ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 77-2
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 77-2 ชายขอบหนานเจียง
จนเมื่อแขกโต๊ะนั้นลุกออกจากร้านไปแล้ว องครักษ์ลับสามจึงได้เงยหน้าขึ้นพูดว่า “คุณชาย ระวังคนพวกนั้นด้วยนะขอรับ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วขึ้นถาม “เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ”
องครักษ์ลับสามพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้าตาม “รู้จักบัณฑิตขี้โรคผู้นั้นขอรับ”
เยี่ยหลีมององครักษ์ลับสามพลางนึกสงสัย เพราะดูเหมือนเขาจะไม่เคยไปจากเมืองหลวงเลย เหตุใดถึงรู้จักชายเช่นบัณฑิตขี้โรคผู้นั้นได้ “ดูท่า ฐานะของบัณฑิตขี้โรคนั้นคงไม่ธรรมดาใช่หรือไม่”
องครักษ์ลับสามพยักหน้า “สมญานามเดิมของเขาคือบัณฑิตขี้โรค มิมีผู้ใดรู้ชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของเขา รวมถึงเทียนอี้เก๋อด้วย”
เยี่ยหลีก้มหน้านึกถึงใบหน้าขี้โรคของบัณฑิตที่ตนได้เห็นเมื่อครู่ ดูแล้วเขาไม่เหมือนยอดฝีมือและดูมิได้มีอันใดพิเศษ องครักษ์ลับสามมองฐานะเขาออกจากตรงใดกัน
องครักษ์ลับสามพูดว่า “เขาคือหัวหน้าหน่วยสามของเยี่ยนอ๋องเก๋อ*แห่งแคว้นซีหลินขอรับ หลายปีก่อนดูเหมือนมือสังหารจากเกือบทุกสำนักล้วนได้รับภารกิจให้มาลอบฆ่าท่านอ๋อง ซึ่งรวมถึงสำนักเยี่ยนอ๋องเก๋อด้วย องครักษ์ลับของพวกเราตายด้วยน้ำมือของเขาไปไม่น้อย เพียงแต่เขาเองก็ถูกท่านอ๋องเล่นงานจนชีพจรหัวใจเสียหาย จากเดิมที่เคยแกล้งป่วยจึงกลายเป็นป่วยไปจริงๆ เมื่อครู่คุณชายได้สังเกตเห็นมือซ้ายของเขาหรือไม่ บัณฑิตขี้โรคชำนาญด้านยาพิษ เล็บมือซ้ายของเขามีสีไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป คนอื่นอาจมองว่าเป็นเพราะเขาป่วยจึงได้เป็นเช่นนั้น แต่อันที่จริงแล้วเขาเป็นเช่นนั้นตั้งแต่ก่อนถูกท่านอ๋องเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ มือข้างนั้นที่เป็นเช่นนั้นด้วยเพราะเขาฝึกใช้พิษมาเป็นเวลานานหลายปี จึงมีพิษสะสมอยู่หลายชนิดมากขอรับ”
เยี่ยหลีก้มหน้าลงนึกย้อนไป จึงนึกได้ว่ามือข้างซ้ายที่บัณฑิตขี้โรคซ่อนไว้ในแขนเสื้อนั้น ตอนที่เขาลุกยืนขึ้นดูเหมือนจะโผล่พ้นแขนเสื้อออกมาให้เห็นเล็กน้อย และดูเหมือนจะเป็นสีแดงเข้มจริงๆ “ใช้มือตนเองไปฝึกเพื่อให้มือกลายเป็นพิษอย่างนั้นหรือ เขาไม่กลัวว่าจะทำให้ตัวเองถูกยาพิษตายหรือไร” เยี่ยหลีไม่เข้าใจ นางรู้สึกว่าการทำเช่นนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย ร่างกายที่พิษไม่สามารถทำอันใดได้นั้น ไม่ว่าคิดจากมุมใดก็ล้วนไม่น่ามีอยู่จริง เท่าที่พอเป็นไปได้ก็เพียงคนที่ร่างกายมีปัจจัยใดก็ตามที่สามารถต้านพิษได้เท่านั้น หากคนที่มีพิษอยู่ทั่วร่างแต่ยังคงสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสงบสุขแล้วล่ะก็ เสิ่นหยางก็คงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและพลังกายมากมายเช่นนั้นในการรักษาม่อซิวเหยาแล้ว
เมื่อกินอาหารเช้ากันเสร็จแล้ว เยี่ยหลีจึงออกไปเดินเล่นรอบเมืองหย่งหลินเสียรอบหนึ่ง และถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ภายในของหนานเจียงและด่านซุ่ยเสวี่ยไปด้วย ตกเย็นกลับมาก็เห็นกลุ่มคนสี่คนเดิมกำลังนั่งกินอาหารเย็นกันอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม เห็นได้ชัดว่าวันนี้พวกเขายังไม่ได้ออกเดินทาง บัณฑิตขี้โรคยังคงพยักหน้าให้พวกเยี่ยหลีทั้งสองด้วยความเป็นมิตรเช่นเดิม เยี่ยหลีอมยิ้มพร้อมพยักหน้าตอบ แล้วเตรียมตัวขึ้นไปด้านบน
“เอ๋ เมืองหย่งหลินมีคุณชายที่ทั้งขาวและอวบเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อใดกัน” เยี่ยหลียังไม่ทันก้าวขึ้นบันไดก็มีน้ำเสียงชั่วร้ายดังลอยมาจากด้านหลัง เยี่ยหลีเอียงตัวไปมองเล็กน้อย ก็เห็นเป็นคนคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนคนหนานเจียง เป็นชายหนุ่มผิวคล้ำรูปร่างผอมแห้งประหนึ่งถ่านกำลังจ้องมองมาที่ตน แววตาที่เต็มไปด้วยความอวดดีมีแววชั่วร้ายเจืออยู่ แม้แต่นัยน์ตาเล็กประหนึ่งลูกหนูก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เยี่ยหลีจึงอดขมวดคิ้วน้อยไม่ได้ ในบรรดาผู้ก่อการร้ายและคนค้ายาเสพติดที่นางเคยพบทั้งในชาตินี้และชาติที่แล้วทั้งหมด นางยังไม่เคยพบใครที่หน้าตาท่าทางทดสอบขีดจำกัดความชื่นชมในความงามของมนุษย์เช่นนี้มาก่อนเลย
องครักษ์ลับสามหันขวับไปอย่างรวดเร็ว มองชายหนุ่มผู้นั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ มีแววสังหารในแววตาตักเตือนที่ส่งออกไป หากเจ้าคนอัปลักษณ์นั่นพูดอะไรออกมาอีกแม้แต่คำเดียว เขาจะทำให้เขากลายเป็นวิญญาณอยู่ปลายกระบี่เขาอย่างแน่นอน พระชายาแห่งตำหนักติ้งอ๋องใช่คนที่คนชั้นต่ำเช่นนี้จะพูดจาหยาบคายด้วยได้หรือ
แต่ดูเหมือนชายหนุ่มผู้นั้นจะถือเอาการเตือนขององครักษ์ลับสามเป็นการยั่วยุ จึงยิ่งดูได้ใจขึ้นไปอีก แววตาที่มืดครึ้มและชั่วร้ายนั้นจับจ้องเยี่ยหลีไม่วางตา และยังไม่ลืมพูดกลั้วหัวเราะกับองครักษ์ลับสามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่งว่า “มองอะไร ข้าพูดไม่ถูกหรือ เจ้าเด็กนี่ประแป้งทาหน้าเต็มไปหมด ผู้ชายจงหยวนอย่างพวกเจ้าหน้าตาท่าทางอย่างกับผู้หญิง เจ้าเด็กนี่ดูเป็นสาวเสียยิ่งกว่าผู้หญิงเสียอีก”
หากมองให้ดีแล้ว การแต่งหน้าแต่งตัวของเยี่ยหลีนั้นถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้ว ถึงแม้นางจะดูหน้าหวานกว่าหญิงสาวโดยมากอยู่บ้าง แต่ด้วยอายุและลักษณะท่าทางของนางไม่มีทางที่ใครจะคิดว่านางเป็นผู้หญิง ดังนั้น องครักษ์ลับสามจึงไม่คิดเปลืองน้ำลายพูดกับชายที่หยาบช้าพรรค์นี้ เขาดึงกระบี่ออกมาทันที…
กระบี่ถูกชักออกจากฝักเสียงดังชิ้ง ก่อนพุ่งตรงไปยังชายผู้นั้นด้วยความรวดเร็ว
อีกฝ่ายดูจะคิดไม่ถึงว่าองครักษ์ลับสามจะลงมือโดยไม่พูดไม่จาไม่เอ่ยทักทายกันเลยเช่นนี้ ชายที่อัปลักษณ์ผู้นั้นตกใจที่เห็นว่าตนกำลังจะถูกแทงจนเป็นรู คนข้างๆ ที่มาด้วยกันกับเขารีบดึงเขาหลบไปอย่างรวดเร็ว ก่อนสะบัดมือปล่อยวัตถุขนาดเรียวยาวพุ่งออกไปหาองครักษ์ลับสามทันที องครักษ์ลับสามส่งเสียงเหอะเย็นๆ ก่อนสะบัดกระบี่ฉวัดเฉวียนจนกลายเป็นรูปดอกไม้ มีเสียงฉับๆ ดังขึ้นก่อนที่ของสิ่งนั้นจะขาดออกเป็นสามส่วนลงไปกองอยู่ที่พื้น ทุกคนมองตามไปเห็นเป็นงูพิษตัวหนึ่ง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นพันธุ์อะไร แต่ดูจากสีสันบนตัวที่สดประหนึ่งสีดอกไม้ก็บอกได้ทันทีว่าจะต้องเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงอย่างแน่นอน
องครักษ์ลับสามเลิกคิ้วด้วยความดูแคลน ในเมื่อจะมายังหนานเจียง พวกเขาจะไม่ศึกษาลูกไม้ของคนหนานเจียงมาก่อนได้อย่างไร
ชาวหนานเจียงสามสี่คนหน้าเปลี่ยนสีทันที มีเพียงชายหนุ่มชั่วช้าผู้นั้นที่ยังคงพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า “เจ้าบังอาจนัก! เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
องครักษ์ลับสามเบ้ปาก เอ่ยเสียงเย็นว่า “อยู่ในเขตต้าฉู่แล้วยังกล้าอวดดีเช่นนี้ คงมิใช่องค์ชายของหนานจ้าวหรอกกระมัง ข้าจำได้ว่าหนานจ้าวอ๋องมีบุตรสาวอยู่เพียงสองคนเท่านั้นมิใช่หรือ”
ชายผู้นั้นคิดอยากพูดอันใดอีก แต่กลับถูกกระบี่ในมือองครักษ์ลับสามที่ยื่นมาทำให้กลัวจนได้แต่กลืนกลับลงไปด้วยสีหน้าอัดอั้นเต็มที เขาซอยเท้าถอยไปด้านหลังจนไปอยู่กลางกลุ่มผู้ติดตามสามสี่คนที่ตนพามา ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงโอหังว่า “ฆ่ามันให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ผู้ติดตามสามสี่คนดูมีสีหน้าลำบากใจ เอ่ยงึมงำอันใดสักอย่างกับชายผู้นั้น เยี่ยหลียืนอยู่บนปากบันได ก้มหน้าลอบใช้หูฟัง ได้ยืนเหมือนเป็นภาษาของชนกลุ่มน้อยสักกลุ่มในพื้นที่เขตอวิ๋นกุ้ยที่นางเคยได้ยินเมื่อชาติที่แล้ว ด้วยเพราะเยี่ยหลีไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ในเขตอวิ๋นกุ้ยเป็นเวลานาน นางจึงพอเข้าใจภาษาของชนกลุ่มน้อยในบริเวณนี้
ดูเหมือนผู้ติตามจะพยายามเอ่ยทัดทานนายของตนว่าพวกเขาอยู่ในเขตแดนของต้าฉู่ ไม่เหมาะที่จะฆ่าคนในที่โล่งแจ้งเช่นนี้ แต่ดูชายอัปลักษณ์ผู้นั้นจะไม่ยอมฟังคำทัดทาน ยืนยันที่จะฆ่าองครักษ์ลับสามและจับตัวเยี่ยหลีไปให้ได้ หลังจากการเจรจาไม่เป็นผล ชายหนุ่มหนานเจียงสามสี่คนจึงได้แต่หันมองหน้ากันก่อนเดินล้อมวงเข้ามาทางองครักษ์ลับสามและเยี่ยหลี
เมื่อคนในโถงใหญ่เห็นว่าจะมีคนมีเรื่องกัน จึงรีบสลายตัวหายกันไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่โต๊ะของบัณฑิตขี้โรคก็เหลือเพียงเขากับชายวัยกลางคนอีกคนนั่งอยู่เท่านั้น หลงจู๊ผู้เฒ่าก็ตกใจจนก้มหลบอยู่หลังโต๊ะสูงไม่กล้าออกมาอีก
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “จับพวกมันโยนออกไป อย่าได้ทำลายข้าวของผู้อื่นเขา” องครักษ์ลับสามตอบรับด้วยความยินดี “ขอรับ คุณชาย!”
“ผู้ใดกันที่กล้าหาญชาญชัย มาทำให้คุณชายจวินเหวยของพวกเราโกรธ”
องครักษ์ลับสามกำลังจะเริ่มลงมือ ก็มีเสียงเรียบเรื่อยดังมาจากทางด้านบน เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้น เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดสีแดงพริ้วท่วงท่าเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนกำลังยืนพิงรั้วระเบียงทางเดินอยู่ ตัวมารเอ๊ย! เยี่ยหลีหันไปกวาดตามองชายอัปลักษณ์ที่ยืนตาค้างอ้าปากอยู่ ก่อนหันมองคุณชายเฟิงเย่ว์ที่ยืนส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ตน “พี่หาน ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
หานหมิงซีตีลังกาข้ามรั้วกั้นลงมา ก่อนลอยมาตกลงบนขั้นบันได เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้หรือ…ตัวข้าเป็นพี่ คิดไปคิดมาอย่างไรก็ไม่สบายใจที่จะให้น้องจวินเหวยมาพื้นที่ที่อันตรายอย่างหนานเจียงเองคนเดียว จวินเหวยเองก็อยากได้ผู้นำทางพอดีมิใช่หรือ พี่อย่างข้าจึงขอรับอาสามาด้วยตนเอง”
เยี่ยหลีกลอกตาใส่เขาอย่างอดไม่อยู่ “พี่หาน ท่านรู้ทางไปหนานเจียงหรือ”
“ดูถูกกันจริง” หานหมิงซีมองเยี่ยหลีด้วยสายตาตัดพ้อ “ตัวพี่ไปกลับหนานจ้าวมาแล้วอย่างน้อยๆ ก็เจ็ดแปดรอบได้ ต่อให้หลับตาเดินยังได้ อีกอย่าง ตัวพี่ไปด้วยจะได้คุ้มครองจวินเหวยได้ เจ้าดูสิเจ้าพาคนติดตามมาด้วยคนเดียว นี่ยังไม่ทันก้าวเท้าออกจากต้าฉู่ก็เจอพวกบ้ากามเข้าให้เสียแล้ว”
เยี่ยหลีกัดฟัน “พี่หาน ข้าเป็นชายนะ!”
หานหมิงซีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความตกใจ ก่อนยกพัดขึ้นปิดปากหัวเราะคิกคัก “จวินเหวยอายุยังน้อย ยังมิรู้เดียงสา ใครบอกกันว่าเป็นชายแล้วจะเจอพวกบ้ากามไม่ได้ เจ้าทึ่มตรงนั้น เจ้าว่าใช่หรือไม่เล่า”
ชายหนุ่มที่ทั้งทึ่มและอัปลักษณ์ผู้นั้นยืนน้ำลายไหลและพยักหน้าอยู่เป็นนานแล้ว เยี่ยหลีเห็นแล้วคลื่นไส้จึงหันไปถลึงตาใส่หานหมิงซีเสียทีหนึ่ง นางคิดว่าอีตานี่ชอบเด็ดแต่ดอกไม้ ที่แท้ก็กินเรียบทั้งหญิงและชายนี่เอง
“จวินเหวยอย่าเข้าใจผิดไปนะ ต่อให้ตัวพี่กินรวบทั้งชายและหญิง แต่ข้าก็ไม่ชื่นชอบของพรรค์นี้หรอก อย่างน้อยๆ ก็…ต้องเป็นคุณชายที่มีเสน่ห์และฉลาดอย่างจวินเหวยถึงจะใช้ได้” หานหมิงซียื่นหน้าเข้ามาขยิบตาใส่เยี่ยหลี พร้อมทำท่าจะยื่นมือมาหยิกแก้มนาง
มีหรือที่เยี่ยหลีจะยอมให้เขาทำสำเร็จ นางสะบัดพัดในมือเก็บก่อนตีเข้าที่ฝ่ามือเขา หานหมิงซีทำหน้ายอมแพ้ไปชั่วคราว
หานหมิงซีค่อยๆ เดินลงมาด้านล่าง ตารูปหงส์ปรายตามองพวกคนหนานเจียงกลุ่มนั้นด้วยความเกียจคร้าน “พวกเจ้าจะไปกันเองหรือต้องให้ข้าเชิญพวกเจ้าไป”
ชายหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นเดินแย้มยิ้มขึ้นหน้ามาพูดว่า “คุณชายท่านนี้ก็จะไปหนานเจียงเช่นกันหรือ ข้าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ เช่นนั้นให้ข้าเป็นผู้นำทางคุณชายดีหรือไม่” เขาเลียนแบบน้ำเสียงอ่อนนุ่มของคนจงหยวน แต่เมื่อรวมเข้ากับดวงตาเล็กๆ ที่ชั่วร้าย รูปร่างที่ผอมแห้งจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูกกับรอยยิ้มที่เขาคิดเอาเองว่าดูสบายตานั้น ถึงอย่างไรก็ทำให้รู้สึกขนลุกอยู่ดี
มุมปากเยี่ยหลีกระตุกพร้อมกับถอนหายใจให้กับความมีโชคเรื่องสาวๆ ของหานหมิงซีแล้วถือโอกาสดึงองครักษ์ลับสามให้มาอยู่ข้างตัว ในเมื่อมีคนต้องการออกหน้าแทนแล้ว เหตุใดพวกเขาจะต้องลงมือเองด้วยเล่า
ดวงตากลีบดอกเถาของหานหมิงซีกระตุกเล็กน้อย เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ไสหัวไปซะ!”
เขาเป็นเสือผู้หญิงนั้นจริงอยู่ แต่ยังมิถึงกับไม่เลือกว่าเป็นชายหรือเป็นหญิง และต่อให้เขากินเรียบทั้งผู้ชายและผู้หญิงเข้าจริง อย่างไรเขาก็ยังเลือกกินอยู่นา
ชายหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ที่อ้างตนว่าเป็นหัวหน้าชนกลุ่มน้อยหลัวอีปู้ดูจะรู้สึกว่าตนถูกทำร้ายเข้าให้ สีหน้าที่เดิมทีอ่อนโยนจนน่าใจหายนั้นกลับเปลี่ยนเป็นโกรธแค้นขึ้นมาทันที “ฆ่ามันสองคนให้ข้า แล้วจับตัวมันกลับไป!”
เยี่ยหลีอึ้งไป เมื่อครู่ยังบอกให้ฆ่าองครักษ์ลับสามแล้วจับตัวนางไปอยู่เลย มาตอนนี้เมื่อมารสวาทอย่างหานหมิงซีปรากฏตัวขึ้นก็เลยจะฆ่านางอีกคนแล้วจับตัวหานหมิงซีไปเสียอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องอันใดกันนี่
หานหมิงซียกยิ้มเย็นขึ้น “รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเดี๋ยวนี้! หรือพวกเจ้าอยากให้ท่านแม่ทัพมู่หรงมาส่งพวกเจ้ากลับไปด้วยตนเอง”
พูดจบ สีหน้าของชายอัปลักษณ์ก็ดูสับสนขึ้นทันที ผู้ติดตามต่างพากันเอ่ยทักท้วง เขาจะส่งเสียงเหอะพร้อมผรุสวาทออกมาประโยคหนึ่งแล้วรีบเดินออกไป
* เยี่ยนอ๋องเก๋อ คือชื่อตำแหน่งของนักรบที่เกษียณอายุแล้ว แต่ต้องรับผิดชอบภารกิจพิเศษต่างๆ