ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 99-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 99-1 ปรึกษาหารือกับตระกุลสวี
เยี่ยหลีนำเรื่องที่ได้ฟังจากชิงอวี้และชิงหลวนไปเล่าให้ม่อซิวเหยาฟัง ม่อซิวเหยาจึงสั่งคนให้ไปสืบเรื่องนี้โดยทันที ไม่ว่าคนที่ปลอมตัวเป็นม่อซิวเหยาจะเป็นผู้ใด หญิงสาวผู้นั้นไม่มีทางเป็นซูจุ้ยเตี๋ย มีคนต้องการใช้เรื่องนี้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองคน หรือบางทีอาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตำหนักติ้งอ๋องและตระกูลสวีก็เป็นได้
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้จะต้องรู้จักตำหนักติ้งอ๋องรวมถึงตัวม่อซิวเหยาเองดีพอสมควร ส่วนเรื่องที่ถูกคนตัวปลอมตัวเป็นเขานั้น ม่อซิวเหยามิได้เป็นกังวลเท่าไรนัก ด้วยเพราะบ่าวไพร่ของตำหนักติ้งอ๋อง แต่ไหนแต่ไรมาก็เชื่อฟังเพียงคำสั่ง ไม่เชื่อคน ถึงแม้จะไม่รวมท่านอ๋องและพระชายาอยู่ในนั้น แต่ทุกคนต่างรู้ว่า ติ้งอ๋องไม่เคยสั่งการบ่าวไพร่ข้ามหัวหัวหน้าพวกเขามาก่อน อีกอย่าง หากองครักษ์ลับเหล่านั้นยังดูไม่ออกว่าเป็นนายตัวจริงหรือตัวปลอม ก็คงไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว
กลับมาถึงเมืองหลวงได้วันที่สอง เยี่ยหลีก็ได้เดินทางไปเยี่ยมท่านลุงและท่านป้าสะใภ้ที่จวนตระกูลสวีด้วยตนเอง เรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหย่งหลินถึงแม้คนทั่วไปจะไม่รู้ แต่ไม่มีทางพ้นหูพ้นตาคนในวังและผู้มีอิทธิพลในเมืองหลวงทั้งหลายที่มีสายข่าวเป็นของตนเองได้ อีกทั้งในยามนี้สุขภาพของม่อซิวเหยาก็กลับมาแข็งแรงดีแล้ว ย่อมจำต้องกลับมารับผิดชอบหน้าที่ของตำหนักติ้งอ๋อง ดังนั้นเยี่ยหลีที่มีฐานะเป็นชายาติ้งอ๋องย่อมไม่จำเป็นต้องทำตัวอ่อนน้อมอีกต่อไป
เพียงก้าวเข้าไปในจวนสวี สวีชิงเหยียนก็พุ่งเข้าหาประหนึ่งลมหอบ จับมือเยี่ยหลีพูดนั่นพูดนี่มิได้หยุด สวีหงเยี่ยนที่เดินตามหลังเขาออกมาถึงกับเส้นเลือดบนหน้าผากเต้นไม่ได้หยุด “ชิงเหยียน!”
สวีชิงเหยียนชะงักไป หันมาทำตาหรี่ใส่เยี่ยหลีอย่างขอความช่วยเหลือ ก่อนหันไปส่งยิ้มเอาใจให้สวีหงเยี่ยน “ท่านอารอง ข้าเพียงแค่เห็นพี่หลีกลับมาแล้ว จึงดีใจเท่านั้น…”
สวีชิงเจ๋อเพียงเหลือบมองเขามิได้พูดอันใด สวีชิงป๋อปรายตามองเขาอย่างไม่เห็นขัน “หลีเอ๋อร์กลับมาแล้วพวกเราต่างก็ดีใจกันทั้งนั้น แต่ดูกิริยาเจ้าสิ ยังดีที่ไม่ได้อยู่ที่อวิ๋นโจว หากท่านปู่กับท่านพ่อเห็นเข้าคงได้ลงโทษเจ้าเป็นแน่” สวีชิงเหยียนหดคอ หันไปทำหน้าทะเล้นใส่พี่สี่
เมื่อเยี่ยหลีได้พบหน้าญาติพี่น้อง ในใจรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที อมยิ้มกล่าวว่า “ท่านลุงรอง พี่รอง พี่สี่พวกท่านอย่าโทษน้องห้าเลย ไม่ได้พบกันตั้งนานหลีเอ๋อร์เองก็ดีใจเช่นกัน”
สวีหงเยี่ยนมองสำรวจเยี่ยหลี แล้วจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดูท่าช่วงที่เจ้าไปอยู่เสียข้างนอกคงมิได้ลำบากอันใด สีหน้าดูดีกว่ายามที่อยู่ในเมืองหลวงเสียอีก”
สวีฮูหยินเดินเข้ามาจับมือเยี่ยหลีสอบถามนางด้วยความเป็นห่วง ทั้งนึกเห็นใจที่ต้องออกไปตกระกำลำบากที่ข้างนอก ทั้งเห็นว่านางผ่ายผอมลงไปไม่น้อย ต้องบำรุงให้ดีเสียหน่อย
สวีฮูหยินรู้ว่าพวกเขามีธุระต้องหารือกัน เมื่อจับมือเยี่ยหลีไปพูดคุยอยู่สามสี่ประโยคแล้วจึงได้หมุนตัวหลบไปสั่งการที่ห้องครัวให้จัดเตรียมอาหารกลางวัน เว้นช่องว่างให้สามีและบรรดาบุตรชายของนางได้พูดคุยกับเยี่ยหลี
เมื่อเข้าไปนั่งลงยังห้องหนังสือแล้ว ยังไม่ทันได้พูดอันใดสวีชิงเหยียนก็เอาแต่เดินวนไปมาไม่หยุด ก่อนหันมาทำตาโตมองเยี่ยหลี “พี่หลี ท่านไปรักษาเมืองหย่งหลินจริงๆ หรือ”
เยี่ยหลีเลิกคิ้วด้วยความตกใจ “แม้แต่เจ้าก็รู้หรือ ดูท่าข่าวจากชายแดนคงลือกันไปรวดเร็วไม่น้อย”
สวีชิงเหยียนโบกมือไปมา “พี่หลีท่านไม่รู้อันใด ข่าวบางเรื่องเวลาอยู่ภายนอกยังเป็นความลับ แต่แพร่มาถึงเมืองหลวงเมื่อใด ก็จะมิใช่ความลับอีกต่อไปแล้ว คนที่รู้เรื่องนี้มีอยู่ไม่น้อยเลย หลายวันก่อนมีคนมาเลียบๆ เคียงๆ สอบถามถึงข่าวคราวของพี่กับข้าด้วยนะ หึ! คิดว่าคุณชายอายุน้อยอย่างข้าจะให้หลอกได้ง่ายๆ หรือ”
สวีเชิงเจ๋อพยักหน้า หันมองเยี่ยหลี “น้องห้าพูดถูก สายข่าวที่ส่งไปสืบยังด่านซุ่ยเสวี่ยมีไม่มากนัก ทว่าในเมืองหลวงกลับซ่อนความลับอันใดไว้ไม่ได้”
เยี่ยหลีโบกมือ “เรื่องนั้นก็ช่างเถิด เรื่องนี้ข้าปรึกษากับท่านอ๋องแล้ว เดิมทีเรื่องที่ชายาติ้งอ๋องสามารถสั่งเคลื่อนพลเฮยอวิ๋นฉีได้นั้นก็มิใช่ความลับอันใด ที่ข้าไปเมืองหย่งหลินและอยู่ในสนามรบด้วยนั้น ต่อให้อยากปิดก็คงปกปิดไว้ไม่ได้ ต่อให้ผู้อื่นรู้ก็ไม่เป็นอันใดเจ้าค่ะ”
สวีหงเยี่ยนขมวดคิ้วกว่าวว่า “ความหมายของท่านอ๋องคือ…” เขามองหลานสาวที่มีรูปโฉมงดงามคล้ายคลึงกับน้องสาวของเขาอยู่หลายส่วนด้วยความไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจความหมายนั้นถูกหรือไม่ เพราะถึงอย่างไร ถึงแม้ในประวัติศาสตร์ตำหนักติ้งอ๋องล้วนไม่ชื่นชอบการปฏิบัติต่อพระชายาเยี่ยงสตรีที่บอบบาง ไม่ว่านางจะมีชาติกำเนิดที่สูงส่งเพียงใดก็ตาม เพียงแต่พระชายาที่ได้รับสิทธิในการควบคุมทหารของตำหนักติ้งอ๋องจริงๆ มีเพียงท่านหญิงชิงอวิ๋นเมื่อร้อยปีก่อนเท่านั้น หากติ้งอ๋องจะให้หลีเอ๋อร์…ถึงแม้ตนจะนึกยินดีที่ติ้งอ๋องให้ความสำคัญและเชื่อใจในหลานสาวของตน ทว่าสวีหงเยี่ยนกลับรู้สึกเป็นกังวลในความเชื่อใจของเขา เมื่อใดก็ตามที่เยี่ยหลีได้รับสิทธิ์ในการควบคุมกองกำลังทหารของตำหนักติ้งอ๋อง หลีเอ๋อร์ก็จะไม่เป็นเพียงพระชายาธรรมดาอีกต่อไป ถึงตอนนั้นเรื่องที่นางต้องเผชิญเกรงว่าคงมิใช่เรื่องที่คนเป็นลุงอย่างเขาจะสามารถช่วยเหลือได้
เยี่ยหลีหันมองสวีหงเยี่ยน เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หลีเอ๋อร์เข้าใจความกังวลของท่านลุงดีเจ้าค่ะ เพียงแต่…ตั้งแต่วันเสกสมรสใหญ่เป็นต้นมา หลีเอ๋อร์ก็ถูกผูกไว้กับติ้งอ๋องแล้ว เรื่องบางเรื่องหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นก็เงยหน้ารับเลยจะดีกว่า สองหัวอย่างไรก็ดีกว่าหัวเดียวนะเจ้าคะ”
สวีหงเยี่ยนอดถอนใจออกมาไม่ได้ หลายวันนี้ถึงแม้เวลาอยู่ในท้องพระโรงฝ่าบาทจะมิได้มีท่าทีอัน ใด แต่ก็มิใช่ว่าตนจะดูไม่ออก ตั้งแต่หลีอ๋องเคลื่อนพลก่อกบฏ ฝ่าบาทเลื่อนตำแหน่งให้คนตระกูลหลิ่ว ตระกูลหวัง และตระกูลอวิ๋นมาโดยตลอด เรียกได้ว่าที่ฝ่าบาททำเช่นนี้เพื่อลดบทบาทขุนนางฝ่ายหลีอ๋องและขุนนางที่เคยอยู่ฝ่ายตำหนักติ้งอ๋องในอดีตลงอย่างไม่คิดปิดบัง
หลายปีนี้ฝ่าบาทให้วางขุนนางที่เป็นคนของพระองค์ไว้ตามกรมต่างๆ ทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้ง มาวันนี้ตระกูลหวังและตระกุลอวิ๋นผงาดขึ้นมามีอำนาจแทนที่ตระกูลเยี่ย และอาจถึงขั้นเหนือกว่าตระกูลฮว่า ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ตระกูลหลิ่ว หวังและอวิ๋นทั้งสามตระกูลนี้ไม่รู้ลอบเป็นพวกเดียวกันอย่างลับๆ ตั้งแต่เมื่อใด เดิมทีตระกูลที่ทรงอำนาจสามตระกูลนี้แยกกันอยู่ ก็ไม่สะดุดตาเท่าไรนัก แต่เพียงชั่วพริบตา ทั้งสามกลับเรืองอำนาจขึ้นมา หากว่าที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เพียงเพื่อต้องการรับมือหลีอ๋องแล้ว เกรงว่าสวีชิงเหยียนคงยากที่จะทำใจเชื่อได้ สวีหงเยี่ยนเองก็ย่อมมองออก ฝ่าบาทไม่เคยเห็นน้องชายของพระองค์อยู่ในสายพระเนตรอยู่แล้ว เป้าหมายเดียวของพระองค์มีเพียงตำหนักติ้งอ๋องเท่านั้น
สวีชิงเจ๋อที่ใบหน้าเรียบเฉยอยู่เป็นนิจ แต่ยามเขาหันมองเยี่ยหลี สายตากลับอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “หากหลีเอ๋อร์คิดว่าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ จะรับมาก็ไม่เป็นอันใด”
สวีหงเยี่ยนได้แต่พยักหน้า หันมองเยี่ยหลีด้วยความเอ็นดู “จดหมายที่ท่านลุงใหญ่ของเจ้าส่งมาเมื่อหลายวันก่อนก็ได้บอกไว้แล้ว ในเมื่อเจ้าสามารถนำทัพไปปรากฏตัวที่หย่งโจวได้ ท่านลุงใหญ่ของเจ้าก็น่าจะเดาความตั้งใจของติ้งอ๋องได้ เพียงแต่ต่อไปเจ้าจะต้องระมัดระวังตัวเองให้ดี ตระกูลของพวกเรานอกจากพี่สามของเจ้าแล้ว ทุกคนต่างศึกษาเล่าเรียนอยู่แต่กับตำรา เกรงว่าคงช่วยอันใดเจ้าไม่ได้”
สวีหงเยี่ยนมิใช่ขุนนางสายบู๊ แต่มิได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจเรื่องการทหาร ขุนนางสายบู๊กับขุนนางสายบุ๋นนั้นต่างกัน โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่ที่ออกไปทำศึก พวกเขาไม่สนใจเรื่องฐานะ หากไม่สามารถพูดให้พวกเขายอมทำตามได้ ต่อให้เป็นพระธิดาของฮ่องเต้ พวกเขาก็ไม่มีทางเชื่อฟังคำสั่ง
เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มบางๆ พร้อมเอ่ยว่า “ท่านลุงรองวางใจเถิดเจ้าค่ะ ครานี้เมื่อยามที่อยู่หย่งโจว ท่านอ๋องได้ยกนายทหารที่พอใช้ได้ของแม่ทัพมู่หรงให้ข้า กับหัวหน้าหน่วยเฮยอวิ๋นฉีที่รักษาการเมืองหย่งหลินมาด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นคนคุ้นมือกัน จึงไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้มากนัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ไว้ถึงเวลาค่อยว่ากันก็ยังได้เจ้าค่ะ มิต้องรีบร้อนในเวลานี้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้คิ้วขมวดของสวีหงเยี่ยนจึงค่อยคลายลง พยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องช่างรอบคอบนัก”
สวีชิงเหยียนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หากรู้แต่แรกว่าพี่หลีสามารถบัญชาการกองทัพตระกูลม่อได้ พี่สามคงมิต้องดิ้นรนไปอยู่ค่ายทหารด้วยตนเอง มาอยู่กับพี่หลีเสียก็หมดเรื่อง”
สวีหงเยี่ยนถลึงตาใส่เขา “เหลวไหล เจ้าเด็กชิงเฟิงนั่น ถ้าอยู่ในกองทัพแล้วไม่มีอนาคตจะไม่เท่ากับมาถ่วงหลีเอ๋อร์หรือ หากเขาอยู่แล้วมีอนาคต อยู่ที่ใดก็เหมือนกันมิใช่หรือ” สวีชิงเหยียนกะพริบตาปริบ “ข้าเพียงคิดว่า ถึงอย่างไรพี่สามก็เป็นคนในครอบครัว พี่หลีจะได้วางใจได้หน่อยขอรับ”
เยี่ยหลียิ้ม “หากจะพูดเรื่องนี้กันยามนี้ก็ดูจะเร็วไปเสียหน่อย ตอนนี้ข้ายังไม่มีอำนาจจัดการกองทัพตระกุลม่อ อีกอย่าง ด้วยนิสัยของพี่สาม หากรู้ว่าที่ได้เข้ากองทัพตระกูลม่อเพราะข้า เกรงว่าคงรีบหนีไปตั้งแต่หัววันเลยทีเดียว เขาน่าจะอยากสร้างชื่อด้วยตนเองเสียมากกว่า”
เมื่อคิดถึงนิสัยของบุตรชายผู้นั้นของตน สวีหงเยี่ยนก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ เอ่ยพูดกับเยี่ยหลีด้วยอย่างจริงใจว่า “ถึงแม้ท่านอ๋องจะไว้ใจเจ้า แต่เจ้าต้องจำไว้ว่า เรื่องบางเรื่องต้องแยกออกจากเรื่องส่วนตัวให้ได้ ที่ต้องหลีกเลี่ยงที่สุดคือ อย่าให้พระญาติทางฝ่ายฮองเฮามีอำนาจจนเกินไปนัก หลีเอ๋อร์เข้าใจหรือไม่”
เยี่ยหลีอบอุ่นใจขึ้นทันที พยักหน้ารับ “หลีเอ๋อร์เข้าใจเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านลุงที่สั่งสอน”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีรับฟังสิ่งที่ตนสอน จึงพยักหน้าน้อยๆ ด้วยความพอใจ พร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ หลีเอ๋อร์ไม่เหมือนกับน้องสาวของตนที่ฉลาดเฉลียวแต่อ่อนแอของตนเลยจริงๆ ถึงแม้หลีเอ๋อร์จะมิได้แซ่สวี แต่เขากลับรู้สึกภาคภูมิใจและยินดีประหนึ่งเป็นบุตรสาวในตระกูลของตน เชื่อว่าหากท่านพ่อได้เห็นหลีเอ๋อร์ในยามนี้ คงจะรู้สึกยินดียิ่งเช่นกัน