ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย - ตอนที่467ตายไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่468ด้วยความยินดี
- Home
- ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย
- ตอนที่467ตายไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่468ด้วยความยินดี
ตอนที่ 467 ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง
แต่ว่า…
เมื่อนึกถึงสภาพในตอนนี้ จู่ๆ หัวใจของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นหลุมลึกไร้จุดหมาย โดดเดี่ยวจนแทบจะหยุดหายใจ
เธอขบริมฝีปากพร้อมเบือนหน้าไปอีกทาง
“ที่คุณพูดมาทั้งหมดก็ถูก แต่สภาพฉันตอนนี้…”
ไม่ทันที่จี้อี้จะได้พูดจบ เสียง บรืนๆ จากเครื่องยนต์ก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท จู่ๆ รถที่ขับด้วยความเร็วคงที่มาโดยตลอดกลับทยานออกไปราวกับสายฟ้า
ร่างของจี้อี้ถอยแนบกับเบาะรถยนต์กะทันหัน ศีรษะของเธอฝังลงไปกับพนักพิงศีรษะด้านหลังจนแน่น
กระจกหน้าต่างทั้งสองถูกลดลงมาจนสุด ลมชื้นโหมกระหน่ำเข้ามาภายในตัวรถ แผดเสียงดังปานพยัคฆ์และมังกรที่คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
จี้อี้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นในทันใด ลมคลั่งปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ อัดแน่นจนหายใจไม่ทัน เครื่องหน้าของเธอแทบจะไหลมากระจุกรวมกันอยู่ที่เดียว เธอหรี่ตาแน่น ยกมือขึ้นคว้ามือจับที่อยู่เหนือศีรษะอย่างสะเปะสะปะ ก่อนจะหันไปมองเฉินฝานซิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน
ผมยาวรวบสูงหลังศีรษะถูกลมคลั่งพัดสะบัดไปมาจนยุ่งเหยิง ในตอนนี้ใบหน้าขาวไร้อารมณ์ดูเย็นชาจนถึงที่สุด ดวงตาสุกใสหรี่ลง เกิดเป็นความเฉียบแหลมที่บรรจุไปด้วยความเยือกเย็น รังสีความแข็งกร้าวและเย็นชาแผ่ออกมาทั่วร่างกาย อัดแน่นไปด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากล้น จนทำเอาคนมองไม่อาจละสายตา
ครั้งก่อนๆ ที่เคยเจอกัน เธอไม่ได้แต่งตัวในลุคบุคคลธรรมดาทั่วๆ ไป แต่กลับใส่ชุดราตรีที่ดูสวยเด่นเป็นสง่า เธอที่ดูผึ่งผายอย่างในค่ำคืนนี้ เป็นการทำให้จี้อี้ได้ทำความรู้จักกับเธอใหม่อีกครั้ง
“ช่วย…ขับให้ช้าลงหน่อยได้ไหมคะ”
จี้อี้ขยับปากพูดอย่างยากลำบาก สุ้มเสียงถูกกระแสลมคลั่งฉีกออกเป็นชิ้นๆ เฉินฝานซิงขมวดคิ้วมุ่นแต่ก็ยังพอจะฟังออก
“ไม่กลัวตายไม่ใช่รึไง”
ไม่ทันพูดจบ เฉินฝานซิงก็หักพวงมาลัยไปทางซ้ายครึ่งรอบใหญ่ๆ ทำให้รถหักเลี้ยวกะทันหัน
ร่างของจี้อี้เบี่ยงเข้าหาเฉินฝานซิงในทันที แต่เธอก็ถูกเข็มขัดนิรภัยรั้งกลับมาที่เดิม
ใบหน้าของเธอซีดจัดลงทันใด จี้อี้ซุกตัวเข้าหามุมๆ หนึ่งแล้วก้มหน้าลงกอบโกยอากาศหายใจ
เฉินฝานซิงไม่ได้ลดความเร็วลงตามคำขอ หลังจากที่จี้อี้ปรับตัวได้แล้ว เธอก็เงยขึ้นมามองทางข้างหน้าอีกครั้ง
ผ่านไปไม่นาน เธอก็พบว่าถนนยิ่งแคบลงเรื่อยๆ และเบื้องล่างของถนนฝั่งที่เธอนั่งอยู่คือป่าลึก หากพลาดพลั้งไปแค่เสี้ยวนาทีเดียว พวกเธอสองคนคงได้กลิ้งตกลงไปพร้อมๆ กันเป็นแน่
แต่ถึงอย่างนั้นเฉินฝานซิงก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง
“ค…คุณหนูใหญ่! ข้างหน้า…ข้างหน้าเป็นทางคดเคี้ยว…ช่วยหยุด…อ๊ายยย!”
เสียงเครื่องยนต์มีแค่เพิ่มไม่มีลด เสียงหวีดแหลมของเบรกรถดังสนั่นท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด ตัวรถทะยานผ่านเส้นทางแคบ จี้อี้ถูกแรงเฉื่อยเหวี่ยงไปยังมุมที่อยู่ระหว่างประตูและเบาะนั่ง เธอรู้สึกราวกับตนได้นั่งอยู่บนคันชั่งที่แขวนอยู่สุดขอบหน้าผา น้ำหนักของเธออาจทำให้รถเสียสมดุลได้ทุกเมื่อ เป็นผลให้เธอเกาะหนึบอยู่ตรงมุมรถ เมื่อทิศทางของรถเลี้ยวกลับมาอีกทาง ร่างของเธอก็ถูกเหวี่ยงกลับมาทางซ้ายอีกครั้ง
นาทีนั้นจี้อี้รู้สึกเหมืนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง วิญญาณเธอกระเด็นหลุดออกไปพร้อมๆ กับการเบรกในครั้งนั้น
ทว่ายังไม่ทันจะเธอจะได้ผ่อนลมหายใจ นาทีต่อมาก็ตามมาด้วย โค้งถัดไป เสียงเครื่องยนต์ เสียงเบรก เสียงล้อบดกับผิวถนนและเสียงกรี๊ดของเธอ…
จนกระทั่งเธอรู้สึกได้ว่ารถได้ผ่อนความเร็วลงและมั่นคงขึ้น เธอจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เบื้องหน้าก็คือเมืองที่เต็มไปด้วยแสงระยับจากไฟนีออน! เมืองที่สว่างไสว!
อากาศหลังฝนตกถูกปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอก แสงนีออนอวดสีสันสดใสขึ้นท่ามกลางม่านหมอก ดั่งความฝัน ดั่งจินตนาการ…
หัวใจที่เต้นระส่ำอย่างตื่นตัวในช่วงนาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายค่อยๆ สงบลง ทิวทัศน์ยามราตรีของเมืองที่เคยผ่านตามาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มาวันนี้มันกลับดูงดงามเหลือเกิน
“การเดิมพันสูงสุดในชีวิต ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าเธอขี้ขลาด เธอก็แพ้”
ตอนที่ 468 ด้วยความยินดี
“การเดิมพันสูงสุดในชีวิต ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ถ้าเธอขี้ขลาด เธอก็แพ้”
กระจกรถถูกปรับขึ้นมาแล้ว เฉินฝานซิงเองก็กำลังทอดมองไปยังแสงไฟเจิดจ้าเบื้องหน้าที่ไม่ไกลกันนัก ก่อนเธอเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
“การถูกโจมตีอย่างในตอนนี้จะไปมีความหมายอะไร ในเมื่อสิ่งที่แม่ให้เธอมาเพียงพอแล้วที่จะให้เธอใช้ปกป้องตัวเอง มันคือไม้พายที่จะพาเธอแล่นไปข้างหน้า และในยามคับขันมันก็เป็นอาวุธที่แหลมคมที่สุดที่จะปกป้องตัวเธอเอง”
นัยน์ตาของจี้อี้สั่นไหวรุนแรง เข็มขัดนิรภัยในมือถูกจับเอาไว้แน่น เธอกัดริมฝีปากตัวเองแน่น หยดน้ำตาไหลพรากออกมาจากกรอบตาราวกับเขื่อนแตก
เริ่มตั้งแต่หยดน้ำตาที่ไหลรินออกมาเงียบๆ กลายเป็นเสียงสะอื้นเบาๆ ไปจนถึงการร้องห่มร้องไห้ออกมาอย่างปลดปล่อย…
เฉินฝานซิงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก สิ่งที่ปกคลุมไปทั่วตัวรถคือความคิดถึงผู้เป็นแม่และความละอายใจ คือคำสารภาพผิดต่อความเอาแต่ใจและความดื้อรั้นในวันวาน คือความโดดเดี่ยวและเจ็บปวดที่คอยอัดอั้นตลอดมา เธอละทิ้งความอวดดีและพรั่งพรูทุกความรู้สึกออกมาจากสัญชาตญาณ แต่กลับไม่หลงเหลือความอ่อนแอและขี้ขลาดอีกต่อไป…
ตัวรถค่อยๆ จอดสนิทลงตรงหน้าคฤหาสน์ของจี้อี้ เมื่อมองดูแหล่งพักพิงที่ผู้เป็นแม่หลงเหลือไว้ให้ก็พาลทำให้ใจของจี้อี้รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง!
เฉินฝานซิงประคองพวงมาลัยไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วเบี่ยงตัวมองอีกฝ่าย ดวงตาคู่นั้นทั้งบวมและแดง แต่ทว่าใบหน้ากลับดูเปล่งปลั่ง แม้ว่าเธอจะเพิ่งร้องไห้จนแทบขาดอากาศหายใจมาก็ตาม
“กลับไปเถอะ แช่น้ำเสียหน่อย อย่าให้เป็นหวัด”
จี้อี้ไม่ไหวติง
เฉินฝานซิงหรี่ดวงตาสุกใสมองเธออย่างเงียบเชียบ
เนิ่นนาน กว่าที่จี้อี้จะสูดน้ำมูกและแหงนหน้ายั้งน้ำตาเอาไว้ ผ่านไปอีกหลายนาที เธอถึงจะสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วหันมองเฉินฝานซิง
“คุณช่วยฉันหน่อยได้ไหม”
เฉินฝานซิงสีหน้าเรียบนิ่งและกรีดมุมปากขึ้นอย่างเฉยชา “ตอนนี้จะเปลี่ยนมาพึ่งฉันแล้วเหรอ”
จี้อี้ส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ฉันอยากจะเริ่มต้นใหม่ เอาสิ่งที่เป็นของฉันคืนกลับมา และฮึดสู้ให้กับความฝันของฉันอีกสักตั้ง พิสูจน์ให้แม่ได้เห็นว่าฉันคือความภาคภูมิใจของท่าน…
คุณหนูเฉิน สถานการณ์ในตอนนี้ไม่เอื้อต่อฉันเลย ฉันต้องการเอเจนซี่สักคนช่วยฉันคิดหาวิธี! เราจะได้ประโยชน์ร่วมกัน มันคุ้มมากนะ หากคุณช่วยฉันผ่านด่านในครั้งนี้ไปได้ ฉันรับรองว่าคุณจะไม่แค่ได้รับชื่อเสียงและศักดิ์ศรีที่คุณควรจะมี แต่คุณยังจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำด้วย!”
ประกายแสงผุดขึ้นให้เห็นในดวงตาของเฉินฝานซิงในเสี้ยวนาที เธอระบายยิ้มขึ้นจางๆ นิ้วเรียวขาวเคาะเบาๆ บนพวงมาลัยคล้ายว่ากำลังไตร่ตรองบางสิ่ง
สองมือของจี้อี้ประสานเข้าหากันแน่น จ้องมองนิ้วมือของเฉินฝานซิงด้วยความตื่นเต้นและรอคอย
เนิ่นนานกว่าที่เสียงเย็นๆ ของเฉินฝานซิงจะค่อยๆ เปล่งออกมา
“เอาเข้าจริงมันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย ว่าแต่เธอคิดจะทำยังไงล่ะ ถึงจะหากำไรมาให้ฉันได้เป็นกอบเป็นกำ”
เฉินฝานซิงเลิกคิ้วมองเธอ ภายในดวงตาอัดแน่นไปด้วยการค้นหาที่หลักแหลม
จี้อี้กลับขยับปากพูดออกมาอย่างมั่นใจ “ควรทำยังไง หรือทำยังไงถึงจะหากำไรมาให้คุณได้เป็นกอบเป็นกำ นั่นก็ต้องดูว่าเอเจนซี่ที่ควบตำแหน่งเจ้านายอย่างคุณต้องการจะให้ฉันทำยังไง! หากคุณใช้ฉันไม่เป็น มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้!”
เห็นท่าทีที่มั่นอกมั่นใจในตัวเองในขนาดนั้นของอีกฝ่าย เฉินฝานซิงจึงกระตุกมุมปากมองคฤหาสน์ข้างหน้าแล้วขยับปากบางถามขึ้นเบาๆ
“รังเกียจไหมถ้าฉันจะเข้าไป”
แพขนตาของจี้อี้สั่นระริก ร่างที่เกร็งทื่อไปเมื่อครู่ผ่อนคลายลงในชั่วพริบตา
“ด้วยความยินดี”
–
ภายในคฤหาสน์ ทุกอย่างไม่เหมือนกับสิ่งที่หญิงสาวคนหนึ่งควรจะมี
ทั่วห้องรับแขก บนโต๊ะน้ำชา หลังตู้ หลังทีวี บนกระถางต้นไม้ ล้วนเต็มไปด้วยแผ่นกระดาษและเศษกระดาษเหลือใช้ที่ถูกขยำเป็นก้อนกลม กีต้าร์ ไวโอลิน ขลุ่ยไม้ไผ่ เปียโน และยังมีเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆ ทุกประเภทที่แม้แต่เฉินฝานซิงเองก็ยังเรียกไม่ถูก
ความยุ่งเหยิงเช่นนี้มองอย่างไรก็ไม่ต่างกับมีคนงัดห้องเข้ามายกเค้า
“โทษทีนะ ในบ้านรกนิดหน่อยน่ะ”
จี้อี้ว่าพลางก้มลงเก็บแผ่นกระดาษที่วางอยู่ข้างเท้า
นี่เรียกว่ารกนิดหน่อยเหรอ
“เธอไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ”
จี้อี้หับมองเธอวูบหนึ่ง ขณะที่เพิ่งจะหันตัวเตรียมจากไป เธอก็ชะงักเท้าลงอีกครั้งแล้วหันมาพิจารณาเฉินฝานซิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณจะมาแช่น้ำด้วยกันไหมคะ”