ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 89-2
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 89-2 จุดเริ่มต้นที่ดี
อาจด้วยเพราะกองทัพแนวหน้าที่ส่งมาพ่ายแพ้กลับไปอย่างหมดรูป กองทัพกองถัดมาจึงมาช้ากว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้พอสมควร เช้ามืดวันถัดมาจึงค่อยได้ยินเสียงกลองศึกที่ดังลอยมาจากนอกเมือง
ซย่าซูและอวิ๋นถิงยืนสังเกตการณ์อยู่บนกำแพงเมือง อวิ๋นถิงอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ “ม่อจิ่งหลีเกณฑ์ทหารจากทั้งเมืองหลิงโจวมาเลยกระมัง” พื้นที่ด้านหน้าบริเวณเมืองหย่งหลินไม่กว้างขวางนัก แต่เมื่อมองลงไปแล้วเห็นเงาคนและธงที่ปลิวไสวอยู่อย่างแน่นขนัด ทำให้ไม่คิดอยากคะเนถึงจำนวนคนที่มาเอาเสียเลย
ซย่าซูเอ่ยเสียงต่ำว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองหลวง ได้ยินว่าหลีอ๋องเป็นเพียงคนไร้น้ำยาคนหนึ่ง มายามนี้ดูท่าจะมิใช่อย่างนั้นสักทีเดียว” เมื่อได้เห็นกองทัพที่กรีฑาทัพเข้ามาอย่างแน่นขนัดและเป็นระเบียบ ดูอย่างไรก็ไม่น่าใช่กองทัพที่คนไร้น้ำยาจะสามารถจัดทัพมาได้
อวิ๋นถิงเบ้ปาก “ไม่ในมือเขามียอดฝีมืออยู่ เขาก็คงแกล้งทำเป็นโง่ คนไร้น้ำยาจะสามารถรวบรวมทหารคิดการกบฏได้หรือ นั่นมันคนบ้า”
มีคนสามสี่คนขี่ม้าวิ่งห้อออกมาจากขบวนทัพ ชายวัยกลางคนหนึ่งในนั้นลักษณะท่าทางดูไม่เหมือนนายทหาร เขามองขึ้นมายังคนด้านบนกำแพงเมือง พร้อมตะโกนบอกว่า “ทหารรักษาการที่อยู่ทางด้านบนฟังให้ดี เปิดประตูเมืองให้พวกเราผ่านไปบัดเดี๋ยวนี้”
อวิ๋นถิงเบ้ปาก “เจ้าเป็นผู้ใดกัน แค่บอกให้เปิดพวกเราก็ต้องเปิดหรือ”
ชายวันกลางคนเอ่ยว่า “ข้าเป็นผู้ว่าการเขตหย่งโจว เขตหย่งโจวได้สวามิภักดิ์ต่อหลีอ๋องแล้ว ยังไม่รีบเปิดประตูเมืองต้อนรับหลีอ๋องอีก!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นถิงจึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนด่ากลับไปว่า “ข้านึกว่าผู้ใด ที่แท้ก็ไอ้คนทุรยศนี่เอง ทางเดินบนสวรรค์มีดีๆ ไม่เดิน คิดเป็นคนทุรยศแล้วยังไม่รู้จักหาที่หลบซ่อนตัว ยังกล้าออกมาวางก้ามเช่นนี้อีก” เขายื่นมือไปหยิบคันธนูของนายทหารที่อยู่ใกล้ๆ ขึ้นมา แล้วยิงธนูเข้าใส่ผู้ว่าการเขตหย่งโจวอย่างไม่ลังเล
“อ๊า!” ผู้ว่าการเขตหย่งโจวที่เมื่อครู่พูดจาอวดใหญ่อวดโตอยู่บนหลังม้า ถูกคนข้างๆ ดึงให้หลบ ลูกธนูดอกนั้นจึงเพียงถากเข้าที่ใบหูของเขา เขาร้องเสียงดังด้วยความตกใจจนเกือบตกจากหลังม้า
อวิ๋นถิงส่งเสียงจึ๊ในลำคอด้วยความเสียดาย “โชคไม่เข้าข้างเอาเสียเลย”
เมื่อใช้อำนาจของผู้ว่าการเขตหย่งโจวไม่ได้ผล หนึ่งในนั้นจึงได้โบกมือให้พาเขากลับเข้ากองทัพไป แล้วจึงได้เงยขึ้นพูดกับทั้งสองคนบนกำแพงเมืองว่า “บนกำแพงเมืองคือผู้บัญชาการอวิ๋นถิงและซย่าซูใช่หรือไม่ ท่านทั้งสองมีทหารรวมกันไม่ถึงสามหมื่นนาย อย่างไรก็ไม่มีทางขวางกองทัพจำนวนสองแสนนายของข้าได้ เหตุใดจะต้องดื้อด้านด้วยเล่า อันที่จริงทุกคนต่างก็เป็นราษฎรของแผ่นดินต้าฉู่ หากเกิดความเสียหายใดๆ ขึ้นทุกคนต่างก็รู้สึกเสียใจมิใช่หรือ”
อวิ๋นถิงส่งเสียงถุย ยิ้มเย็นพร้อมพูดว่า “ช่างน่าขัน เจ้ายังรู้ตัวหรือว่าตนเองเป็นราษฎรของต้าฉู่ ข้ายังนึกว่าเป็นหมาที่คนทุรยศเลี้ยงเอาไว้มาเห่าหอนเล่นเสียอีก”
คนที่อยู่ด้านนอกเมืองสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วจึงรีบพูดกลั้วหัวเราะต่อ “ฮ่องเต้ไร้ศีลธรรม หลีอ๋องต่างหากที่เป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง พวกข้าก็ควรที่จะรับคำสั่งหลีอ๋อง…”
“ถุย!” อวิ๋นถิงยกลูกธนูอีกดอกขึ้น เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีสบายๆ ก็มิได้ใส่ใจ เพียงเอ่ยก่นด่าเสียงดังว่า “คนน่าไม่อายข้าก็พบเจอมาไม่น้อย แต่คนน่าไม่อายเช่นเจ้านี่ข้าเพิ่งเคยพบเป็นคนแรก ฮ่องเต้ไร้ศีลธรรม…ฮ่องเต้ฆ่าพ่อแม่ของเจ้าหรือแย่งเมียของเจ้ามาหรือไร แล้วยังโอรสสวรรค์ที่แท้จริง…คิดว่าข้าอยู่ที่ชายแดนแล้วไม่เคยได้ยินข่าวหรือ ก่อนแต่งงานก็ลักลอบคบหากับน้องสะใภ้ในอนาคต วันแต่งงานก็ถูกคนจับได้ว่าทำตัวผิดทำนองคลองธรรมกับหญิงอื่น อ้อ…ยังมี วันเสกสมรสใหญ่ก็เป็นลมล้มพับลงไปในงาน…สุขภาพร่างกายอ่อนแอเช่นนั้นก็พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเถิด อย่าได้ออกมาให้ใครเขารำคาญตาเลย!”
ซย่าซูที่ยืนอยู่อีกด้านเมื่อได้ยินอวิ๋นถิงก่นด่าด้วยความโกรธไม่หยุด สีหน้าจึงดูหดหู่ลงเล็กน้อย นายทหารบนกำแพงเมืองต่างอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา แม้แต่ทหารของหลีอ๋องที่ด้านนอกเมืองก็พลอยมีสีหน้าประหลาดไปด้วย
ผู้บัญชาการทหารที่คิดอยากเจรจาผู้นั้นโกรธจนแทบอย่างจะมุดแผ่นดินหนี เขาชี้หน้าอวิ๋นถิงแล้วเอ่ยด้วยความโกรธ “ดี! เจ้าอย่าได้ตกมาอยู่ในน้ำมือข้าเชียว มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เจ้าตายเสียดีกว่าอยู่!”
อวิ๋นถิงเชิดหน้าขึ้น กดสายตามองเขาด้วยความเย่อหยิ่ง “ข้าจะรอ”
เบื้องหลังกองทัพขนาดใหญ่ ม่อจิ่งหลีหน้าดำประหนึ่งหมึก รังสีอึมครึมที่แผ่ออกมาทำให้แม่ทัพที่อยู่ด้านข้างมิกล้าแม้แต่จะส่งเสียง ถึงแม้ตรงที่พวกเขาอยู่จะห่างจากด้านหน้าไปไกลพอสมควร แต่เสียงของอวิ๋นถิงเมื่อครู่ใช้กำลังภายในเปล่งออกมา แม่ทัพที่อยู่ข้างกายม่อจิ่งหลีในตอนนี้อย่างไรก็มีวิทยายุทธอยู่ไม่มากก็น้อย ย่อมได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน ที่สีหน้าม่อจิ่งหลีดูย่ำแย่ถึงเพียงนี้ก็เข้าใจได้ “บุก! ไอเจ้าเด็กคนนั้นจับเป็นมาให้ข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคนข้างกายโบกมือ ก็ได้ยินเสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้นทันที กองทัพทางด้านหน้าเริ่มเคลื่อนพลเข้าโจมตีเมือง
ม่อจิ่งหลีดูต้องการที่จะเผด็จศึกโดยไว เขาต้องการที่จะยึดพื้นที่ทางตอนใต้ ใต้แม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ให้ได้ก่อนที่กองหนุนจากราชสำนักจะมาถึง ดังนั้นถึงแม้จะเป็นเมืองเล็กอย่างหย่งหลินเขาก็ไม่ปรานี เพราะถึงอย่างไรด้านหลังเมืองหย่งหลินก็เป็นด่านซุ่ยเสวี่ย
ครั้งนี้อวิ๋นถิงและซย่าซูรับรู้ถึงความกดดันที่มากกว่าเมื่อนวานมากนัก แค่เพียงกำลังทหารในการรักษาเมืองก็แทบจะไม่เพียงพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแบ่งกำลังออกไปสู้รับกับข้าศึกเลย ต่อให้พวกเขาสามารถแบ่งกำลังออกไปสู้รบได้ แต่กำลังทหารเพียงหยิบมือนี้เมื่อต้องเข้าไปสู้กับกองทัพนับแสนคนแล้ว ถึงออกไปก็คงมิได้กลับเข้ามา และไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแน่นอน
ด้านนอกเมืองท่อนไม้ขนาดใหญ่ถูกยกกระแทกประตูเมือง ทั่วทั้งกำแพงเมืองสั่นไหวไปพร้อมกับเสียงตึงตึงที่ดังขึ้น ทหารบนกำแพงเมืองค่อยๆ ร่วงหล่นจากกำแพงไปทีละคนสองคน ข้าศึกที่ต้องการข้ามกำแพงขึ้นมาก็มีมากประหนึ่งฆ่าเท่าไรก็ไม่หมด
อวิ๋นถิงและซย่าซูเองต่างกวัดแกว่งดาบไม่ได้หยุด คอยช่วยปิดช่องว่างในส่วนที่นายทหารจัดการได้ไม่ทั่วถึง พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่ค่อยๆ แผ่กระจายขึ้นในอากาศ
เมื่อเห็นว่าจำนวนทหารรักษากาณณ์บนกำแพงเมืองค่อยๆ น้อยลงไปทุกที ชุดออกศึกสีขาวของอวิ๋นถิงก็เต็มไปด้วยคราบเลือด “โชคไม่ดีเอาเสียเลย ข้านำทัพออกศึกคราแรก ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบเสียแล้วหรือ”
“เจ้าวางใจได้ หากเจ้าตาย ราชสำนักจะต้องแต่งตั้งให้เจ้าเป็นแม่ทัพแน่นอน” ซย่าซูกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม พร้อมเอ่ยเสียงเรียบ
“ขอบคุณที่ปลอบข้า แต่อย่างไรข้าก็อยากให้พวกสารเลวพวกนี้ตายเสียก่อน!” อวิ๋นถิงกล่าว กระบี่ในมือจ้วงแทงเข้าใส่ข้าศึกที่หมายจะลอบโจมตีซย่าซูจากด้านข้าง แล้วจึงจับร่างข้าศึกผู้นั้นโยนลงไปตามบันไดที่กำลังมีข้าศึกปีนขึ้นมา
“พี่น้องทั้งหลาย กันพวกมันไว้ให้ได้! หากให้คนทุรยศพวกนี้เข้าไปถึงด่านซุ่ยเสวี่ยคงเป็นอันจบกัน ตั้งแต่ด่านซุ่ยเสวี่ยสร้างขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ยังไม่เคยให้พวกคนต่างถิ่นจากหนานเจียงข้ามไปได้แม้แต่ก้าวเดียว จะมาพังลงในมือของพวกเราไม่ได้!” อวิ๋นถิงยกมือขึ้นตะโกนเสียงดัง
ทหารรักษาการณ์ต่างตะโกนตอบรับด้วยความพร้อมเพรียงกัน “รักษาหย่งหลินไว้ให้ได้!” ถึงแม้จะเป็นนายทหารเช่นเดียวกัน แต่ทหารที่รักษาการณ์อยู่ในแคว้นนั้นยากที่จะเข้าใจหัวจิตหัวใจนายทหารที่รักษาการณ์อยู่ตามชายแดนได้ การรักษาประตูชายแดนแคว้นนั้นถือเป็นเกียรติและสิ่งที่สำคัญประหนึ่งชีวิต และเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่ฝังอยู่ในกระดูกของพวกเขา
ในป่าห่างจากเขตเมืองหย่งหลินไปหลายลี้ เยี่ยหลียืนสังเกตการณ์อยู่บนต้นไม้บนเนินเขาลูกหนึ่ง เสียงอาวุธและการต่อสู้ต่อให้อยู่ห่างไปหลายลี้แต่ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“พระ…คุณชาย ทางเมืองหย่งหลินนั้นใกล้จะเอาไม่อยู่แล้วขอรับ” องครักษ์ลับสามรีบก้าวเข้ามารายงาน
เยี่ยหลีก้มหน้าลงกล่าวว่า “ด้วยกำลังทหารเพียงสองหมื่นนายแต่สามารถถ่วงเวลาไว้ได้นานเช่นนั้น ถือว่าไม่เลวแล้ว ตอนนี้คนที่รักษาการณ์เมืองหย่งหลินอยู่คือผู้ใดหรือ”
องครักษ์ลับสองตอบว่า “อวิ๋นถิงกับซย่าซู เป็นนายทหารใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพมู่หรงขอรับ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “มีเพียงสองคนเท่านั้นหรือ”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า “ผู้บัญชาการทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่ด่านซุ่ยเสวี่ยมีไม่มากนัก ทั้งสองคนเป็นลูกน้องใต้บังคับบัญชาของท่านแม่ทัพมู่หรงที่มีอนาคตไกลและเป็นคนที่แม่ทัพมู่หรงให้ความไว้ใจที่สุด เมื่อวานคนที่ชื่ออวิ๋นถิงยังได้ตัดหัวคนนำทัพหน้าของหลีอ๋องไปด้วยขอรับ”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “ม่อจิ่งหลีก็อยู่ในทัพด้วยหรือ”
องครักษ์ลับสองพยักหน้า แล้วชี้นิ้วไปยังจุดที่มีธงโบกสะบัดอยู่ “หลีอ๋องน่าจะอยู่แถวนั้นขอรับ คุณชาย…พวกเราจะ…”
เยี่ยหลีส่ายหน้า “ข้างกายม่อจิ่งหลีน่าจะมีการอารักขาอย่างแน่นหนา อีกอย่างตัวเขาเองก็มิใช่คนไร้วิชา คิดอยากจับคนทุรยศแล้วเริ่มจากจับตัวหัวโจกเลยดูจะเป็นไปไม่ได้สักเท่าไร องครักษ์ลับสอง สาม”
“ขอรับ”
“พวกเจ้าเลือกคนไปสังหารผู้ว่าการเขตหย่งโจว”
องครักษ์ลับสองและสามหันมองหน้ากัน ขานรับเสียงกังวานว่า “ข้าน้อยรับบัญชา”
เยี่ยหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “สังหารเพียงผู้ว่าการเขตหย่งโจวเท่านั้น อย่างอื่นอย่าได้เข้าไปยุ่ง แล้วรีบถอนตัวกลับมา”
“ขอรับ! เช่นนั้นคุณชาย….”
เยี่ยหลีพ่นลมหายใจออกเบาๆ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ข้าจะไปกับหน่วยเฮยอวิ๋นฉี”
หัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีสามสี่คนที่ยืนอยู่ด้านหลังนางมองเยี่ยหลีด้วยความเคารพ ถึงแม้พวกเขาควรที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระชายาอยู่แล้ว แต่พระชายาที่มีฝีมือเป็นเลิศและมีความฉลาดหลักแหลม ก็ทำให้พวกเขาที่มีความภาคภูมิใจในฝีมือและความแข็งแกร่งของตนเอง รู้สึกยอมรับได้ง่ายกว่านายหญิงผู้บอบบางที่มีแต่ความงามมากนัก
ถึงแม้พวกเขาเพิ่งทำความรู้จักได้ไม่กี่วัน แต่หลายวันนี้ที่พระชายาขี่ม้าวิ่งตะบันเดินทางเป็นร้อยลี้ทั้งทางบกและทางน้ำ โดยไม่มีการปริปากบ่นสักแอะ ทั้งยังแข็งแรงกว่าทหารทั่วไปที่มีฝีมือ ทำให้คนในหน่วยเฮยอวิ๋นฉีของพวกเขารู้สึกยินดีรับใช้พระชายาผู้นี้ด้วยใจจริง