ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 224-1 กลุ่มคนที่ทหารใหม่หน่วยกิเลนจับกุมได้
แค่เพียงชั่วระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน กระดาษแผ่นที่ว่ากันว่าเป็นแผนที่สมบัติลับแห่งราชวงศ์ก่อนก็กระจายไปทั่วทั้งซีเป่ย เรียกได้ว่าในมือคนที่พอมีอิทธิพลและมีความสามารถอยู่บ้าง ล้วนมีกันคนละหนึ่งชุด แน่นอนว่าในห้องหนังสือของตำหนักติ้งอ๋องเองก็พลาดไม่ได้ที่จะมีแผนที่สมบัติลับชุดนั้นวางอยู่ด้วยเช่นกัน
ม่อซิวเหยาเพียงปรายตามองแผนที่สมบัติลับเล็กน้อย ก่อนเมินหน้ากลับโยนไปให้เฟิ่งจือเหยาที่อยู่ข้างๆ เพียงแค่ดูท่าทางของม่อซิวเหยา เขาก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าแผนที่สมบัติลับแผ่นนี้ มีความเป็นไปได้ถึงแปดส่วนที่จะไม่ใช่ของจริง แต่หานหมิงซีกลับสนใจสิ่งนั้นเป็นอย่างมาก
หานหมิงซียื่นมือไปดึงกระดาษแผ่นนั้นจากมือเฟิ่งจือเหยามาพินิจดูโดยละเอียด เขาเพิ่งโดนม่อซิวเหยาไถเงินไปหลายหมื่นตำลึง กำลังปวดใจอยู่พอดี จำเป็นต้องมีรายได้ก้อนใหญ่มาชดเชย
เขาย่นคิ้วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหานหมิงซีจะขมวดคิ้วเอ่ยว่า “นี่มิใช่จุดที่พระชายาตกหน้าผาไปนั่นหรือ”
ถึงแม้แผนที่จะวาดไว้เพียงหยาบๆ แต่หานหมิงซีเป็นคนทำการค้า จึงมักเดินทางไปต่างถิ่นบ่อยๆ เพียงตั้งใจดูโดยละเอียดไม่นาน ก็มองออกว่าจุดที่ทำเครื่องหมายอยู่บนแผนที่นั้นคือที่ใด
เยี่ยหลีกับม่อซิวเหยาต่างไม่คิดว่าถานจี้จือจะเอาแผนที่สมบัติลับของจริงมาให้ ตำแหน่งนั้นก็คือสุสานหลวงที่ท่านหมอหลินพาเยี่ยหลีเดินไปนั้นเอง ถึงแม้ที่นั่นจะไม่มีแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นและสมบัติของปฐมฮ่องเต้ แต่นั่นก็คงถือได้ว่าเป็นสุสานหลวงที่แท้จริงอันหนึ่งกระมัง หากจะว่าที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อลวงคนเหล่านั้นที่จับจ้องเขาอยู่ เช่นนั้นสิ่งที่เขาต้องเสียไปนี้ก็ดูจะมากเกินไปสักหน่อย
ม่อซิวเหยาระบายยิ้มเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะสนใจไปไยว่าเขาคิดจะทำสิ่งใด เมื่ออยู่ในซีเป่ยแล้ว เขาจะยังพลิกฟ้าหนีไปได้อีกอย่างนั้นหรือ หานหมิงซี หากเจ้าสนใจ จะตามไม่ร่วมวงกับเขาด้วยก็ได้นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาหานหมิงซีก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เขาเองก็รู้ว่า เยี่ยหลีเคยเข้าไปในสุสานหลวงแห่งนั้นมาก่อน จึงรีบหันมองไปทางเยี่ยหลี
เยี่ยหลียิ้ม “ด้านในมีของมีค่าอยู่ไม่น้อยจริงๆ ถือได้ว่าเป็นสุสานหลวงที่ไม่เลวทีเดียว แต่หากจะพูดถึงเรื่องสมบัติลับ…ก็น่าจะขาดไปอยู่สักเล็กน้อย”
หานหมิงซีเข้าใจในทันใด ว่าที่นั่นเป็นสุสานของฮ่องเต้แห่งหนึ่ง แต่มิใช่ที่ที่มีสมบัติลับในตำนาน เพียงแต่เรื่องนั้นก็ช่างมันเถิด ในสุสานของฮ่องเต้อย่างไรก็มีของมีค่าอยู่มากนัก แล้วหานหมิงซีก็ไปวุ่นวายอยู่กับการแย่งชิงสมบัติในสุสานหลวงกับผู้มีอิทธิพลที่มาจากแต่ละพื้นที่
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ถานจี้จือที่ถูกคนตามล่าทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างลับๆ ก็กลับพาตนเองมาหาพวกเขาถึงที่
เมื่อได้พบเยี่ยหลีและม่อซิวเหยาอีกครั้ง ความถือดีบนใบหน้าของถานจี้จือก็หายไปหลายส่วน เมื่อเห็นทั้งสอง ก็ก้าวเข้าไปคารวะด้วยความเคารพ
เยี่ยหลีอมยิ้มเอ่ยถามว่า “ไม่ได้พบกันเสียนาน คุณชายถานสบายดีหรือไม่”
ถานจี้จือยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนเล้กน้อย หันมองเยี่ยหลีแล้วเอ่ยว่า “ไยพระชายาจึงต้องถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว”
ที่เห็นถานจี้จือผ่ายผอมและดูเหนื่อยล้านั้น เยี่ยหลีไม่นึกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย นางยังคงระบายยิ้มเช่นเก่า “เรื่องที่เกิดขึ้นช่วงที่ผ่านมา ข้ากับท่านอ๋องได้ยินกันมาหมดแล้ว ลำบากคุณชายถานแล้วจริงๆ”
ถานจี้จือรู้สึกเหมือนมีอันใดแล่นขึ้นมาจุกที่อก จะดันลงไปก็ไม่ได้ จะระบายออกมาก็ระบายไม่ออก สีหน้าจึงเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว พักใหญ่ถึงได้พอหายใจสะดวก หันไปประสานมือให้ทั้งสองแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ที่ข้าน้อยมาขอพบ ก็ด้วยเพราะจะมารับซูม่านหลินไปจากซีเป่ยตามที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องกับพระชายาวางแผนปล่อยตัวนางไว้เช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม “เมื่อไรก็ได้ ท่าทางของคุณชายถานประหนึ่งเห็นว่าพวกเราจะกลืนน้ำลายตนเองอย่างนั้นล่ะ ข้าเองเคยบอกแล้วว่า ยามนี้องค์หญิงอันซียังอยู่ที่ซีเป่ย หากธิดาเทพแห่งหนานเจียงจะรีบร้อนไปจากซีเป่ยนั้นมิใช่เรื่องปลอดภัย แต่ในเมื่อคุณชายถานยืนยันที่จะทำเช่นนั้น ข้าเองก็ไม่อยากพูดอีก เพียงแต่หลังจากที่ธิดาเทพแห่งหนานเจียงออกไปจากตำหนักติ้งอ๋องแล้ว ความปลอดภัยของนาง รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น จะถือว่าไม่เกี่ยวข้องอันใดกับตำหนักติ้งอ๋องอีก”
ถานจี้จือเอ่ยเสียงขรึมว่า “ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ เยี่ยหลีก็นึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง โบกมือให้ฉินเฟิงไปนำตัวซูม่านหลินออกมา
ไม่นาน ซูม่านหลินก็ถูกพาตัวเข้ามายังห้องหนังสือ เพียงเห็นหน้าถานจี้จือ นางก็พุ่งตัวเข้าสู่อ้อมแขนของเขาทันที ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียยกใหญ่
ถานจี้จือก้มลงมองสำรวจนาง ถึงแม้จะดูผ่ายผอมลงไปเล็กน้อย แต่ก็ยังดูออกว่านางมิได้รับความลำบากอันใด ตำหนักติ้งอ๋องมิได้สร้างความลำบากอันใดให้กับซูม่านหลิน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาถึงได้เบาใจลง
เขาดึงซูม่านหลินมาเตรียมจะขอตัวลากลับ “ขอบพระคุณท่านอ๋องและพระชายามาก ข้าน้อยขอตัวเลยก็แล้วกัน”
เยี่ยหลีระบายยิ้ม เพียงเอ่ยเบาๆ ว่าไม่ส่ง แล้วก็ให้คนนำตัวทั้งสองออกไป
ด้วยเพราะคนจำนวนไม่น้อยต่างดาหน้ากันไปยังละแวกสุสานหลวง เมืองหลีจึงสงบเรียบร้อยขึ้นอย่างหาได้ยากนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เยี่ยหลีถึงได้พอมีเวลาออกจากเมืองเดินทางไปตรวจตรายังสถานที่ที่หน่วยกิเลนประจำการอยู่
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยหลีออกจากเมืองนับตั้งแต่นางกลับมาถึงเมืองหลี จุดที่หน่วยกิเลนยึดเป็นสถานที่ปักหลักอยู่นั้น คือหุบเขาลึกลับที่อยู่ห่างจากเมืองหลีไปสามสิบลี้ ซึ่งสร้างขึ้นเลียนแบบสถานที่ฝึกที่นางสร้างขึ้นใกล้กับเมืองหลวงเมื่อคราแรก แต่มีขนาดที่ใหญ่โตโอฬารกว่าเล็กน้อย รายการฝึกฝนก็ดูจะมากขึ้นไม่น้อยเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่ฉินเฟิงกับพวกจั๋วจิ้งและหลินหานคิดกันขึ้นมาทั้งสิ้น
พวกฉินเฟิงกับจั๋วจิ้งเดินทางเข้าไปในหุบเขาพร้อมกับเยี่ยหลี เมื่อเข้าไปก็เห็นพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ บนลานนั้นมีนายทหารจำนวนหลายร้อยนายกำลังยืนเรียงแถวกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ มือขวายกขึ้นเสมออก ทำความเคารพนางกันอย่างพร้อมเพรียง “คารวะพระชายา!”
เยี่ยหลีทอดสายตามองไป ก็เห็นสวีชิงเฟิงที่ยืนอยู่หน้าสุดของแถวหนึ่งทันที เขาอยู่ในชุดสีเทาเช่นเดียวกับหน่วยกิเลนคนอื่นๆ ใบหน้าที่เคร่งขรึม อดยิ้มน้อยๆ ออกมาไม่ได้
“ไม่ต้องมากพิธี” เยี่ยหลีเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงกลาง สายตาที่มองหน่วยกิเลนจำนวนหลายร้อยนายที่ยืนอยู่อย่างผึ่งผาย เต็มไปด้วยความปิติยินดี “วันนี้ การฝึกฝนของทุกท่านตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาจะสิ้นสุดลง ณ บัดนี้ และเช่นเดียวกัน บททดสอบสุดท้ายก็จะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้ ทุกท่านมีความมั่นใจหรือไม่”
“มีพ่ะย่ะค่ะ” ทุกคนตะโกนขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ “ดีมาก ยามนี้ข้าขอสั่งว่า โจทย์ในการทดสอบครานี้คือ… หนึ่ง ออกเดินทางไปทางตะวันตก หนึ่งร้อยยี่สิบลี้ โดยพรุ่งนี้เช้ายามห้า ทั้งหมดจะต้องเดินทางถึงที่หมาย สอง ให้จุดหมายนั้นเป็นศูนย์กลาง ในรัศมีสิบลี้ จะต้องจับคนที่มิใช่ชาวบ้านของซีเป่ยและโจรผู้ร้ายมาให้ได้ทั้งหมด หากมีผู้ใดขัดขืน สามารถสังหารได้ทันที สาม คนที่จับมาได้ทุกคนจะต้องจับเป็นและห้ามมีการทำร้ายร่างกายใดๆ ทั้งสิ้น อีกเดี๋ยวจะแจกใบรายชื่อให้กับทุกคน ทั้งหมดแบ่งกลุ่มกันปฏิบัติภารกิจ หากคนใดคนหนึ่งในกลุ่มไม่ผ่านการทดสอบ จะถือว่าทั้งกลุ่มไม่ผ่านทันที เข้าใจหรือไม่”
“ข้าน้อยรับบัญชา!” หน่วยกิเลนทั้งหมดประสานเสียงตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง นัยน์ตาทุกคนเป็นประกายแห่งความตื่นเต้นและกระตือรือร้น
กว่าครึ่งปีที่พวกเขาอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ต้องเผชิญกับการฝึกสารพัดรูปแบบที่ไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน มาวันนี้พวกเขาจึงยิ่งตื่นเต้น อยากออกไปลองดูว่า ตนเองแข็งแกร่งขึ้นสักเพียงใด
เยี่ยหลีพยักหน้าด้วยความพอใจ เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ขอให้ทุกท่านผ่านไปได้อย่างราบรื่น”
ฉินเฟิงก้าวออกมา แจกจ่ายอุปกณ์และอาวุธต่างๆ ที่หน่วยกิเลนแต่ละคนจำเป็นต้องใช้ เขามองผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คำสั่งของพระชายา พวกเจ้าทุกคนฟังไว้ให้ดี อีกอย่าง ข้าขอเสริมกฎอีกข้อหนึ่ง คนที่จับหรือทำร้ายชาวบ้านผิดคน ต้องออกจากการทดสอบ! ทำร้ายเป้าหมายของภารกิจ ต้องออกจากการทดสอบ! ปล่อยให้เป้าหมายหนีไปได้ ต้องออกจากการทดสอบ! ไปได้!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ” หน่วยฉีหลินเอ่ยรับคำเสียงดังฟังชัด จากนั้นก็แบ่งกันออกเป็นกว่าสิบกลุ่มเล็ก และต่างมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางของตน
คณะของเยี่ยหลียืนอยู่กับที่มองพวกเขาค่อยๆ หายไปจากหุบเขา
จั๋วจิ้งขมวดคิ้วเอ่ยว่า “พระชายา ตามที่องครักษ์ลับรายงานมา คนที่รวมตัวอยู่ในละแวกสุสานหลวงมีอย่างน้อยเกือบหนึ่งพันคน เราส่งคนไปเพียงจำนวนเท่านี้ ไหวหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีหันไปหาเขา อมยิ้มมองจั๋วจิ้ง “ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ถือว่าผ่านการฝึกโดยสมบูรณ์ แต่เมื่อเทียบกับการฝึกของพวกเขาก่อนหน้านี้ นี่ก็ถือว่ามากกว่าไม่น้อยแล้ว จั๋วจิ้งไม่เชื่อมั่นในพวกเขาหรือ ฉินเฟิง เจ้าว่าอย่างไร”
ฉินเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากเรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ ข้าน้อยยอมไล่พวกเขาทั้งหมดกลับไปและเลือกคนมาฝึกใหม่อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ พระชายาโปรดวางใจ ข้าน้อยรับประกันว่า เด็กหนุ่มเหล่านี้จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
เยี่ยหลีพยักหน้า “ดีมาก เช่นนั้นพวกเราก็ตามไปกันเถิด ไปดูซิว่าผลการฝึกที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง”
บริเวณละแวกหงโจวที่โอบล้อมไปด้วยทิวเขาแห่งหนึ่ง หลายวันนี้เรียกได้ว่าครึกครื้นเสียยิ่งกว่าเมืองหลีมากนัก ถึงแม้จู่ๆ ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่ผ่านไปผ่านมามารวมตัวกัน แต่คนจำนวนมากก็รู้ว่ามีบางสิ่งทะแม่งๆ และตนคงถูกถานจี้จือหลอกเข้าให้เสียแล้ว แต่มนต์เสน่ห์เย้ายวนแห่งแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้น ก็ทำให้คนจำนวนมากยากจะยั้งใจไว้ได้
เดิมทีทุกคนก็เพียงลอบค้นหาอย่างลับๆ ต่างสนใจแต่เรื่องของตนเอง ไม่ยุ่งวุ่นวายเรื่องของผู้อื่น แต่อยู่มาบ่ายวันหนึ่ง ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่หาทางเข้าสุสานหลวงจนพบในที่สุด และจุดนี้เองถึงได้เป็นจุดเริ่มต้นของความครึกครื้นที่แท้จริง
น่าจะด้วยเพราะรู้เรื่องเกี่ยวกับสุสานหลวงกันมาแต่แรกแล้ว ครานี้ทุกคนที่มา จึงต่างพกพาโจรขุดสุสานฝีมือดีกันมาด้วยไม่น้อย ดังนั้นการที่ทางเขาสุสานหลวงบริเวณหงโจวถูกค้นพบได้นั้น ก็คงมิใช่เรื่องแปลกอันใด เพียงแต่ทางเข้าบริเวณหงโจวนี้ เดิมทีใช้เป็นเพียงทางออก ไม่ใช่ทางเข้าอยู่แล้ว หากคิดจะฝืนพังปากประตูเข้าไป เวลาและกำลังคนที่ต้องใช้นั้นคงไม่ต้องพูดถึง และหากไม่ระวังเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ทางเดินของทั้งสุสานหรือแม้แต่วังใต้ดินทั้งหมดพังถล่มลงมาได้ ถึงยามนั้น คงจะได้ไม่คุ้มเสีย ดังนั้นทุกคนที่มาจึงไม่มีผู้ใดรีบร้อน และถึงขั้นดูจะร่วมแรงร่วมใจกันจัดการกับปากทางเข้านั้นอีกด้วย
หานหมิงซีมิได้เข้าไปร่วมผสมโรงด้วย ผู้ใดต่างก็รู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักติ้งอ๋อง ต่อให้เขาอยากเข้าไปผสมโรงด้วยเพียงใด แต่คนอื่นๆ ก็คงไม่ต้อนรับ ดังนั้นเขาจึงให้ลูกน้องสามสี่คนที่พอเอาเรื่องเอาราวตามดูอยู่ห่างๆ และเตรียมพร้อมหากเมื่อสบโอกาสก็จะเข้าไปขอมีส่วนแบ่งด้วยสักเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไร สุสานหลวงที่ใหญ่โตโอฬารเช่นนั้น คนพวกนี้คงไม่มีทางขนไปจนเกลี้ยงได้หรอกกระมัง
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หานหมิงซีนึกสงสัยอยู่ในใจลึกๆ ต่อให้ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองหลีอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ท่านอ๋องกับพระชายา ก็ไม่มีทางที่จะไม่รับรู้ถึงสถานการณ์ในที่นี้เลยแม้แต่น้อยหรอกกระมัง นี่ถึงขั้นปล่อยภูเขาทองคำลูกนี้ให้กับคนกลุ่มนี้ไปเสียเฉยๆ ช่างดูไม่สมกับเป็นติ้งอ๋องและดูไม่เหมือนนิสัยของเขาเอาเสียเลย
“พี่ใหญ่ เรื่องนี้ท่านคิดเห็นเช่นไร” เมื่อเรียกสติกลับมาได้ หานหมิงซีจึงหันไปเอ่ยถามหานหมิงเย่ว์ที่อยู่ข้างๆ ตน
ตั้งแต่ซูจุ้ยเตี๋ยตายไป หานหมิงเย่ว์ก็ดูจะทำใจไม่ได้ ด้วยเพราะม่อซิวเหยาและเยี่ยหลีเห็นแก่หน้าหานหมิงซี จึงคร้านที่จะสนใจเขา ปล่อยให้หานหมิงซีเป็นคนดูแลเขาแทน ไม่ว่าจะด้วยเพราะหานหมิงซีเห็นแก่ความเป็นพี่น้องกับชีวิตของหานหมิงเย่ว์ หรือเพื่อความปลอดภัยของคนตระกูลหาน แต่เขาก็คอยดูแลหานหมิงเย่ว์อย่างดี ไม่ปล่อยให้เขาไม่สร้างเรื่องอีก
หลายวันนี้ หานหมิงเย่ว์อยู่แต่ในจวนหานหมิงซีตลอด ปิดประตูไม่ออกไปไหนมาไหน เขามองดูแล้วขาวซีดประหนึ่งซากศพที่เดินได้กระนั้น ไม่เหลือเค้าลักษณะท่าทางและเสน่ห์อย่างคุณชายหมิงเย่ว์เมื่อในวันวานเลยแม้แต่น้อย
หานหมิงซีทนดูต่อไปไม่ได้ ครานี้เรื่องสุสานหลวงอย่างไรก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา ดังนั้นเขาจึงลากหานหมิงเย่ว์ออกไปร่วมด้วย
แต่ไม่รู้ว่าเพราะไม่ได้ยินที่หานหมิงซีถามหรืออย่างไร สายตาหานหมิงเย่ว์เพียงขยับเล็กน้อยแต่มิได้ตอบคำถามเขา
ยามนี้หานหมิงซีเองก็มิได้คาดหวังจะได้คำชี้แนะหรือตักเตือนอันใดจากพี่ชายของตนอยู่แล้ว เขาหวังเพียงว่า พี่ใหญ่จะไม่สร้างเรื่อง และใช้ชีวิตของตนเองให้ดี ก็ถือว่าเขาสู้หน้าพี่ใหญ่ที่มีบุญคุณคอยเลี้ยงดูสั่งสอนและสู้หน้าบรรพบุรุษทั้งหลายของตระกูลหาบริเวณกำแพงหินแห่งหนึ่งภายในหุบเขา มีเสียงตะโกนร้องด้วยความยินดีดังลอยมา “เปิดแล้ว! เปิดออกแล้ว!”
ผู้คนที่รายล้อมอยู่ในหุบเขาต่างพากันยินดี ถึงแม้จะค้นพบทางเข้านี้มาได้หลายวัน แต่ต่อให้มีนักขุดสุสานและนักสร้างสุสานฝีมือดีจำนวนมากมารวมตัวกัน พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าจะเปิดทางเข้าสุสานหลวงได้โดยไม่ทำให้อันใดเสียหาย
พวกเขาอยู่กันที่ด้านนอก อย่างไรก็มิอาจคาดเดาได้ว่าค่ายกลภายในจะเป็นเช่นไร หากไม่ระวังเพียงเล็กน้อยอาจทำให้ทางเดินภายในสุสานพังครืนลงมาเลยก็เป็นได้ ถึงเวลานั้น สิ่งที่พวกเขาต้องขุดคงมิใช่เพียงแค่ทางเข้า แต่อาจเป็นภูเขาทั้งลูก หรือถึงขั้นเป็นภูเขาหลายลูกเลยก็เป็นได้ โชคดีที่สุดท้ายแล้ว มีคนคิดที่จะเปิดทางเข้าโจรจากด้านข้างเข้าไป จนแน่ใจได้ว่าค่ายกลภายในเป็นเช่นไรและอยู่ตรงจุดใด ถึงสามารถเปิดประตูทางเข้าสุสานหลวงที่ซุกซ่อนมาหลายร้อยปีเข้าไปได้
เช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์แล้วว่า ถานจี้จือมิได้หลอกพวกเขา แผนที่สมบัติลับที่ให้มานั้นเป็นแผนที่สมบัติลับของสุสานหลวงจริงๆ
ใบหน้าของคนที่ออกมาจากด้านในเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เป็นสุสานหลวงจริงๆ วังใต้ดินอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกไกลนัก สุสานหลวงแห่งนี้กว้างใหญ่ยิ่งนัก รีบไปรายงานนายท่านเร็ว!”
ไม่นาน ผู้คนจากทุกหนแห่งก็มาออกันอยู่เต็มไปหมด ไม่มีผู้ใดยอมต่อท้ายผู้ใดทั้งสิ้น
เหลยเถิงเฟิงขมวดคิ้วมองทางเข้าตรงหน้า เอ่ยถามว่า “ที่นี่คือทางเข้าสุสานหลวงของอดีตปฐมฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นอย่างนั้นหรือ จะไม่ดูเล็กไปหน่อยหรือ”
มีคนจากฝูงชนคนหนึ่งก้าวขึ้นมาเอ่ยว่า “ซื่อจื่ออาจจะยังไม่รู้ สุสานแห่งนี้ไม่เหมือนกับสุสานหลวงที่อื่นๆ เดิมทีมิได้คิดที่จะให้ทายาทรุ่นหลังเข้ามากราบไหว้บูชาแต่แรกแล้ว ดังนั้นทางเข้าถึงได้มาอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะเตรียมไว้เพื่อกันโจรปล้นสุสาน อีกอย่าง ทีนี่น่าจะมิใช่ทางเข้าเพียงทางเดียว จากที่ข้าน้อยคาดการณ์ดู จากที่นี่ไปถึงใจกลางพระราชวังใต้ดิน อย่างน้อยๆ ก็ห่างไปอีกสิบลี้”
เหลยเถิงเฟิงถึงได้พยักหน้า ก่อนปรายตามองไปยังองค์ชายเจ็ดและรัชทายาทแห่งเป่ยหรง รวมถึงหลีอ๋องแห่งต้าฉู่ ม่อจิ่งหลี แล้วคิ้วคมก็อดขมวดมุ่นเข้าหากันไม่ได้
เดิมที่ยังคิดว่าตนได้แผนที่สมบัติลับมาอย่างลับๆ แต่เมื่อหาจนพบถึงได้รู้ว่า ทุกคนต่างมีแผนที่สมบัติลับกันคนละชุด ยามนั้นเหลยเถิงเฟิงก็รู้ทันทีว่า พวกเขาคงโดนถานจี้จือเล่นเสียแล้วถึงแปดส่วน แต่แผนที่สมบัติลับนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นของจริง และพวกเขาก็หาสถานที่นั้นพบแล้ว หรือว่า…ถานจี้จือคิดจะให้พวกเขาเข่นฆ่ากันให้ตาย แล้วตนมาคอยตามเก็บผลประโยชน์ทีหลัง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหลยเถิงเฟิงก็ถึงกับใจสั่น แต่ก็ยังไม่รีบร้อนจะเข้าไปในสุสานหลวง เขาอมยิ้มหันมองทุกคนที่จับจ้องมาที่ตน พร้อมเลิกคิ้วขึ้น “องค์รัชทายาท หลีอ๋อง องค์ชายเจ็ด ทุกท่านมีแผนการเช่นไรหรือ”
ทุกคนต่างมีสีหน้าต่างกันออกไป แต่ต่างสลัดตัวออกจากการป้องกันและการระแวดระวังของอีกฝ่ายไม่ออก พวกเขาต่างเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ ย่อมรู้ดีว่า เมื่อเข้าไปภายในสุสานแล้วจะต้องพบเจอกับสิ่งใด แต่หากให้ผู้อื่นแย่งเข้าไปก่อน…เรื่องแก้วแหวนเงินทองของมีค่ายังเป็นเรื่องรอง แต่หากให้ผู้อื่นแย่งแท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไปได้ก่อน เช่นนั้นคงยุ่งยากไม่น้อยจริงๆ
เยียหลี่ว์หงหัวเราะหึหึ ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวังและเฉียบแหลมไม่เหมือนกับคนทางเหนือ เอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ข้าเพียงแค่นึกสนใจใคร่รู้ในสุสานของฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งแคว้นแห่งราชวงศ์ก่อนก็เท่านั้น ส่งคนเข้าไปสำรวจดูก็พอแล้ว”
เขาโบกมือ ชายที่แต่งตัวคล้ายองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็เดินเข้าไปในทางเข้าก่อนทันที
เหลยเถิงเฟิงหรี่ตาทั้งสองข้างลง นัยน์ตามีประกายมืดครึ้ม พยักหน้าพร้อมเอ่ยยิ้มๆ ว่า “คำพูดของรัชทายาทเยียหลี่ว์ช่างมีเหตุผลนัก ถึงแม้จะเป็นสุสานหลวง แต่อย่างไรก็ถือว่ามิใช่เรื่องมงคล พวกเราคงไม่ต้องเข้าไปสำรวจด้วยตนเอง เอาเถิด พวกเจ้าก็เข้าไปดูด้วยแล้วกัน กลับไปจะได้รายงานต่อเสด็จพ่อถูก”
กลุ่มคนในชุดสีเหลืองทองหันมากำหมัดประสานมือให้เหลยเถิงเฟิง แล้วจึงวิ่งตามเข้าไป
คนอื่นๆ ที่อยู่ ณ ที่นั้นอย่างเยียหลี่ว์หงต่างพากันอึ้งไป นั่นคือองครักษ์ชุดผ้าแพรของเจิ้นหนานอ๋อง ถึงขั้นติดตามเหลยเถิงเฟิงออกมาเชียวหรือ
เหลยเถิงเฟิงอมยิ้ม หันไปเอ่ยกับม่อจิ่งหลีว่า “ว่าอย่างไร หลีอ๋องไม่เข้าไปดูบ้างหรือ”
ม่อจิ่งหลีส่งเสียงหึเบาๆ “คนฉลาดย่อมไม่พาตนเองเข้าไปเสี่ยง กับอีแค่สุสานหลวง ข้าไม่เห็นอยู่ในสายตาหรอก” เขาเพียงยกมือขึ้น องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ตามเข้าไปทันที
เยียหลี่ว์หงที่อยู่ข้างๆ ย่อมไม่ยอมน้อยหน้า ส่งคนของตนเองเข้าสุสานหลวงไปเช่นกัน
ภายในมุมลับตาที่อยู่ห่างออกไป หานหมิงซีมองกลุ่มคนที่ยังรั้งรออยู่ที่ทางเข้าโดยไม่มีทีท่าว่าจะเข้าไป หรือมีทีท่าว่าจะกลับออกไป เมื่อเห็นเช่นนั้นก็อดมีน้ำโหขึ้นมาไม่ได้ “คนพวกนี้หมายความเช่นไรกัน ตัวเองไม่เข้าไปก็อย่าขวางทางคนอื่นเซ่”
“พวกเขาไม่เข้าไปหรอก” จู่ๆ หานหมิงเย่ว์ที่นั่งเงียบอยู่ข้างเขามาตลอดก็เอ่ยปากขึ้น
หานหมิงซีนิ่งไป หันกลับไปมองหานหมิงเย่ว์พร้อมเอ่ยถามว่า “ทำไมหรือ”
หานหมิงเย่ว์เหลือบมองเขา เอ่ยเรียบๆ ว่า “คนพวกนั้นเป็นผู้ใดกัน มิใช่รัชทายาทแห่งแคว้น ก็เป็นท่านอ๋อง เป็นซื่อจื่อ ทุกคนต่างมียศถาบรรดาศักดิ์และอิทธิพลอำนาจที่สูงส่ง ต่อให้คิดอยากได้ของที่อยู่ด้านใน ก็ไม่มีทางเข้าไปเสี่ยงภัยด้วยตนเองอยู่แล้ว หากเกิดสิ้นชีวิตไปก็เท่ากับไม่เหลืออันใดเลย”
หานหมิงซีก้มหน้าลงคิดเล็กน้อย ต้องยอมรับว่าที่พี่ใหญ่ของเขาพูดมามีเหตุผล แต่ขณะเดียวกันก็ยิ่งรู้สึกหดหู่และโกรธเคืองมากขึ้นไปอีก “เช่นนั้นม่อซิวเหยาตั้งใจจะทำอันใดกันแน่ ให้ข้ามาคอยจับตาดูคนพวกนี้ว่าจะทำอันใดที่นี่อย่างนั้นหรือ หลอกข้าเล่นหรือ”
หานหมิงเย่ว์นิ่งเงียบไม่ตอบ ยามนี้เขาไม่มีความสนใจในทั้งม่อซิวเหยาและกลุ่มคนเหล่านั้น เขาหวังเพียงให้น้องชายของตนไม่เข้าไปตายที่นั่นก็พอ
“คุณชายหาน” จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกของบุรุษดังขึ้นที่ด้านหลังของพวกเขาห่างไปไม่ไกลนัก
หานหมิงซีถึงกับสะดุ้งตกใจ หันไปประจันหน้ากับบุรุษที่จู่ๆ ก็ปรากฏกายขึ้นด้วยความระมัดระวัง บุรุษผู้นั้นอยู่ในชุดสีเขียวเข้ม ใบหน้าก็ทาสีเขียวไว้ด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้เขาจะยืนอยู่นาน แต่หานหมิงซีก็ยังมองไม่ออกว่า หากคนผู้นี้ล้างหน้าล้าตาออกมาแล้ว หน้าตาจะเป็นเช่นไร
เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูมิได้มีเจตนาร้าย ถึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “เจ้าคือผีตนใดกัน”
บุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงขรึมว่า “นายทหารใหม่ค่ายกิเลนฝึกหัด กลุ่มสิบสอง ได้รับคำสั่งจากหัวหน้ากลุ่มให้มารายงานคุณชายว่าหน่วยกิเลนกำลังปฏิบัติภารกิจ ขอเชิญคุณชายหานหลบไปก่อนขอรับ”
“ภารกิจ?” หานหมิงซีงุนงงอยู่เพียงครู่ ก็เข้าใจในทันที ชี้นิ้วไปยังกลุ่มคนที่ยืนเด่นอยู่ไกลๆ เอ่ยถามว่า “พวกเขา?”
บุรุษผู้นั้นก้มหน้านิ่งด้วยความเคร่งขรึม ประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งที่หานหมิงซีเอ่ยถาม
หานหมิงซีหรี่ตาลง ถามเขาด้วยความไม่พอใจว่า “หากข้าไม่หลบไปพวกเจ้าคิดจะทำอันใด”
บุรุษผู้นั้นก็ไม่เกรงใจ ยกมือขึ้นชี้นิ้วไปด้านหนึ่ง “จับตัวมา!”
ถึงแม้จะเป็นยอดฝีมืออย่างหานหมิงซีหรือหานหมิงเย่ว์ก็ยังตั้งตัวไม่ทัน บุรุษร่างกายสูงใหญ่กำยำสิบกว่าคนกรูกันเข้ามา ล้อมพวกหานหมิงซีทั้งสองรวมถึงคนที่พวกเขาพามา จับมัดไว้พร้อมหาอะไรมายัดปากก่อนพาตัวออกไปทันที
ชั่วชีวิตของหานหมิงซี มีเพียงสมัยหนุ่มๆ ที่ถูกคนของสำนักใหญ่ๆ ภายในยุทธภพตามฆ่าเท่านั้น แต่ก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติเช่นนี้มาก่อน สีหน้าจึงแดงก่ำขึ้นทันที ถึงแม้เขาจะถูกจับมัดเอามือไพล่หลังไว้ แต่ก็ยังดิ้นขลุกขลักไม่หยุด
บุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามาตบบ่าเขา พร้อมเอ่ยเสียงต่ำว่า “พี่หาน นี่ท่านไม่ให้ความร่วมมือเองนะ ข้าเองก็จนใจ วางใจเถิด อย่างมากไม่เกินสองชั่วยามก็จะปล่อยพวกท่านไป พวกเราพี่น้องต่างก็ทำตามคำสั่งของพระชายา อย่าได้ถือโทษกันเลย”
หานหมิงซีหันกลับไปมองด้วยความโกรธเคือง เขาก็แค่พลั้งปากพูดไปอย่างนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าพวกบ้าพวกนี้จะเอาจริงขึ้นมาเล่า
เมื่อหันไปมองก็เห็นว่า บุรุษคนที่ทาหน้าเสียจนเหมือนภูตผี ช่างดูคุ้นหน้าเสียเหลือเกิน “อื้อๆๆ…” สวีชิงเฟิง!
สวีชิงเฟิงยิ้มจนเห็นฟันขาว “พี่หาน ล่วงเกินแล้ว ไว้รอให้เสร็จสิ้นภารกิจเสียก่อน ข้าจะขอเลี้ยงสุราท่านเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน”
“อื้อๆๆ!” ดื่มกับน้องเจ้าสิ! คนตระกูลสวีของพวกเจ้าไม่มีผู้ใดจิตใจดีสักคน!
สวีชิงเฟิงเพียงทำเป็นไม่เห็นไฟแห่งความโกรธในดวงตาของเขา โบกมือให้ลูกน้องมานำตัวพวกเขาไปซ่อนไว้ ไม่ให้มากระทบกับภารกิจของตน เช่นนี้แล คุณชายเฟิงเย่ว์ผู้มากล้นด้วยเสน่ห์จึงถูกกรรมตามสนองเป็นครั้งแรกในชีวิต
ด้วยเพราะคณะของสวีชิงเฟิงอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจ จึงมิอาจแบ่งคนจับพวกเขากลับไปส่งได้ ทำได้เพียงจับพวกเขาไปไว้ยังถ้ำที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง ตัดกิ่งไม้ใบหญ้ามาทำเป็นที่พรางตาไว้แล้วจากไป ทิ้งให้หานหมิงซีนอนถลึงตาด่าทอมารดาบุพการีอยู่ใต้ต้นไม้เหล่านั้น
เมื่อจัดการหานหมิงซีได้แล้ว สวีชิงเฟิงถึงได้ปีนขึ้นเนินเขาไปมองสำรวจความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนที่อยู่หน้าทางเข้าสุสานหลวงด้วยความสบายใจ มิใช่เพราะเขาคิดอยากเป็นอริกับหานหมิงซี เพียงแต่จุดที่เจ้าหานหมิงซีเลือกมาปักหลักอยู่นั้นดีเกินไปจริงๆ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่เขาต้องการพอดิบพอดี
เมื่อได้มาเผชิญหน้ากับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นรัชทายาท ท่านอ๋องและซื่อจื่อ นัยน์ตาสวีชิงเฟิงก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและยินดี การใช้ชีวิตเช่นนี้สนุกกว่าการอยู่กับบ้านร่ำเรียนหนังสือหรือเป็นขุนนางเสียเป็นไหนๆ
“หัวหน้า คนด้านนอกนั่นจัดการเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่เจ้าพวกนั้น จะเข้าไปตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ”
สมาชิกในกลุ่มคนหนึ่งปีนขึ้นมาอยู่ข้างกายสวีชิงเฟิงเงียบๆ พร้อมกระซิบถาม
สวีชิงเฟิงส่ายหน้า เอ่ยเสียงเบาว่า “คนพวกนั้นแต่ละคนมีฐานะสูงส่ง ซ้ำยังกลัวตายเสียยิ่งกว่าอะไร รอบๆ ก็ยังมีองครักษ์อยู่อีกหลายร้อยคน แล้วยัง…เหลยเถิงเฟิง เยียหลี่ว์เหยี่ย เยียหลี่ว์หงกับม่อจิ่งหลี ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือ หากเกิดปล่อยให้คนใดคนหนึ่งเล็ดรอดไปได้ ความพยายามทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า ไว้รอให้คนอื่นๆ มาถึงพร้อมกันก่อนค่อยลงมือ”
“พวกเรามาถึงก่อนเป็นกลุ่มแรก เหตุใด…” นายทหารหนุ่มเลือดร้อนดูมีท่าทีไม่ยินยอม พวกเขาเป็นคนที่มาถึงก่อน หากพวกเขาจับคนกลุ่มนี้ได้ ก็เท่ากับว่ากลุ่มของพวกเขาก็เป็นที่หนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
สวีชิงเฉินยกมือตีเข้าที่หน้าผากเขาทีหนึ่ง “พวกเรามีกันอยู่แค่สิบกว่าคน หากต้องรับมือกับคนจำนวนมากเช่นนี้คงไม่ง่าย หากปล่อยให้หลุดรอดไปได้คนหนึ่งจะทำอย่างไร อย่าลืมคำสั่งของพระชายากับผู้บัญชาการฉินสิ”
จับมาให้ได้ทั้งหมดหรือไม่ก็ฆ่าตายเสีย หากหลุดจากแหไปได้ตัวหนึ่งก็เท่ากับล้มเหลว
นายทหารหนุ่มยกมือลูบหน้าผาก ยอมหมอบกลับลงไปแต่โดยตี
ไม่นาน บนหน้าผาฝั่งตรงข้ามก็มีบางอย่างแวบผ่านไป ดวงตาสวีชิงเฟิงเป็นประกายทันที กัดหญ้าพร้อมเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “ดูสิ ผู้ใดมากัน”
นายทหารหนุ่มปีนขึ้นมามองสำรวจโดยรอบ จุดที่เขาอยู่นั้นถือว่าไม่เลว ไม่เพียงมองเป้าหมายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน หน้าผาฝั่งตรงข้ามและด้านข้างทั้งสองด้านก็มองเห็นอย่างชัดเจนด้วยเช่นกัน
นายทหารหนุ่มหัวเราะหึหึ เอ่ยรายงานกับสวีชิงเฟิงว่า “กลุ่มย่อยทั้งสิบหกกลุ่มมาถึงแล้วขอรับ กลุ่มเจ็ดและกลุ่มสิบหา กระจายกำลังกันปิดล้อมทางน้ำทั้งขาขึ้นและขาลงไว้แล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือ กระจายกันอยู่รอบๆ ขอรับ”
สวีชิงเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ “บอกให้พี่น้องทุกคนเตรียมตัวให้ดี ทำตามแผนเดิม พี่น้องคนอื่นๆ ล้อมคนพวกนี้ไว้ บุกเข้าไปตรงกลางด้วยรูปแบบพรม อย่าให้เล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว หลังจากกลุ่มย่อยทั้งหมดกลับมารวมตัวกันแล้ว ให้ฟังคำสั่งของรองหัวหน้ากลุ่ม ข้ากับหัวหน้าหน่วยคนอื่นๆ จะช่วยกันจับตัวคนพวกนั้นเอาไว้”
“ขอรับ!”
ในขณะที่คณะของเหลยเถิงเฟิงที่อยู่ด้านล่างหุบเขา กำลังเตรียมรับมือกันอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังนั้นเอง พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังกำจัดคนนับพันของพวกเขาที่กระจายตัวอยู่บริเวณโดยรอบอย่างไร้ซุ่มเสียง และค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้พวกเขาเข้ามาเรื่อยๆ
เหลยเถิงเฟิงกำลังนั่งพิงต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ สายตาคอยกวาดไปทางคณะของเยียหลี่ว์เหยี่ย ในใจกำลังลอบนึกว่า หากคนที่ได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไปมิใช่คนของตน จำนวนคนที่เขาพามาจะเพียงพอที่จะแย่งแท่นประทับหยกไปได้หรือไม่ และหากเป็นคนของตนที่ได้แท่นประทับหยกสืบทอดแคว้นไป พวกเขาจะหลบหลีกวงล้อมนี้ออกไปได้อย่างไร
ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิดอยู่นี้ คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่นั่งเฉย เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง จึงพบกับสายตาระแวดระวังของม่อจิ่งหลี เหลยเถิงเฟิงส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรไปให้ม่อจิ่งหลี แต่อีกฝ่ายกลับนิ่งเฉยทำประหนึ่งมองไม่เห็น ซึ่งเหลยเถิงเฟิงก็มิได้สนใจ เขากับเสด็จพ่อเคยวิเคราะห์ม่อจิ่งหลีผู้นี้ไว้เสียนานแล้ว ซึ่งเห็นพ้องต้องกันว่า คนผู้นี้ยากที่จะกลายเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ได้ ไม่ควรค่าแก่การสนใจนได้แล้ว
ดังนั้นความเงียบของหานหมิงเย่ว์จึงมิได้ทำให้หานหมิงซีนึกโมโห เขาเพียงเอนตัวลงพิงต้นไม้ พร้อมเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ข้ามักรู้สึกว่า ติ้งอ๋องไม่มีทางปล่อยให้ข้าหาเงินเข้ากระเป๋าตนเองง่ายๆ เช่นนั้น”
หานหมิงเย่ว์เพียงก้มหน้านิ่งไม่ตอบอันใด
หานหมิงซีโบกมือพร้อมทอดถอนใจ “ช่างเถิด ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เองว่ามันเรื่องอันใดกัน”
เขาไม่เชื่อว่าติ้งอ๋องจะปล่อยคนจำนวนมากเช่นนี้ให้เข้ามาวุ่นวายในซีเป่ย