ชายาเคียงหทัย - ตอนที่ 69-1
ชายาเคียงหทัย – ตอนที่ 69-1 ป่วยหนัก
เรื่องบนยอดเขาเฮยอวิ๋น องครักษ์ลับสามและสี่ได้รับอนุญาตให้บอกเรื่องนี้กับองครักษ์หนึ่งและสองที่เป็นคู่ผลัดเวรของเขา เยี่ยหลีไม่ได้พูดว่าเรื่องนี้พวกเขาสามารถรายงานต่อม่อซิวเหยาได้หรือไม่ แต่องครักษ์หนึ่ง สอง สาม และ สี่ได้ลองไตร่ตรองดูแล้วเกี่ยวกับเรื่องที่พระชายาพูดถึงจรรยาบรรณของอาชีพนั้นๆ พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเป็นองครักษ์ที่ยืดถือหลักจรรยาบรรณดู เพราะต้องรู้ว่า การถูกเจ้านายทอดทิ้งถือเป็นความเสื่อมเสียของการเป็นองครักษ์ เพราะตั้งแต่ที่พวกเขามารับหน้าที่เป็นองครักษ์ลับประจำตัวพระชายานั้น คนแรกและคนเดียวที่พวกเขาจะต้องจงรักภักดีก็คือพระชายา ไม่ใช่ท่านอ๋อง ซึ่งเยี่ยหลีพอใจกับองครักษ์ที่มีจรรยาบรรณเหล่านี้มาก เพราะถึงอย่างไรคนที่มีวิชาการต่อสูงแก่กล้าทั้งยังสามารถไว้ใจได้นั้น ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เลย และนางเองไม่อยากไปเสียเวลาหาองครักษ์ใหม่ด้วย
เยี่ยหลีพอใจที่จะรักษาความสม่ำเสมอในการไปยอดเขาเฮยอวิ๋นที่เดือนละสองครั้ง และแน่นอนว่าย่อมเป็นการปลอมตัวไป คนในหมู่บ้านที่ตีนเขาเฮยอวิ๋นกับคนบนเขาต่างเรียกนางกันว่าคุณชายฉู่ นามฉู่จวินเว่ย บางครั้งพาองครักษ์ลับหนึ่งสองไป บางครั้งพาองครักษ์สามสี่ไป แต่ทั้งสี่คนดูจะให้ความสนใจเป็นอย่างมากกับการสร้างสนามฝึกที่แปลกประหลาดนั้น บางครั้งถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกันเพื่อที่จะได้ติดตามเยี่ยหลีออกไปด้วย เยี่ยหลีออกจากตำหนักบ่อยๆ แน่นอนว่าม่อซิวเหยาย่อมรู้ดี แต่เขาไม่เคยถามว่าเยี่ยหลีไปที่ใด ซึ่งความใจกว้างของเขาในเรื่องนี้ทำให้เยี่ยหลีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก บางครั้งที่นางออกไปเดินเล่นซื้อของกับพวกฮว่าเทียนเซียงจึงไม่ลืมที่จะซื้อขนมอร่อยๆ กลับมาฝากเขา เพียงแต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองดูเหมือนจะห่างเหินกันไปอีกด้วยความยุ่งของเยี่ยหลี บางครั้งที่ได้เห็นสายตาไม่เห็นด้วยของเว่ยหมัวมัวกับหลินหมัวมัวก็ทำให้เยี่ยหลีอดรู้สึกผิดในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ แต่ความรู้สึกผิดนี้ถูกผลักออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเพราะนางกำลังยุ่งมาก ยุ่งมากจริงๆ
นางไม่เพียงต้องจัดการเรื่องต่างๆ ภายในตำหนัก แล้วยังต้องมีสินเดิมของตนที่ต้องจัดการอีกด้วย ร้านค้าที่เป็นสินเดิมของนางกิจการยังคงไปได้เรื่อยๆ แต่เยี่ยหลีได้ลอบนำเงินสดเกือบทั้งหมดในสินเดิม รวมถึงเงินที่หานหมิงเย่ว์ส่งมาให้ไปซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมไว้ อย่างเช่นบ้านพักสองหลังกับร้านค้าสามห้องที่นอกเมืองซึ่งซื้อไว้ในนามฉู่จวินเว่ย รวมถึงร้านค้าสองห้องในเมืองหลวงด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้นางได้ขอให้สวีชิงเจ๋อช่วยส่งคนไปจัดการด้วยตนเอง ถึงแม้สวีชิงเจ๋อจะไม่ค่อยเข้าใจว่านางต้องการจะทำอันใด แต่เขาก็ไม่ได้สอบถามเพียงทำตามที่นางขอเท่านั้น ไม่ถึงครึ่งเดือนดี โฉนดครอบครองบ้านและร้านค้าก็ถูกส่งมาถึงมือนาง ในสายตาคนนอกแล้ว เยี่ยหลีดูเหมือนจะเป็นชายาติ้งอ๋องที่สมบูรณ์แบบ ทุกวันนางจะจัดการเรื่องภายในตำหนักอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไปร่วมงานเลี้ยงของผู้ดีมีอำนาจในเมืองหลวงอย่างสม่ำเสมอ แต่กลับไม่มีใครรู้ว่านางลอบนำข่าวสารทุกอย่างมารวบรวมและสรุป และคอยหาเงื่อนงำที่สามารถนำมาใช้ได้ ดังนั้นการแก่งแย่งชิงอำนาจของฮ่องเต้และไทเฮา การแบ่งขั้วอำนาจระหว่างขุนนางในราชสำนัก รวมถึงข่าวลือลับๆ ในหมู่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย ซึ่งเยี่ยหลีปล่อยให้เรื่องเหล่านี้ผ่านสายตาไปอย่างนิ่งเฉย ทำให้นางเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของคนในเมืองหลวงกับสถานการณ์ภายในราชสำนักได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“พระชายา! พระชายา! ท่านอ๋องเป็นลมล้มไปเพคะ…”
เยี่ยหลีรีบลุกขึ้นถามด้วยความตกใจว่า “เกิดอันใดขึ้น” ชิงสยาที่สุขุมมาตลอดก็ดูตกใจไม่น้อย ตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ว่า “เมื่อครู่ท่านอ๋องกลับไปที่ห้อง…แล้วถามว่าพระชายาไปไหน พวกบ่าวบอกว่าพระชายาอยู่ในห้องบัญชี ท่านอ๋องยังไม่ทันได้พูดอันใดต่อ แล้วจู่ๆ ท่านอ๋องก็กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด…แล้ว แล้วก็สลบไปเพคะ” เยี่ยหลีใจกระตุกขึ้นทันที โยนพู่กันในมือทิ้งก่อนเดินออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว เดินไปก็ถามไปว่า “เชิญท่านหมอมาหรือยัง” ชิงสยาตอบว่า “อาจิ่น…อาจิ่นกับชิงหลวนไปเล้วเพคะ ชิงอวี้พอมีวิชาแพทย์อยู่บ้างจึงอยู่ในห้องกับชิงซวงคอยดูแลท่านอ๋องเพคะ…” ไม่รอให้ชิงสยาพูดจบ ร่างของเยี่ยอิ๋งก็ปลิวหายไปตรงหัวมุมทางเดินอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาถึงเรือน สาวใช้ในเรือนดูจะตกใจกันไม่น้อย เมื่อเห็นเยี่ยหลีเข้ามา ลืมแม้แต่จะทำการคารวะ เยี่ยหลีก้าวเข้าไปในห้อง เมื่อเดินพ้นม่านกั้นไปก็เห็นม่อซิวเหยานอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับกระดาษ ริมฝีปากยังมีคราบแดงของเลือดติดอยู่
“พระชายา” ชิงอวี้ที่กำลังจับชีพจรให้ม่อซิวเหยารีบลุกยืนขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิงอวี้พูดด้วยความกังวลว่า “ท่านอ๋องเคยได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก่อน และดูเหมือนท่านจะไม่ได้ดูแลให้ดี ร่างกายจึงอ่อนแอมากเพคะ ที่อยู่ดีๆ เกิดกระอักเลือดขึ้นมาเป็นเพราะท่านทรงตรากตรำมากเกินไป เพียงแต่…เลือดที่ท่านกระอักออกมานั้นมากเกินไป เกรงว่าจะไม่ดีต่อท่านอ๋อง…” เมื่อมองตามสายตาของชิงอวี้ไป ไม่ไกลจากข้างเตียงนัก มีรอยเลือดที่ยังไม่แห้งดีอยู่เป็นวงใหญ่ ทำให้คนรู้สึกอยากจะเป็นลม เลือดจำนวนมากขนาดนั้นทำให้เยี่ยหลีตกใจขึ้นมาทันที “ตอนนี้…เขาไม่เป็นอะไรแล้วใช่หรือไม่”
ชิงอวี้ส่ายหน้า “บ่าวชำนาญเรื่องยาพิษ อาการของท่านอ๋องนี้บ่าวค่อยรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้างเพคะ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นอะไรเพคะ”
เยี่ยหลีถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าออกไปดูทีว่าท่านหมอมาหรือยัง กับช่วยตามหัวหน้าพ่อบ้านม่อมาที”
ชิงอวี้และชิงซวงรับคำแล้วเดินออกไป เยี่ยหลีนั่งอยู่ข้างเตียงมองคนที่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ นางเคยแต่ได้ยินคนอื่นพูดกันว่าท่านอ๋องร่างกายพิการ ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ตั้งแต่ที่เยี่ยหลีพบเขาเป็นครั้งแรกก็เห็นเขาสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีมาโดยตลอด แม้แต่ช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง นางยังป่วยเป็นไข้อยู่ถึงสองวัน แต่กลับไมได้ยินเสียงเขาไอเลยแม้แต่แอะเดียว เยี่ยหลีจึงลืมประโยคที่ว่าเขาป่วยกระเสาะกระแสะไปเสียสนิท คิดเพียงว่าคนนอกต่างลือกันไปผิดๆ เท่านั้น หลายเดือนที่ผ่านมานี้ พวกเขาเจอหน้ากันเกือบทุกวัน แต่เยี่ยหลีเพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ม่อซิวเหยาผ่ายผอมลงไปกว่าเดิมมาก ทั้งตอนนี้ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิทยังมีรอยคล้ำปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน
เยี่ยหลีกำลังนั่งใจลอย เมื่อรู้สึกว่าคนที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงขยับตัวเล็กน้อย จึงรีบเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นม่อซิวเหยากำลังค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อดวงตาทั้งสองคู่ประสานกัน เยี่ยหลีกลับไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาดี
ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “อาหลี เป็นอะไรไป”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยหลีจึงมองหน้าเขาแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่ท่านกระอักเลือด”
ม่อซิวเหยาอึ้งไป ก่อนยิ้มน้อยๆ “สองวันนี้ข้าเหนื่อยนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก”
“ไม่มีอะไรหรือ!” เยี่ยหลีรู้สึกถึงความโกรธที่พุ่งขึ้นจากหัวใจไปถึงสมองทันที “ถึงขั้นกระอักเลือดแล้วยังไม่เป็นอะไรอีก แล้วต้องแค่ไหนถึงจะเป็นอะไร ท่านคิดว่าท่านมีเลือดอยู่มากแค่ไหนถึงจะมาใช้ทิ้งๆ ขว้างๆ แบบนี้ได้” ม่อซิวเหยาเห็นเยี่ยหลีโกรธแล้วกลับรู้สึกยินดีอย่างไรอย่างนั้น แววตาดูมีประกายแห่งความอ่อนโยนมากขึ้น “ไม่เป็นไรจริงๆ ชินเสียแล้ว พอใกล้เข้าหน้าหนาวก็เป็นแบบนี้แหละ แค่พักผ่อนให้เพียงพอก็ไม่เป็นไรแล้ว อาหลี เชื่อข้าสิ”
เชื่อเจ้าข้าก็เป็นหมูเท่านั้น! เยี่ยหลีปรายตามองเขาอย่างไม่เห็นขันด้วย แต่ในขณะเดียวกันก็อดตกใจกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้ไม่ได้ ชินเสียแล้ว? เขาต้องเป็นถึงขนาดไหนถึงได้ชินกับการเสียเลือดมากขนาดนั้นกัน “ท่านพักผ่อนก่อนเถิด ไว้ท่านหมอมาถึงก่อนค่อยว่ากัน”
ผ่านไปไม่นาน อาจิ่นกับชิงหลวนหิ้วปีกท่านหมอเข้ามาคนละข้าง ซึ่งก็คือท่านหมอคนเดียวกับที่สำนักชีอู๋เย่ว์ เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่นอนอยู่บนเตียงฟื้นขึ้นมาแล้ว ท่านหมอจึงให้ชิงหลวนและอาจิ่นปล่อยแขนตน ก่อนพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าบอกแล้วว่าไม่เป็นอะไร พวกเด็กอายุน้อยๆ อย่างพวกเจ้านี่ช่างใจเย็นกันไม่เป็นเสียเลย” เยี่ยหลีลุกยืนขึ้นสละที่ให้ท่านหมอเข้ามาจับชีพจรให้เขา ท่านหมอเดินเข้าไปจับชีพจรให้เขาก่อนขมวดคิ้วพร้อมยกมือขึ้นลูบหนวด เยี่ยหลีเอ่ยถามว่า “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง”
ท่านหมอส่ายหน้า “ไม่เป็นไร เพียงแต่ท่านอ๋องระวังไว้บ้างก็จะดี ครั้งนี้ไม่เป็นไรก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะไม่เป็นไร”
เยี่ยหลีขมวดคิ้ว “หากข้าจำไม่ผิด คราวที่แล้วท่านหมอบอกว่าท่านอ๋องสุขภาพแข็งแรงดีมาก” ท่านหมอเลิกคิ้วสีดอกเลาขึ้น “ข้าก็ไม่ได้พูดผิดเสียหน่อย ตอนนั้นสุขภาพของท่านอ๋องดีมากจริงๆ แต่ตอนนี้ดูจะย่ำแย่มาก” เยี่ยหลีมองหน้าเขาพูดไม่ออก หรือมีคนที่ปีหนึ่งตอนนี้สุขภาพแข็งแรงดีแล้วอีกตอนนี้สุขภาพอ่อนแออย่างนั้นหรือ ท่านหมอพูดต่อว่า “ร่างกายของท่านอ๋องไม่เหมาะกับอากาศเย็น พอเข้าฤดูหนาวก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เพียงแต่…ตอนนี้ยังไม่ถึงช่วงที่ร้ายแรงเช่นนั้น ครั้งนี้…ท่านอ๋องไม่ได้กินยามานานเท่าไรแล้ว ไม่ได้พักผ่อนมานานเท่าไรแล้ว”
เมื่อเห็นเยี่ยหลีมองจ้องอยู่ จึงได้แต่ยิ้มขื่นๆ “ยาของท่าน…ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแล้ว” เขายื่นมือออกไปหยิบยาขวดเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ พร้อมกับที่ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นเบาๆ
ท่านหมอขมวดคิ้วแน่น รับขวดยาจากมือม่อซิวเหยาออกไปดู พร้อมพูดว่า “เป็นไปไม่ได้ ยานี้ข้าปรุงขึ้นมายังไม่ถึงสองเดือนดี จะไม่ได้ผลได้อย่างไร” เยี่ยหลีพูดว่า “ท่านหมอ ข้าคิดว่าที่ท่านอ๋องพูดหมายความว่าข้าของท่านไม่มีผลกับร่างกายของเขา”
ท่านหมอหน้าขรึมไป ก่อนจับมือม่อซิวเหยามาจับชีพจรอีกครั้ง แต่คราวนี้ดูจะจับนานกว่าครั้งแรก ผ่านไปครู่ใหญ่ ท่านหมอจึงได้ขมวดคิ้วพร้อมวางมือเขาวง “ข้าจะจ่ายยาให้ท่านอ๋องใหม่ก่อน ณ ตอนนี้ยังไม่น่าเป็นอะไร ข้าต้องกลับไปศึกษาแผนยาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยหลีรู้ดีว่าเรื่องเช่นนี้ไม่สามารถรีบร้อนได้ จึงได้แต่พยักหน้า “เช่นนั้นก็ลำบากท่านหมอแล้ว” ท่านหมอพยักหน้ามองหน้าเยี่ยหลี “ข้าขอพูดอีกครั้ง ว่าอาการป่วยของท่านอ๋องไม่สามารถตรากตรำได้ ยิ่งเมื่อเข้าฤดูหนาวแล้วยิ่งต้องระวัง หลายปีมานี้เพราะไม่ยอมพักรักษาตัวให้ดี มาตอนนี้จึงได้อาการหนักเช่นนี้” เยี่ยหลีพยักหน้าพร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้ารู้แล้ว ท่านหมอวางใจเถิด”