ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 94-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 94-1 อาคันตุกะจากแคว้นซีหลิง
ณ ค่ายทหารหลีอ๋อง นอกเมืองหย่งหลิน
“บ้าเอ้ย! เหตุใดม่อซิวเหยาถึงมาอยู่ที่นี่ได้!” ในกระโจมใหญ่ ม่อจิ่งหลีสีหน้าบิดเบี๊ยวบึ้งตึง บรรยากาศในช่วงใกล้เดือนหกนี้ ยังสามารถทำให้คนรู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูกได้ ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอันใด ไม่เพียงเพราะหลีอ๋องที่อยู่ในอารมณ์โกรธ แต่ด้วยเพราะการปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันของติ้งอ๋องทำให้พวกเขาขวัญเสียไปไม่น้อย หากจะมีสิ่งใดที่น่าหวั่งเกรงกว่าการปรากฏตัวของติ้งอ๋องแล้ว นั่นคือการที่ติ้งอ๋องปรากฏตัวด้วยสภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
ชั่วขณะที่เห็นร่างในชุดสีเงินควบม้าวิ่งตะบันลงมานั้น ทุกคนต่างรู้สึกหมดหวังและเสียใจขึ้นมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ติ้งอ๋องผู้นั้นที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพสงครามตั้งแต่อายุยังน้อย ติ้งอ๋องที่ได้รับการยกย่องว่ามีความรู้ความสามารถมากกว่าบรรพบุรุษของตน เป็นบุรุษที่พวกเขาสามารถหยุดยั้งได้จริงๆ หรือ ทุกคนต่างนึกสงสัยและเสียใจยิ่งขึ้นไปอีก ที่พวกเขาใจร้อนตัดสินใจว่าจะยกทัพออกไปก่อการกบฏกับหลีอ๋องนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วหรือ ความดีความชอบจากการช่วยให้ใครคนหนึ่งขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรได้นั่นสามารถนำความรุ่งเรืองและอำนาจมาสู่พวกเขาได้ก็จริง แต่หากล้มเหลวสิ่งที่ต้องแลกมาก็ให้คนเย็นยะเยือกได้เช่นกัน
เสนาธิการทหารที่สีหน้าสบายๆ มาโดยตลอด มาตอนนี้กลับขาวซีดไปเช่นกัน ในแผนการณ์ของพวกเขา ไม่ว่าอย่างไรม่อซิวเหยาก็ไม่มีทางที่จะปรากฏตัวที่เขตหย่งโจวได้รวดเร็วเช่นนี้ ไม่สิ ควรพูดว่า ม่อซิวเหยาไม่มีทางมาปรากฏตัวที่หย่งโจวได้ ทว่าตอนนี้…ต้องยอมรับว่าติ้งอ๋องที่ขาพิการทั้งสองข้างก็ทำให้คู่ต่อสู้หวาดเกรงแล้ว แต่ติ้งอ๋องที่สุขภาพแข็งแรงเดินเหินได้อย่างคล่องแคล่ว ยิ่งทำให้คนหวาดกลัวได้ยิ่งกว่า
“ท่านอ๋อง มีจดหมายจากเมืองหลวงมาบ้างหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ติ้งอ๋อง…”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงเหอะเย็น “ม่อซิวเหยาออกจากเมืองหลวงก่อนพวกเราเคลื่อนพลเสียอีก แล้วยังเยี่ยหลี! ที่แท้ก็เป็นนาง!” เพียงคิดว่าหลายวันนี้คนที่สั่งให้หน่วยเฮยอวิ๋นฉีเข้าขวางทางพวกเขาก็คือเยี่ยหลี ม่อจิ่งหลีก็นึกโกรธแค้นจนอยากจับนางมาถลกหนังเลาะกระดูก
เสนาธิการทหารกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้มีข่าวว่าชายาติ้งอ๋องหายตัวไป ตอนนี้ดูท่าว่าที่ผ่านมานางจะไปอยู่ที่หนานจ้าว ก่อนหน้านี้หนานจ้าวส่งข่าวมาว่า คุณชายชิงเฉินหายตัวไปไม่รู้ไปอยู่ที่ได้…เกรงว่า ที่ชายาติ้งอ๋องไปยังหนานจ้าวก็เพื่อตามหาคุณชายชิงเฉิน” ยิ่งพูด ในใจเสนาธการทหารยิ่งรู้สึกหนาวยะเยือก ติ้งอ๋อง ชายาติ้งอ๋อง มู่หรงเซิ่น แล้วยังคุณชายชิงเฉินที่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะปรากฏตัวขึ้นอีกคน คนที่ขวางหน้าพวกเขาไว้เหล่านี้ ดูจะทำให้พวกเขาไม่เป็นทางที่จะตีเมืองหย่งหลินให้แตกได้เลย
“ท่านอ๋อง ข้าน้อยเห็นว่า แผนการณ์ในยามนี้เราควรละทิ้งเมืองหย่งโจวแล้วเคลื่อนพลเข้าไปทางใต้ เพื่อยึดพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันให้ได้ก่อนหน้าที่กองหนุนจากราชสำนักจะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีเอ่ยเสียงขรึมว่า “ม่อซิวเหยามาถึงเมืองหย่งหลินแล้ว เจ้าคิดว่าเขาจะให้พวกเราถอยทัพไปได้หรือ”
เสนาธิการทหารยกมือลูกหนวดพร้อมกล่าวว่า “ตามที่ท่านอ๋องรู้จักติ้งอ๋อง และด้วยนิสัยของติ้งอ๋อง พระองค์เห็นว่าเขาจะหยุดโจมตีง่ายๆ เช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีก้มหน้าลงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้า “ม่อซิวเหยาสมัยอายุยังน้อยได้ชื่อว่าดุดันดั่งพายุ การเคลื่อนพลและการทำศึกนั้นรวดเร็วและรุนแรง หากเป็นเมื่อก่อน การศึกในวันนี้ไม่มีทางที่เขาจะหยุดมือหากยังไม่สามารถทำลายกองทัพและสังหารแม่ทัพของอีกฝ่ายได้”
เสนาธิการทหารอมยิ้มพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอ๋องเห็นว่าเหตุใดติ้งอ๋องจึงไม่ตามโจมตีให้รู้แพ้รู้ชนะหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีตาเป็นประกาย เอ่ยเสียงดังขึ้นเล็กน้อยว่า “กำลังพลเขาไม่เพียงพอ!”
เสนาธิการปรบมือพร้อมหัวเราะ “ถูกแล้ว ด้วยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ของหย่งหลิน และความเร็วของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีทำให้พวกเราดูไม่ออกว่ากองทัพของเขามีขนาดใหญ่เพียงใด แต่ติ้งอ๋องไม่มีทางไม่รู้ว่าพวกเรามีกำลังทหารอยู่เท่าใด ที่เขาไม่ตามมาทำศึกจนรู้แพ้รู้ชนะนั้น สามารถบอกได้ว่าอย่างน้อยกำลังพลของพวกเราก็มีมากกว่าเขาเป็นเท่าตัว หรืออาจะมากกว่านั้น”
ม่อจิ่งหลีพยักหน้า “ถูกต้อง เสด็จพี่ฮ่องเต้ของข้าจะปล่อยให้เขาเคลื่อนพลจำนวนหลายแสนคนง่ายๆ ได้อย่างไร อีกอย่าง…หากมีทหารหลายแสนคนร่วมทัพมาด้วย เขาคงไม่มาถึงได้รวดเร็วเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นเหตุใดพวกเราจึงไม่…”
“ไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาธิการทหารรีบเอ่ยขัดสิ่งที่เขาคิดจะพูดออกมา แล้วเอ่ยทัดทานว่า “ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองให้ดีเถิด กำลังทหารของติ้งอ๋องอาจไม่เพียงพอก็จริง แต่บริเวณโดยรอบเมืองหย่งหลินไม่มีพื้นที่กว้างพอที่เหมาะจะทำศึกใหญ่ หากพวกเขารักษาการอยู่แต่ในเมืองหย่งหลิน ภายในสิบวันหรือครึ่งเดือนนี้ พวกเราไม่มีทางทำอันใดพวกเขาได้ หลังจากสิบวันหรือครึ่งปีไปแล้ว…ทัพใหญ่ของราชสำนักต่อให้เคลื่อนพลช้าเพียงใดก็น่าจะมาถึงแล้ว ถึงตอนนั้นหากพวกเราคิดจะยกพลกลับไปทางตะวันออกก็คงสายไปเสียแล้ว” ที่เขาว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนนั้นถือว่าเกรงใจแล้ว เมื่อมีหน่วยเฮยอวิ๋นฉีจำนวนสองหมื่นนายคอยรักษาเมืองอยู่ อย่าว่าแต่สิบวันหรือครึ่งเดือนเลย ขอเพียงพวกเขาไม่ขาดแคลนอาหารและอาวุธ สองเดือนหรือสามเดือนจะตีพวกเขาแตกได้หรือไม่ยังมิรู้เลย ฝีมือธนูของหน่วยเฮยอวิ๋นฉีนั้นแม้แต่ทหารม้าของเป่ยหรง เพียงได้ยินชื่อยังต้องอกสั่นขวัญแขวน เกรงว่ากองทัพที่จะยกไปบุกโจมตีเมืองแค่เคลื่อนพลเข้าใกล้ก็ยังยาก
“เรื่องนี้…” สีหน้าม่อจิ่งหลีเปลี่ยนไปมาจนยากจะคาดเดา ทั้งดูไม่ยินดี โกรธแค้น และหวาดกลัวจนคนรอบข้างยากจะสัมผัสได้ ความหวาดกลัวนี้อาจมิได้มาจากตัวของม่อซิวเหยา แต่เป็นความหวาดเกรงกองทัพตระกูลม่อและตำหนักติ้งอ๋องที่ดูเหมือนจะติดตัวนายทหารของต้าฉู่ทุกคนมาตั้งแต่เกิด
“ท่านอ๋อง ขอเพียงพวกเราสามารถยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำอวิ๋นหลันทั้งหมดและรักษาแม่น้ำอวิ๋นหลันไว้ได้ เขตหย่งโจวก็เป็นเพียงพื้นที่เล็กๆ เท่านั้น ซ้ำยังมีหนานจ้าวคอยขัดขวางอยู่อีก ราชสำนักมิอาจทำอันใดได้ ยามนี้เมื่อขาทั้งสองข้างของติ้งอ๋องเกิดกลับมาใช้งานได้ขึ้นมา เกรงว่าท่านนั้นที่อยู่ในเมืองจะกำลังนึกหวั่นเกรงอยู่เป็นแน่ เช่นนี้แล้วเขาไม่มีทางใช้ให้ติ้งอ๋องมาต่อสู้กับพวกเรา ขอเพียงติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อไม่ยกทัพมา แผ่นดินครึ่งหนึ่งทางตอนใต้ของแม่น้ำย่อมเป็นลูกไก่ในกำมือของท่านอ๋อง ส่วนเรื่องอื่นๆ ต่อไปพวกเราค่อยๆ วางแผนกันก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ” เสานาธิการทหารเอ่ยทัดทานด้วยความปวดใจ หย่งโจวนั้นพวกเขาคงทำอันใดมิได้แล้ว แทนที่จะทำตามแผนเดิม สู้พวกเขาอาศัยโอกาสช่วงที่กองทัพจากราชสำนักยังมาไม่ถึงยึดครองทางตอนใต้ของแม่น้ำเสียก่อนจะดีกว่า จะได้ไม่เป็นดังเช่นการใช้ตะกร้าสานตักน้ำแล้วสุดท้ายไม่เหลืออันใดเลย
เมื่อเห็นหลีอ๋องเดินไปเดินมาไม่หยุดแล้ว ในใจเสนาธิการทหารเริ่มนึกผิดหวัง เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ หลีอ๋องจิตใจโลเลไม่เด็ดขาด หากเป็นเพียงท่านอ๋องที่ร่ำรวยทั่วไปยังพอว่า แต่หากจะให้ปกครองใต้หล้ายังถือว่าขาดคุณสมบัติอีกมากนัก
ในขณะที่ม่อจิ่งหลีกำลังลังเลอยู่นั้นเอง ด้านนอกกระโจมมีทหารเอ่ยรายงานว่า “เรียนท่านอ๋อง ด้านนอกค่ายมีทูตจากแคว้นซีหลิงมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
“แคว้นซีหลิงหรือ” ม่อจิ่งหลีขมวดคิ้ว “พวกเขามาทำอันใด ให้เขาเข้ามา!”
ไม่นาน ชายวัยกลางคนท่าทางสง่าผ่าเผยดูจิตใจดีคนหนึ่งก็ถูกพาตัวเข้ามา “ข้าน้อยเหออู๋หยวนจากตำหนักเจิ้นหนานอ๋องแคว้นซีหลิง คารวะท่านหลีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เหออิงหลีหรือ” ม่อจิ่งหลีหรีตาลงเล็กน้อย เสนาธิการทหารที่ยืนอยู่ข้างกายเขา เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยว่า “สามทหารเสือแห่งเจิ้นหนานอ๋อง ท่านอิงหลีหรือ”
บุรุษวัยกลางคนระบายยิ้มน้อยๆ “ข้าน้อยเองพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีจ้องเขาพร้อมพูดว่า “ท่านเหอเป็นมือขวาของท่านเจิ้นหนานอ๋อง ที่จู่ๆ มาพบข้าที่นี่ ด้วยเหตุอันใดหรือ”
เหออู๋หยวนยิ้ม “ข้าได้รับพระบัญชามาจากท่านอ๋องและองค์รัชทายาท ให้มาเจรจาเป็นพันธิมตรกับท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นพันธมิตรหรือ” เสนาธิการทหารข้องใจ
เหออู๋หยวนยิ้ม “ได้ยินว่าหลีอ๋องยกทัพมาที่ทางตอนใต้ของแม่น้ำ ท่านอ๋องและองค์รัชทายาทของข้าน้อยเลื่อมใสในความกล้าหาญและความเก่งกาจของท่านอ๋อง เช่นเดียวกัน ท่านอ๋องน่าจะรู้ว่าตำหนักเจิ้นหนานอ๋องกับแคว้นซีหลิง มีความแค้นอันลึกซึ้งกับตำหนักติ้งอ๋อง ดังนั้นท่านอ๋องของข้าจึงมีรับสั่งให้ข้าน้อยมาช่วยเสริมทัพให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เมื่อถึงวันที่การของท่านอ๋องสำเร็จลุล่วงแล้ว รัชทายาทเจิ้นหนานอ๋องจะมาแสดงความยินดีกับการขึ้นครองบัลลังก์ของท่านอ๋องที่เขตหลิ่งโจวด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ม่อจิ่งหลีมองหน้าเขาพร้อมเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องและรัชทายาทของเจ้าต้องการสิ่งใด” มีได้ก็ต้องมีเสีย เรื่องนี้เขาเข้าใจเป็นอย่างดี
เหออู๋หยวนยิ้มพร้อมกล่าวว่า “แคว้นซีหลิงไม่ต้องการให้ท่านอ๋องต้องเสียอันใดทั้งสิ้น มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียว…คือติ้งอ๋องและกองทัพตระกูลม่อ ขาทั้งสองข้าของติ้งอ๋องกลับมาใช้งานได้แล้ว เชื่อว่าวันนี้ท่านอ๋องคงได้ทอดพระเนตรแล้ว ม่อซิวเหยามีจิตใจโหดเ**้ยมมาตั้งแต่อายุยังน้อย อายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีก็ทำศึกจนเกือบสิ้นชื่อแคว้นหนานจ้าว หลังจากหายหน้าไปเสียหลายปี มาวันนี้กลับปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เกรงว่าจะดุดันประหนึ่งเสือเพิ่งออกจากถ้ำจนมิมีผู้ใดสามารถาขวางได้ นายท่านของข้าน้อยเป็นห่วงความสงบเรียบร้อยของแคว้นซีหลิง ดังนั้นจึงคิดอยากจะเป็นพันธมิตรกับท่านอ๋อง เพื่อควบคุมพลังอำนาจของตำหนักติ้งอ๋อง ขอท่านอ๋องได้โปรดพิจารณาด้วย”
ม่อจิ่งหลีไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ถึงแม้เหออู๋หยวนจะบอกว่าอยากเป็นพันธมิตรกับตนเพื่อต่อต้านม่อซิวเหยา แต่ในคำพูดของเขากลับเต็มไปด้วยคำชื่นชมเยินยอม่อซิวเหยา จึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ม่อซิวเหยาพักรักษาตัวอยู่แต่ในตำหนักมาเป็นเวลาเกือบสิบปี อีกทั้งสมัยเด็กนั้นก็ได้ล่วงเลยมานานแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะเก่งกาจเช่นวันเก่า ท่านอย่าได้เอ่ยเกินจริงไปนักเลย”
เหออู๋หยวนมินึกโกรธ เพียงหัวเราะหึหึ “ไม่ว่าข้าน้อยจะกล่าวเกินจริงไปหรือไม่ ตำหนักติ้งอ๋องขึ้นชื่อเรื่องยอดแม่ทัพ ซึ่งมิได้กล่าวกันเพียงลอยๆ แต่ตัวม่อซิวเหยาเองก็ยังไม่เคยทำศึกพ่ายแพ้เลยแม้สักครั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องจริง”
“หรือว่าท่านเหอมีแผนการที่จะใช้ต่อกรกับม่อซิวเหยาหรือ” ม่อจิ่งหลีเลิกคิ้วขึ้นพร้อมเอ่ยวาจาเย้ยหยัน
เหออู๋หยวนหัวเราะ “ถึงแม้ข้าน้อยมิอาจรับประกันว่าจะสามารถเอาชนะติ้งอ๋องได้ แต่สามารถช่วยให้ท่านอ๋องขึ้นนั่งบัลลังก์ปกครองใต้หล้าได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“หือ” ม่อจิ่งหลีตาเป็นประกายเล็กน้อย สายตาที่กวาดมองเหออู๋หยวนมีแววใคร่ครวญขึ้นมาเล็กน้อย
เหออู๋หยวนมิได้ใส่ใจ เพียงยิ้มอย่างสบายๆ “ท่านอ๋องโปรดวางใจเถิด ติ้งอ๋องไม่มีทางที่จะรั้งอยู่ที่เขตหย่งโจวได้นานนัก ขอเพียงทำให้เขาเคลื่อนพลออกไปได้ อย่าว่าแต่ราชสำนักจะส่งกำลังพลมานับแสนนายเลย ต่อให้ส่งกำลังพลมาเป็นล้านนายก็ไม่สามารถขวางการขึ้นครองบัลลังก์ปกครองใต้หล้าของท่านอ๋องได้”
ม่อจิ่งหลีนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง “เชิญท่านเหอออกไปพักผ่อนก่อน ข้าต้องการใช้เวลาไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
เหออู๋หยวนมิได้เร่งร้อน พยักหน้ายิ้ม พร้อมกล่าว่า “ถ้าเช่นนั้น เชิญท่านอ๋องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนก่อน ข้าน้อยทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”