ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 67-2
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 67-2 ล่องทะเลสาบในฤดูร้อน
“อาหลี เจ้าถอนใจอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาถาม
เยี่ยหลีอดไม่ได้ที่จะถอนใจออกมาอีกครั้ง “ใครที่หลงรักท่านคงเพราะชาติที่แล้วได้ทำบาปทำกรรมเอาไว้เป็นแน่ หรือไม่ก็ชาติที่แล้วติดหนี้ท่านไว้แล้วไม่คืน” แววตาม่อซิวเหยาวูบไหวเล็กน้อย จ้องมองแผ่นหลังเยี่ยหลีแล้วเอ่ยถามขึ้น “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้” เยี่ยหลีตอบว่า “ยังต้องถามอีกหรือ แค่ดูจากหยางเชียนหรูก็รู้แล้ว” หลงรักคนที่เขาไม่รัก หรือจะเรียกว่าคนที่ไร้ซึ่งความรัก หากไม่ใช่เป็นการติดหนี้จากชาติที่แล้ว แล้วจะเรียกว่าอันใด เกิดมาก็ก็มีชีวิตอันแสนเศร้าเลยอย่างนั้นหรือ
“เช่นนั้น…อาหลีจะหลงรักคนประเภทใดหรือ” ม่อซิวเหยาถาม
ระหว่างที่เยี่ยหลีปักผ้าไปนั้น ปากก็ตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวว่า “รักหรือ ไม่รู้สิ อาจจะไม่รักใครเลยก็เป็นได้ เพราะต่อให้เป็นรักที่ดูดดื่มหวานชื่นเพียงใด นานวันเข้าก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพัน ถ้าเช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ใช้ชีวิตให้ดีตั้งแต่แรกเล่า” ใครเลยจะสามารถรักกันได้อย่างดูดดื่มไปตลอดชีวิต เวลาผ่านไปนานเข้าก็เหลือเพียงอยู่กันไปวันๆ เท่านั้น
“นั่นเพราะอาหลียังไม่เคยรักใครหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยถามเสียงเบา
เข็มในมือเยี่ยหลีสะดุดลงเล็กน้อย ก่อนขยับขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว “อาจเป็นได้” แน่นอนว่านางย่อมเคยคบหาดูใจมาก่อน แต่หากพูดถึงความรักฝังลึกในใจอย่างแท้จริงนั้น ยังไม่เคยมีมาก่อน
“หากอาหลีรักใครสักคนจะร่วมเป็นร่วมตายกับเขาหรือไม่”
เยี่ยหลีหันมองชายหนุ่มที่นานๆ ครั้งจะนั่งเอนหลังบนเก้าอี้รถเข็นด้วยท่าทีสบายๆ ด้วยความแปลกใจ ก่อนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องคงไม่ได้จะบอกว่า หากท่านรักใครสักคน ท่านจะร่วมเป็นร่วมตายไปกับนางหรอกกระมัง”
“อาจเป็นได้นะ”
“ตัวข้าคงไม่ หากข้าต้องตายแล้วจะต้องลากให้อีกคนลงไปร่วมฝังด้วยหรือ” เยี่ยหลีนึกไตร่ตรองตามความเป็นจริง “ต่อให้เป็นความชอบทั่วไปก็คงไม่ทำเช่นนั้น นั่นเป็นคนรักหรือเป็นคู่แค้นกันแน่”
ภายใต้แสงอาทิตย์ ม่อซิวเหยาดูเหมือนกำลังตั้งใจนึกใคร่ครวญอยู่ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้เอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า “เจ้าพูดถูก หากข้าตายไป ข้าก็ยังหวังให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป” พูดจบก็ไม่สนใจเยี่ยหลีอีก หยิบหนังสือที่ยังอ่านไม่จบขึ้นมาอ่านต่อไป เยี่ยหลีไม่คิดมาก่อนเลยว่า ม่อซิวเหยาที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นคนนิ่งๆ และสุภาพจนบางครั้งถึงขั้นไร้ความรู้สึก จะอ่อนโยนได้ถึงเพียงนี้ เยี่ยหลียักไหล่ด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะปักผ้าของตนต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่ ไม่รู้เหตุใดคำพูดของม่อซิวเหยาจึงได้ผุดขึ้นในหัวนางอีกครั้ง ‘หากข้าตายไป ข้าก็ยังหวังให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป’
นางหรือ! เยี่ยหลีนึกสะดุ้งจนเข็มที่ปักดอกไม้ในมือเกือบทิ่มเข้าที่ปลายนิ้ว ม่อซิวเหยามีคนที่เขาชอบแล้วหรือ
เยี่ยหลีอารมณ์ไม่ดีนัก ไม่ดีเอาเสียเลย แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดนางจึงอารมณ์ไม่ดี สรุปก็คือนางนึกหงุดหงิดอย่างไม่มีเหตุผล ตลอดอายุสิบกว่าปีของนางนี้ไม่ค่อยมีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น ต่อให้เป็นตอนที่เลิกกับแฟนคนแรกหรือตอนก่อนออกสนามรบจริงเป็นครั้งแรก นางก็ยังไม่เคยรู้สึกที่ย่ำแย่เช่นนี้ ดังนั้นนางจึงออกไปรีดเหงื่อที่สนามฝึก แต่เมื่อไม่ดีขึ้น เยี่ยหลีจึงตัดสินใจจะออกไปเดินเล่นข้างนอก
ก็พอดีได้จดหมายเชิญจากฮว่าเทียนเซียงที่ส่งมาเชิญให้นางไปชมดอกบัวแรกแห่งฤดูร้อนด้วยกัน ดังนั้นเยี่ยหลีจึงตัดสินใจตอบรับอย่างไม่ลังเล
เมืองหลวงของต้าฉู่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ดังนั้นสถานที่ที่มีดอกบัวให้ชมจึงมีไม่มากนัก ดังนั้นจึงเป็นอันรู้กันว่าในช่วงเดือนหกเดือนเจ็ดของทุกปีนั้น จะมีผู้คนแห่แหนกันมายังสถานที่ชมดอกบัวนี้ ดอกบัวแรกฤดูร้อนยังไม่ทันบานดี ก็มีคุณหนูและคุณชายแห่งเมืองหลวงให้พากันมาชมดอกบัวบ้างเป็นคู่บ้างเป็นหมู่คณะเสียแล้ว เมื่อม่อซิวเหยารู้ว่าเยี่ยหลีจะออกไปชมดอกบัว ทั้งยังไม่ได้ตั้งใจจะชวนตนออกไปด้วย แต่เขาก็ไม่ได้พูดอันใด เพียงบอกเยี่ยหลีว่า ตำหนักติ้งอ๋องมีเรือลำใหญ่เป็นของตัวเอง เยี่ยหลีสามารถเชิญเพื่อนขึ้นเรือได้ สองวันนี้เยี่ยหลีไม่นึกอยากมองหน้าม่อซิวเหยานัก จึงพลอยทำให้ลืมถามเขาไปด้วยว่าอยากจะไปด้วยกันหรือไม่ เพียงพาสาวใช้ติดไปด้วยสามสี่คนแล้วออกจากตำหนักไปอย่างสบายใจ อาจิ่นมองท่านอ๋องของตนเงียบๆ ท่านอ๋องอยากไปกับพระชายาด้วยชัดๆ เหตุใดจึงไม่บอกพระชายาไปตรงๆ นะ
บนเรือลำใหญ่ของตำหนักติ้งอ๋อง เยี่ยหลีนั่งสบายๆ อยู่ข้างหน้าต่างอย่างเหม่อลอย ฮว่าเทียนเซียงสำรวจการประดับตกแต่งบนเรือใหญ่ด้วยสายตาชื่นชม ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าอิจฉาว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเรือของตำหนักติ้งอ๋อง การประดับตกแต่งนี้…ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่จะว่าไปนะหลีเอ๋อร์ เรือรำนี้ท่านอ๋องตกแต่งไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะหรือเปล่า ตำหนักติ้งอ๋องไม่ได้ออกไปไหนมาไหนมาหลายปีแล้ว แต่เรือลำนี้ดูไม่เหมือนของเก่าเลยนะ”
เยี่ยหลีหันไปยิ้มให้นางอย่างเกียจคร้าน “เรือบ้านเจ้าก็ดูไม่แย่ไปกว่าเรือรำนี้สักเท่าไร จำเป็นด้วยหรือ”
ฮว่าเทียนเซียงกรอกตาใส่นางอย่างไม่เห็นขัน “เจ้าจะไปรู้อันใด บ้านข้ามีกันตั้งกี่คน เบียดเสียดยัดเยียดเอะอะกันจะตาย เจ้าสิสบายเลย ตัวคนเดียวกับเรือทั้งลำ สงบดีออก ฮ่า…หากติ้งอ๋องอยู่บนเรือรำนี้ด้วยจะดี…ไม่สิไม่สิ เขาไม่อยู่ที่นี่แหละดีแล้ว หากติ้งอ๋องอยู่ที่นี้ข้าคงเกรงใจไม่กล้าอาศัยเรือเจ้านั่งมาเช่นนี้” เยี่ยหลีมองเรือลำใหญ่สารพัดรูปแบบที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ก่อนเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “ในทะเลสาบมีเรือตั้งมากมายเช่นนี้ นี่เขามาชมดอกบัวหรือมาชมเรือกันแน่”
ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะหึหึ “ก็ทั้งชมดอกไม้และชมคนนั่นล่ะ ใครใช้ในหลายวันนี้ดอกบัวเพิ่งบาน ซ้ำอากาศยังดีเช่นนี้อีกด้วยเล่า ก็ย่อมมีคนออกมามากหน่อยเป็นธรรมดา เจ้าไม่รู้หรือว่าทุกๆ ปี มีบัณฑิตหนุ่มกับหญิงงามได้จับคู่กันที่ทะเลสาบหญิงงามกันไม่รู้กี่คู่ต่อกี่คู่แล้ว”
“ทะเลสาบหญิงงามหรือ” เยี่ยหลีเหลือบมองทะเลสาบอันกว้างใหญ่ทีหนึ่ง จากที่เคยเห็นทะเลสาบซีหู ทะเลสาบไท่หู และทะเลสาบเชียนต่าวมาแล้วนั้น ทำให้รู้สึกว่าทะเลสาบหญิงงามเล็กๆ นี้ช่างไม่เกี่ยวกับหญิงงามเอาเสียเลย
ฮว่าเทียนเซียงได้แต่ส่ายศีรษะ “เจ้านี่ช่างไม่เข้าใจลมรักเอาเสียเลยใช่ไหม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดวันนี้เจิงเอ๋อร์จึงไม่มีเที่ยวเล่นกับพวกเรา”
“โปรดชี้แนะด้วย”
“ก็เพราะวันนี้นางไปกับคุณชายรองตระกูลสวีน่ะสิ” ฮว่าเทียนเซียงเช่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนปรายตามองเยี่ยหลี “จะว่าไปที่ข้ากับเจ้ามากันคนเดียววันนี้ก็ประหลาดอยู่ไม่น้อย ข้ายังคิดว่าเจ้าจะมาพร้อมท่านอ๋องเสียอีก ตอนแรกข้ายังคิดจะไปชวนมู่หรงเสียแล้ว” เยี่ยหลีสะบัดสายตาดุๆ ไปให้นาง “แล้วนี่ใครกันที่ชวนข้าออกมา”
“นั่นเพราะข้ากลัวเจ้าไม่รู้ จึงส่งไปเตือนหรอก ใครใช้ให้เจ้าหลบอยู่แต่ในบ้านทั้งวันกันเล่า” ฮว่าเทียนเซียงได้แต่ทำปากขมุบขมิบด้วยความไม่พอใจ พูดจบก็หันไปมองการประดับตกแต่งที่เหมือนใหม่นั้นต่อไป แล้วจึงพูดด้วยความเสียใจว่า “เจ้าต้องจำให้ได้นะ ว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของติ้งอ๋องแล้ว ถึงตอนนั้นเจ้าต้องนัดเขาออกมาชมดอกบัวให้ได้นะ ข้าเดาว่าเรือรำนี้ต้องเป็นเรือที่เขาเตรียมไว้เพื่อชมดอกไม้กับเจ้าแน่ ไม่แน่ว่าตอนนี้ติ้งอ๋องอาจกำลังคิดหาทางฆ่าข้าอย่างไรให้ไร้ร่องรอยก็เป็นได้”
เยี่ยหลีอึ้งไป มองสีหน้าเศร้าใจของฮว่าเทียนเซียงแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“เทียนเซียง อาหลี”
วันนี้อากาศดี ไม่ว่าจะในทะเลสาบหรือริบทะเลสาบต่างมีผู้คนส่งเสียงกันจ๊อกแจ๊กจอแจเต็มไปหมด แต่คนที่จะเอะอะเอ็ดตะโรได้เช่นนี้ นอกจากมู่หรงถิงแล้วก็ไม่มีคนอื่นอีก เยี่ยหลีและฮว่าเทียนเซียงออกมาที่นอกระเบียงเรือก็เห็นเป็นมู่หรงถิงกำลังกระโดดเหยงๆ พร้อมโบกไม้โบกมืออยู่ที่เรือรำใหญ่อีกลำ ข้างกายจะมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายืนอยู่อีกด้วย และดูเหมือนเขาจะกำลังพูดอันใดกับมู่หรงถิงสักอย่าง แต่สีหน้ามู่หรงถิงดูออกจะรำคาญและไม่อยากจะสนใจเขา ฮว่าเทียนเซียงยืนอยู่หลังเยี่ยหลี ก่อนหัวเราะเบาๆ “นั้นคือคุณชายรองตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งเฮ่าอวี่”
“คู่หมั้นของมู่หรงน่ะหรือ” เยี่ยหลีถาม
“ใช่แล้ว ถิงเอ๋อร์ไม่ชอบขี้หน้าเขามาตั้งแต่เล็กๆ แต่เขากลับชอบทำตัวติดกับนาง ตอนหลังพอถิงเอ๋อร์ติดตามท่านพ่อของนางออกไปอยู่ชายแดน พอกลับมาเขาก็ยังชอบมาแหย่นางให้โกรธเสมอ” ฮว่าเทียนเซียงพูดยิ้มๆ ดูนางจะชอบเหลิ่งเฮ่าอวี่อยู่ไม่น้อย บนเรือทางฝั่งนู้น ทั้งสองเริ่มลงไม้ลงมือกันเสียแล้ว เพราะมู่หรงถิงอยากใช้วิชากำลังภายในกระโดดมาหาพวกนางที่ฝั่งนี้ แต่ดูท่าว่าเหลิ่งเฮ่าอวี่จะไม่ยอม ทั้งสองยื้อยุดกันอยู่ที่ระเบียงจนมู่หรงถิงเกิดน้ำโห จึงเริ่มลงไม้ลงมือกับเขา
นอกจากพวกนางแล้ว รอบๆ ยังมีเรือลำใหญ่ของตระกูลอื่นอยู่อีกไม่น้อย เมื่อเห็นฝั่งนี้ดูเสียงดังคึกคักจะขยับใกล้เข้ามา คนที่รู้จัดมู่หรงถิงและเหลิ่งเฮ่าอวี่ดูจะมีอยู่ไม่น้อย ต่างส่งเสียงเรียกกันไม่ได้หยุด
ฮว่าเทียนเซียงหัวเราะ “เจ้าลองเดาดูสิว่าคราวนี้เหลิ่งเฮ่าอวี่จะทนได้นานแค่ไหน”
เยี่ยหลีหันไปมองพวกเขาพักหนึ่ง “มู่หรงไม่มีทางสู้ชนะเหลิ่งเฮ่าอวี่ได้อยู่แล้ว” ถึงแม้เหลิ่งเฮ่าอวี่จะปัดไม้ปัดมือให้วุ่นเป็นพัลวัน แต่เท้าสองข้างของเขายืนได้มั่นคงกว่ามู่หรงถิงมากนัก ใบหน้าหล่อเหลาเจือแววขี้เล่น แต่สายตาที่มองมู่หรงถิงนั้นกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง “เจ้าว่าเขายอมให้มู่หรงถิงหรือ”
เยี่ยหลียิ้ม ท่านแม่ทัพมู่หรงรักบุตรสาวเท่าชีวิต เจ้าคิดว่าเขาจะยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับคุณชายที่ไม่เป็นอันใดเลยงั้นหรือ”
“เรื่องนี้…” ฮว่าเทียนเซียงนิ่งไป นางไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย