ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่ 69 แกมีปัญญาชดใช้เหรอ! / ตอนที่ 70 ค่าตัวประมาณค่าไม่ได้
- Home
- ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย
- ตอนที่ 69 แกมีปัญญาชดใช้เหรอ! / ตอนที่ 70 ค่าตัวประมาณค่าไม่ได้
ตอนที่ 69 แกมีปัญญาชดใช้เหรอ!
“เฟยเฟย!”
เฉินเชียนโหรวอุทานขึ้นอย่างตกใจ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของอวี๋ซงที่ยืนอยู่ข้างๆ กันเธอจึงทำได้เพียงปิดปากเงียบไม่กล้าเปล่งเสียงมองคนที่เจ็บจนร้องไม่ออก ใบหน้าซีดเผือดโชกไปด้วยเหงื่อ เธอกลัวจนต้องถอยไปหลบในอ้อมกอดของซูเหิง!
หลังจากนั้นสีหน้าตกตะลึงของซูเหิงก็ได้เปลี่ยนเป็นขุ่นมัว
เขาดันเฉินเชียนโหรวไปหลบอยู่ข้างหลังแล้วคว้าหมับเข้ามือของอวี๋ซง!
“นี่คุณ มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ”
อวี๋ซงสะบัดมือซูเหิงทิ้ง หลินเฟยเฟยกรีดร้องขึ้นอีกครั้งร่างทั้งร่างทรุดลงไปกองกับพื้น!
“คุณซูนี่สองมาตรฐานจังเลยนะครับ หากไม่ใช่เพราะเธอทำเกินไปก่อน ผมคงไม่ต้องลงมือกับเธอแบบนี้!”
“แต่ก็ไม่เห็นว่าเธอจะไปก่อเรื่องอะไรให้คุณ!”
อวี๋ซงยืดตัวขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ สองก้าวแล้วปัดมือตัวเองด้วยท่าทีรังเกียจอย่างชัดเจน
“เธอดันไปหาเรื่องคนที่ไม่ควรจะหาเรื่อง” อวี๋ซงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยมีเพียงปากของเขาเท่านั้นที่กำลังขยับ
คนที่ไม่ควรจะหาเรื่อง?
ซูเหิงย่นคิ้วสายตาเคลื่อนไปหยุดที่เฉินฝานซิงที่อยู่อีกทาง
ด้วยแววตาสงสัยเล็กน้อย
เธองั้นเหรอ
ว่าแต่เธอไปรู้จักกับคนพวกนี้ได้ยังไง
อวี๋ซงเมินเฉย “พวกคุณควรดีใจนะที่วันนี้ผมเป็นคนลงมือ หากไม่ใช่ผมละก็เชื่อผมสิพวกคุณคงได้น่าสมเพชว่านี้แน่”
แค่พวกเขาไม่กี่คนยังไม่มีค่าพอที่คุณผู้ชายจะต้องลงมือเอง
ทว่าเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็นับว่ามีฝีมือที่สามารถยั่วโทสะของคุณผู้ชายได้
อวี๋ซงพูดจบก็หันไปมองบอดี้การ์ดสี่ห้าคนที่ยื่นอยู่อีกทาง
“ทำต่อไป คุณผู้ชายเองก็เห็นรถคันนี้แล้วขัดหูขัดตาเหมือนกัน จัดการมันซะ!”
ซูเหิงหันขวับไปทันที พลองเหล็กในมือของคนกลุ่มนั้นก็ได้ทุบลงไปไม่ยั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียงกระจกรถแตกละเอียดเสียงโลหะกระทบกันทำเอาซูเหิงแม้คิดจะห้ามก็ห้ามไม่ทัน
เสียงกรีดร้องของหลินเฟยเฟยประกอบกับเสียงทุบรถดังสนั่นไปทั้งจัตุรัสซินซื่อเจี้ย
แววตาของเฉินฝานซิงวูบไหว เธอแหงนหน้าขึ้นมองรถมายบัคอันเงียบสงบที่จอดอยู่ไม่ไกล
จนกระทั่งทุกอย่างจวนจะสิ้นสุดลง อวี๋ซงไปเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ มายบัค กระจกตรงเบาะหลังค่อยๆ ลดลงมา
มองจากไกลๆ ซีกหน้างดงามดุจเทพบุตรค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา
จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางเฉี่ยวคม แดดอ่อนๆ ยามโพล้เพล้ตกกระทบผิวหน้า ตัดกับรูปหน้าสมบูรณ์แบบไม่เป็นสองรองใครของเขา
มีเพียงคิ้วที่ผูกกันจนดุดัน เคร่งขรึมทรงอำนาจ
แม้เพียงซีกหน้ายังปรากฏให้เห็นความสูงเกียรติอย่างถึงที่สุด
รังสีแห่งความกดดันได้แผ่ขยายออกมาทั่วร่างกาย
สุดท้ายก็มาจนได้
มุมปากเฉินฝานซิงกระตุกขึ้นและคลายคิ้วลง
เฉินเชียนโหรวที่หลบอยู่ข้างหลังซูเหิง หรี่ตามองไปยังโครงหน้าที่โผล่พ้นออกมาจากรถคันนั้นแค่ครึ่งเดียว เป็นเพราะแสงที่ย้อนกลับมาไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่อาจมองเห็นชายหนุ่มได้อย่างชัดเจน
รู้เพียงแค่ชายคนนั้นหน้าตาไม่เลวอีกทั้งท่าทางยังดูงดงาม
คงจะสูงส่งน่าดู
ชายคนนี้มาจากไหน
ยังคงมีผู้ชายแบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเหรอ
ทำไมเธอถึงไม่เคยรู้มาก่อน
เหมือนจะหยุดอยู่ที่กระจกรถเป็นนาที ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลาย น้ำเสียงไร้อารมณ์ค่อยๆ แผ่ขยายไปในอากาศ
“พาเธอไปส่งโรงพยาบาล รวมทั้งรถด้วยต้องชดใช้เท่าไหร่ก็ชดใช้ไปซะ”
หลินเฟยเฟยทรุดอยู่บนพื้นจึงมองไม่เห็นหน้าต่างรถที่เปิดออกทำให้ไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าของชายหนุ่ม
เธอรู้แค่ว่ากำลังกุมไหล่และร้องไห้จนเสียงแหบ!
ทั้งโมโหทั้งไม่ยอม ทุกสิ่งที่เธอได้รับมันกะทันหันเกินไปสำหรับเธอ ทุกอย่างมันเป็นเพราะชายที่กำลังพูดอยู่บนรถคันนั้น
“ต้องชดใช้เท่าไหร่ก็ชดใช้ไป? แกมีปัญญาจะชดใช้งั้นเหรอ!”
ตอนที่ 70 ค่าตัวประมาณค่าไม่ได้
“ต้องชดใช้เท่าไหร่ก็ชดใช้ไปซะ? แกมีปัญญาจะชดใช้งั้นเหรอ!”
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสนิท
อวี๋ซงกวาดมองหลินเฟยเฟย สายตายังคงแสดงออกถึงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิด
คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสถึงได้มองว่าตัวเองเป็นหัวหอมหัวหนึ่ง [1] ?
อืม?
เธอมันหัวหอมปีศาจชัดๆ
ของแค่นี้เหรอที่คุณผู้ชายจะไม่มีปัญญาจ่าย
สมาคมสกุลป๋ออันทรงเกียรติ สมาคมอันดับหนึ่งในประเทศที่มีอุตสาหกรรมทุกประเภทอยู่ภายใต้การดูแลนับไม่ถ้วนค่าตัวเกินกว่าจะหาตัวเลขธรรมดามาเปรียบเปรยได้
จะมาบอกว่าแค่แขนน้อยๆ ข้างเดียวกับรถหนึ่งคันคุณผู้ชายจะไม่มีปัญญาชดใช้?
เหอะ!
แต่ก็ไม่โทษเธอหรอก ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิดอยู่แล้ว!
หากแต่จะพูดในมุมของคนที่เข้าใจเหตุผลมาตลอดอย่างเขา นั่นเป็นประโยคที่ไม่เจียมตัวที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา
“สบายใจได้ ต่อให้หักสองขาสองเท้าของเธอจนหมดฉันก็จะไม่เอาเปรียบเธอ จะลองดูสักหน่อยไหม”
ป๋อจิ่งชวนอาจประหลาดใจกับคำพูดของหลินเฟยเฟย เขาถึงได้ตอบกลับมา
แต่เมื่อน้ำเสียงอันราบเรียบและเย็นยะเยือกนั้นสิ้นสุดลง กลับทำให้ความหวาดกลัวในใจของคนฟังพุ่งสูง
อวี๋ซงได้ฟังดังนั้นก็หันกลับมาเล็กน้อย เล่นเอาหลินเฟยเฟยตกใจจนหน้าถอดสีอีกครั้ง!
“พอได้แล้ว!” จู่ๆ เสียงอันขุ่นมัวของซูเหิงก็ได้ดังขึ้น สายตาดุดันจับจ้องไปยังรถที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
“คุณมันไร้มนุษยธรรมเกินไปแล้ว เรื่องมันเลยเถิดมาขนาดนี้แล้วคุณยังไม่พอใจอีกเหรอ”
“คนทุกคนย่อมมีมนุษยธรรมกันทั้งนั้น แม้แต่ผมเองก็ไม่เว้น แต่ไม่ใช่ว่าสัตว์ที่เดินสองขาได้ทุกตัวจะเป็นมนุษย์ ดังนั้นผมเลยต้องปฏิบัติกับพวกคุณต่างกับที่ปฏิบัติกับมนุษย์”
เอามนุษย์กับเดรัจฉานมาเทียบกันได้ยังไง
อีกด้านหนึ่งอวี๋ซงแทบจะหลุดขำออกมา
ที่แท้คุณผู้ชายของเขาก็เป็นพวกปากร้าย!
มีหรือซูเหิงจะฟังคำเสียดสีในประโยคนี้ไม่ออก แรงกดอากาศต่ำเองก็ได้เข้าโอบรัดไปทั่วร่างกาย
ระหว่างลูกผู้ชาย ประโยคประโยคเดียวก็มักจะเป็นเขม่าดินปืนอยู่บ่อยครั้ง
“แล้วจะเอายังไง”
เสียงของซูเหิงราวกับเป็นลอดออกมาจากไรฟัน
ป๋อจิ่งชวนมองเฉินฝานซิงที่กำลังเดินมาทางนี้ สายตาจดจ้องยังเจ้าของร่างสูงโปร่งตาไม่กะพริบริมฝีปากบางค่อยๆ ยกขึ้น
“แค่อยากบอกคุณว่า อย่าได้ยุ่งกับคนที่ไม่ควรยุ่ง ครั้งนี้แค่ตักเตือน ครั้งต่อไปคงไม่ต้องให้บอกนะ”
น้ำเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ แต่กลับทำให้ทุกคนรู้สึกได้ถึงการข่มขู่อย่างเอาจริงในประโยคนั้น
ไม่มีใครสงสัยข้อเท็จจริงของคำพูดนี้ เพียงแต่พวกเขากำลังคิดอยู่ว่าที่พูดว่า “ไม่ต้องให้บอก” นั่นมันจะน่าหวาดกลัวขนาดไหน
ขณะนี้เฉินฝานซิงเดินใกล้เข้ามาแล้ว ร่างระหงอยู่ในเสื้อผ้าเรียบง่ายก้าวเข้ามาราวกับย่ำอยู่บนสายลม นัยน์ตาดั่งสายน้ำในฤดูใบไม้ร่วงต้องกับแสงอาทิตย์อันเจิดจ้ายามอัสดง ริมฝีปากบางที่เคลือบความเยือกเย็นอยู่เล็กน้อยเม้มเข้าหากัน
ดูแล้วผิดแผกจากคนทั่วไปก็จริง แต่หากใครที่ได้รู้จักเธอสักหน่อยก็จะรู้ว่าร่างกายนี้ยังมีเลือดอุ่นๆ ซ่อนอยู่
ริมฝีปากของเขาชะงักลงก่อนจะพูดต่อว่
“แขนข้างนึง รถคันนึง ถือว่าผมยกโทษให้พวกคุณไปก่อน คงจะต้องจ่ายค่าชดใช้ไม่ใช่น้อยๆ ส่วนเรื่องที่ว่าจะมีปัญญาจ่ายไหม…ต่อให้ครอบครัวต้องล้มละลาย เงินก้อนนี้ผมก็ยินดีที่จะเสีย”
สิ้นประโยค สายตาก็ทอดมองไปยังเฉินฝานซิงที่หยุดชะงักลงตรงหน้าเขา
ขณะที่เขาพูดอยู่นั้น สายตาก็ไม่ได้ละจากเธอไปเลยตั้งแต่เริ่ม จนเธอไม่อาจละเลยความรู้สึกแปลกประหลาดในใจไปได้
เธอถึงขั้นตั้งข้อสงสัยกับตัวเองไปว่า คำพูดเหล่านี้มีส่วนที่เป็นห่วงเป็นใยคุณย่าอยู่กี่มากน้อย
เฉินเชียนโหรวและซูเหิงย่นคิ้วเข้าหากันจ้องมองภาพนั้นอย่างประหลาดใจ
คนหนึ่งอยากจะรู้ว่าชายที่อยู่ในรถคันนั้นเป็นใคร
อีกคนอยากรู้ว่าเฉินฝานซิงกับชายในรถคันนั้นเป็นอะไรกัน
——
[1] มองว่าตัวเองเป็นหัวหอมหัวหนึ่ง หมายถึง มองว่าตัวเองเหนือกว่าใครๆ