ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 85-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 85-1 พี่น้องได้พบหน้า
เมื่อเห็นประตูหินบานนั้นปิดลง สวีชิงเฉินก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก สติปัญญาของธิดาเทพแห่งหนานเจียงค่อยๆ หายไปแล้ว ขอเพียงทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่เขาและองค์หญิงอันซีช่วยกันวางเอาไว้ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา เขามั่นใจว่าจะต้องจัดการธิดาเทพแห่งหนานเจียงและอิทธิพลที่หลีอ๋องสร้างไว้ในหนานเจียงได้โดยไม่ต้องใช้กำลังและไม่ต้องเสียเลือดเนื้อเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นตอนนี้เขาก็ควรเริ่มคิดว่าจะออกไปจากที่นี่อย่างไรได้แล้ว ในเมื่อเขาทำสำเร็จตามเป้าหมายก่อนเวลาที่คาดการณ์ไว้ อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ และยิ่งใกล้เวลาเข้าไปเท่าไร ที่นี่ก็จะยิ่งอันตรายขึ้นเท่านั้น
ประตูหินนั้นถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง สวีชิงเฉินจึงเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า “แม่นางมีเรื่องอันใดอีกหรือ”
“แม่นางนั้นไม่มี พี่ชิงเฉินเป็นข้าต่างหางที่มี…” เสียงกังวานใสกลั้วหัวเราะดังขึ้นที่หน้าประตู
สวีชิงเฉินอึ้งไปแล้วจึงรีบหันไปมองทางประตูอย่างรวดเร็ว ประตูหินที่เปิดอยู่ครึ่งบาน มีร่างบอบบางของหญิงสาวในชุดที่เหลืองไข่นกกระทากำลังยืนยิ้มส่งมาให้เขาอยู่ “หลีเอ๋อร์…”
เยี่ยหลีเดินเข้าไปหาเขา พร้อมกวาดสายตามองบรรยากาศภายในห้องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่ใหญ่ ดูแล้วท่านก็อยู่ที่นี่ได้ไม่เลวนักทีเดียวนะ”
สวีชิงเฉินอมยิ้มมองนาง “หลีเอ๋อร์ หลีเอ๋อร์มาที่นี่ได้อย่างไร”
เยี่ยหลีกะพริบตาปริบๆ ใส่เขา แล้วชี้ไปยังประตูหินที่เปิดอยู่ครึ่งบาน “ก็มารับคุณชายชิงเฉินน่ะสิเจ้าคะ”
สวีชิงเฉินมองประตูบานนั้นอย่างใช้ความคิด “ยังมีผู้ใดอยู่ข้างนอกอีกหรือ”
เยี่ยหลีจับแขนสวีชิงเฉินพร้อมยิ้มให้เขา “อย่าเพิ่งสนใจเรื่องนี้เลย พวกเรารีบไปกันเถิด หากอยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนั้นกลับเข้ามาอีกคงไม่ค่อยดีนัก”
สวีชิงเฉินพยักหน้า “หลีเอ๋อร์พูดถูก มีเรื่องอันใดไว้พวกเราออกไปก่อนค่อยว่ากัน อย่างเช่นเรื่องที่จู่ๆ ข้าก็มีคู่หมั้นเพิ่มมาอย่างไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยหลีนิ่งแข็งไปทันที พักใหญ่จึงได้หัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า “พี่ชิงเฉิน เมื่อออกไปแล้วจำไว้ว่าข้าชื่อฉู่หลิวอวิ๋นนะเจ้าคะ หากแม้แต่ชื่อคู่หมั้นของตนเองก็ยังไม่รู้ คงดูน่าสงสัยไม่น้อย”
สวีชิงเฉินหันไปเก็บของสามสี่อย่างที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วจึงได้เดินตามเยี่ยหลีออกนอกประตูหินบานนั้นไป ที่ด้านนอกประตูองครักษ์ลับสองยืนอยู่กับองครักษ์ลับที่หน้าตาไม่คุ้นอีกสองคน เมื่อเห็นเยี่ยหลีและสวีชิงเฉินเดินออกมา ทุกคนต่างพากันถอนหายใจ “คุณชายชิงเฉินอยู่ทีนี่จริงๆ ด้วย คุณหนู พวกเราออกไปทางวังหลวงกันเถิด”
“ผู้หญิงอีกคนนั่นเป็นอย่างไรบ้าง”
องครักษ์ลับสองตอบว่า “องค์หญิงอันซีทำตามข่าวที่พวกเราส่งไปให้ นางนำคนมายังตำหนักธิดาเทพแล้วขอรับ บวกกับเรื่องศพสามสี่ศพนั่น หญิงผู้นั้นคงถูกองค์หญิงอันซีจับตาไว้แล้วขอรับ ยามนี้น่าจะกำลังรอรับศัตรูตัวฉกาจอยู่ที่ตำหนักธิดาเทพขอรับ”
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ทางวังหลวงเล่า”
องครักษ์ลับสองตอบว่า “ถึงเวลาคุณชายหานจะสร้างความวุ่นวายขึ้นภายในวังหลวง พวกเราก็จะอาศัยจังหวะนั้นหลบหนีออกไปขอรับ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “หวังว่าครานี้จะวางใจให้หานหมิงซีจัดการได้เหมือนเช่นทุกครั้ง”
องครักษ์ลับสองก้มหน้าลงลอบยิ้ม “คุณชายหานให้องครักษ์ลับสามมาส่งข่าวว่า รับรองว่าจะไม่ทำให้คุณหนูผิดหวังขอรับ”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
องครักษ์ลับทั้งสองคอยคุ้มกันสวีชิงเฉิน โดยมีองครักษ์ลับสองและเยี่ยหลีประกบอยู่หน้าคนหลังคน เดินไปตามทางเดินใต้ดินเส้นยาวเชื่อมต่อระหว่างวังหลวงกับตำหนักธิดาเทพ ภูเขาลูกที่อยู่ด้านหลังวังหลวงนั้น ถึงแม้จะมิได้ถูกขุดจนกลวงโบ๋ไปทั้งลูกอย่างของหลัวอีปู้ แต่ก็มีห้องที่เป็นหินที่เชื่อมระหว่างทางอยู่ถึงสามสี่ห้องด้วยกัน ห้องที่สวีชิงเฉินถูกกักตัวไว้ก็เป็นหนึ่งในห้องนั้น เมื่อมีคณะเยี่ยหลีคอยนำทาง จึงเดินไปถึงทางออกไปยังวังหลวงได้ในเวลาอันรวดเร็ว
สวีชิงเฉินขมวดคิ้วถามว่า “ทางออกอยู่ที่ใด”
องครักษ์ลับสองตอบด้วยความเสียใจว่า “ห้องบรรทมของหนานจ้าวอ๋องขอรับ ธิดาเทพแห่งหนานเจียงดูสติไม่ดีเช่นนั้น หนานจ้าวอ๋องยังกล้าสร้างทางเดินลับไว้ในห้องบรรทมตนเองอีก เขาไม่กลัวว่าวันดีคืนดีธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะมาฆ่าเขาตายหรือ”
สวีชิงเฉินมิได้สนใจ เพียงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ตามปกติแล้ว ธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะจงรักภักดีต่อหนานจ้าวอ๋อง”
องคักษ์ลับสองไม่เข้าใจ “เช่นนั้นตอนนี้มันเกิดอันใดขึ้นหรือขอรับ”
เยี่ยหลีเอ่ยขัดขึ้นว่า “จะเกิดอันใดขึ้นไว้ออกไปก่อนค่อยว่ากัน”
องครักษ์ลับสองรีบตอบรับ แล้วจึงเดินเข้าไปปลดประตูลับที่เป็นค่ายกลด้วยความระมัดระวัง ประตูหินที่ทั้งหนาและหนักค่อยๆ เลื่อนเปิดออก ห้องที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนเป็นห้องภายในวังที่กว้างขวางโอ่อ่า
จนเมื่อทั้งห้าคนเดินออกมาแล้ว องครักษ์ลับสองก็ปิดประตูลับกลับไปเข้าไปอย่างเดิม องครักษ์ลับสองคนแทรกตัวออกไปก่อน พอดีกับที่มีองครักษ์ในวังสองคนที่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลยจะเข้ามาตรวจสอบจึงลากตัวกลับเข้ามาด้านใน องครักษ์ในวังทั้งสองไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียง ร่างพวกเขาอ่อนลงไปกองกับพื้นอย่างไร้สุ้มเสียงทันที
สวีชิงเฉินมองสีหน้าเยี่ยหลีที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แววตาเป็นประกายวูบไหว เขายื่นมือออกไปดึงเยี่ยหลีให้มาอยู่ข้างกาย
เยี่ยหลีเงยหน้าขึ้นยิ้มน้อยๆ ให้เขา “พี่ใหญ่ พวกเรารีบออกไปกันเถิด”
สวีชิงเฉินพยักหน้า เมื่อออกมาจากห้องบรรถมที่แสนหรูหราของหนานจ้าวอ๋องแล้ว ตลอดทางพวกเขาพบองครักษ์อยู่เพียงไม่กี่คน องครักษ์ที่คอยอารักขาอยู่จำนวนน้อยนิดนั้นถูกองครักษ์ลับและองครักษ์ลับสองจัดการไปจนหมด ด้วยเพราะพวกเขาวางแผนเส้นทางไว้ก่อนแล้ว คณะของพวกเขาจึงใช้เวลาไม่มากนัก ก็ออกมาอยู่นอกวังหลวงในจุดลับที่หานหมิงซีได้จัดเตรียมไว้ให้พวกเขาก่อนหน้านี้
“จวินเหวย…ข้ากลับมาแล้วยังไม่รีบออกมาต้อนรับอีกหรือ” ทุกคนยังไม่ทันได้นั่งลงดื่มน้ำพักหายใจ ก็ได้ยินเสียงที่แสนจะยั่วยวนของหานหมิงซีดังขึ้นที่หน้าเรือน หันไปมองก็เห็นเงาดำเงาหนึ่งกระโดดม้วนตัวลงมาจากหลังคาแล้วพุ่งตัวไปยังจุดที่เยี่ยหลียืนอยู่ทันที
“คุณชายหาน!” องครักษ์ลับสามที่ตามหลังเขามาถึงกับปาดเหงื่อ แล้วรีบส่งเสียงเรียกเขา
สวีชิงเฉินและองครักษ์ลับสองที่อยู่ข้างเยี่ยหลีรีบเข้ามาขวางหานหมิงซีเข้าพร้อมๆ กัน รอยยิ้มของสวีชิงเฉินดูราบเรียบและเยือกเย็น “คุณชายหาน ท่านจะทำอันใดหรือ”
หานหมิงซีจึงได้มองถนัดๆ ว่า คนที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉินมิใช่น้องจวินเหวยที่เขาเฝ้าคิดถึง แต่เป็นเด็กสาวรูปร่างบอบบางในชุดหลัวอีสีเหลืองไข่นกกระทา “เอ่อ…นี่…”
เยี่ยหลีรีบไปยืนหลบหลังสวีชิงเฉิน โผล่หน้าออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น “พี่ชิงเฉิน…”
หานหมิงซีเมื่อเป็นว่าแม่นางน้อยถูกตนทำให้ตกใจก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ คุณชายเฟิงเย่ว์คร่ำหวอดอยู่ในหมู่มวลดอกไม้มาสิบกว่าปี เคยเสียเมื่อไรที่จะเสียมารยาทต่อหน้าแม่นางน้อยที่งดงามเช่นนี้ เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมา หานหมิงซีจึงรีบยกยิ้มรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของคุณชายเฟิงเย่ว์ขึ้นมาทันที เลิกคิ้วแล้วยิ้มให้กับหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังสวีชิงเฉิน พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่นาง ขอโทษด้วยจริงๆ ข้าน้อยชื่อหานหมิงซี เมื่อครู่ทำให้ท่านตกใจหรือไม่ ข้าน้อยต้องขอโทษด้วย”
เยี่ยหลียืนหลบอยู่หลังสวีชิงเฉิน พูดตอบเสียงเล็กว่า “มิเป็นไร เพียงแต่อีกหน่อยคุณชายอย่าได้…ทำเช่นนี้อีกเลย ถึงอย่างไรชายหญิงก็แตกต่างกัน”
มุมปากหานหมิงซีถึงกับกระตุก เขามิใช่คนบ้ากามเสียหน่อย เขาเพียงเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างสวีชิงเฉินเป็นจวินเหวยเท่านั้นเอง เพียงแต่จะว่าไปแล้ว น้องจวินเหวยของเขาไปอยู่ที่ใดเสียเล่า
“จั๋วจิ้ง! น้องจวินเหวยของข้าไปอยู่ที่ใดเสีย พวกเจ้าอยู่ที่นี่กันทุกคน เหตุใดจึงขาดเขาไปได้”
เยี่ยหลีอดเงยหน้ามองฟ้าไม่ได้ นางไปเป็นน้องเขาตั้งแต่เมื่อใดกัน
องครักษ์ลับสามหน้าบึ้งตึง มองหน้าหานหมิงซีที่ไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป แล้วพูดว่า “คุณชายมิได้บอกว่าจะมาที่นี่ขอรับ”
หานหมิงซีไม่พอใจ “เหตุใดจวินเหวยจึงไม่มาที่นี่”
องครักษ์ลับสามตอบว่า “ที่นี่เป็นที่ที่คุณชายขอให้คุณชายหานช่วยจัดเตรียมให้คุณชายสวีขอรับ”
หานหมิงซีปรายตาอันมีเสน่ห์ไปยังคุณชายชิงเฉินด้วยความไม่พอใจทีหนึ่ง ไม่รู้เหตุใดถึงได้รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เอ่ยตัดพ้อว่า “แต่คนเขาเตรียมไว้ให้จวินเหวยนี่”
องครักษ์ลับสามอดกลอกตาไม่ได้ “คุณชายของพวกเรามีที่พักแล้วขอรับ”
หานหมิงซีเบ้ปาก “ที่ที่พวกเจ้าพักอยู่จะสะดวกสบายกว่าที่ที่ข้าเตรียมให้ได้อย่างไร หากรู้แต่แรกว่าจวินเหวยมิได้จะมาพักที่นี่ คงไม่ต้องลงทุนลงแรงเช่นนี้” พูดจบยังได้หันมาถลึงตาอย่างโกรธๆ ใส่สวีชิงเฉินเสียทีหนึ่ง
สวีชิงเฉินเห็นท่าทีของเขา แล้วจึงยิ้มออกมาบางๆ “ลำบากคุณชายหานแล้ว”
หานหมิงซีส่งเสียงเหอะให้เขาทีหนึ่งแล้วจึงโบกพัดในมือ “เห็นแกว่าท่านเป็นพี่ใหญ่ของจวินเหวยหรอกนะ ข้าจะไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว จวินเหวยเล่าในเมื่อเขามิได้อยู่กับพวกข้า และมิได้อยู่กับพวกเจ้า แล้วตอนนี้เขาไปอยู่ที่ใด”
องครักษ์ลับสองรีบเหลือบตามองเยี่ยหลี แล้วพูดว่า “เรื่องนี้…เมื่อมาถึงได้ไม่เท่าไร คุณชายฉู่ได้รับข่าวสารบางอย่างจึงรีบออกไป บอกว่ามีเรื่องต้องไปจัดการ แล้วอีกเดี๋ยวจะกลับมารวมกับพวกเราขอรับ”
“เป็นเช่นนี้เองหรือ” หานหมิงซีเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่อาจด้วยเพราะสีหน้าเคร่งขรึมขององครักษ์ลับสองจึงทำให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นมาก สุดท้ายหานหมิงซีจึงได้ส่งเสียงเหอะก่อนสะบัดแขนเสื้อจากไป