยเก็บกวานหรือ แม่น้ำเลือดที่เกิดจากการเข่นฆ่าทั้งในวังและนอกวังเจ้าจะรับผิดชอบ หรือหากเกิดการจราจลขึ้นเจ้าจะเป็นคนทำให้มันสงบหรือ หากเป่ยหรงมารุกรานเจ้าจะออกไปขวางไว้หรือ หากแคว้นซีหลิงต้องการแหย่เท้าเข้ามาสอดด้วย เจ้าจะไปรักษาชายแดนไว้ให้หรือ”
เอ่อ…เฟิ่งจือเหยาลูบจมูกด้วยความประดักประเดิด ที่แท้ การฆ่าคนสามสี่คนตายนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ผลที่ตามมาจากการฆ่าคนสามสี่คนนั้นช่างยุ่งยากดีแท้