ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 10 คุ้นเคยเป็นอย่างดี
เฝิงเหล่าฮูหยินมองหน้าเจียงซื่อพร้อมความรู้สึกที่ว่าคำพูดของเจียงซื่อน่าขำสิ้นดี
เจียงจั้นขยิบตาให้กับเจียงซื่อปริบๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “น้องสี่ เจ้าอย่าเอาตัวเองเข้ามาเกี่ยว ไปหาท่านพ่อ!”
เจียงซื่อไม่สนใจ แต่สบตากับเฝิงเหล่าฮูหยินอย่างนิ่งเรียบ “ท่านย่าเจ้าคะ ไม่ทราบว่าท่านจะลงโทษพี่รองด้วยเหตุผลใดหรือเจ้าคะ”
“ก็มันไปก่อเรื่องทำร้ายฮูหยินซื่อจื่ออันกั๋วกง ทั้งยังไล่ตามถึงหน้าประตูจนมีผู้คนมากมายมาเห็นเข้า ถึงตอนนั้น อันกั๋วกงจะยอมยกโทษให้กับจวนปั๋วรึ” เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหตัวสั่น
ตอนแรกคิดว่าจะหาผลประโยชน์จากจวนอันกั๋วกงมาให้ได้เยอะหน่อย แต่พอถูกเจียงจั้นอาละวาดเข้าไป เกรงว่าเรื่องราวทั้งหมดคงได้หักล้างกันก็ทีนี้ล่ะ
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่เพียงแค่รู้สึกโกรธ แต่รู้สึกปวดใจซะมากกว่า
เจียงซื่อหัวเราะเบาๆ “ท่านย่าลืมไปแล้วหรือไม่ เรื่องนี้ ฝ่ายที่ไม่มีเหตุผลคือจวนอันกั๋วกงนะเจ้าคะ”
“ก็มันอาละวาดออกไปเช่นนี้ จวนปั๋วก็ไม่มีเหตุผลแล้วด้วยเช่นกัน” เฝิงเหล่าฮูหยินโต้อย่างโมโห
“หลานกลับคิดว่า มีเหตุผลก็คือมีเหตุผล ไม่มีเหตุผลก็คือไม่มีเหตุผล เพราะอันกั๋วกงกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม พี่รองถึงได้ออกโรงแทนหลาน แล้วการกระทำของพี่รองที่เป็นการปกป้องคนในครอบครัว จะเรียกว่าก่อเรื่องได้อย่างไร หรือว่าพวกเราถูกคนอื่นตบหน้า เพื่อแสดงความเป็นคนใจกว้าง ยังต้องยื่นหน้าอีกข้างให้กับเขาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
การพูดตรงไปตรงมาของเจียงซื่อทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินดูแย่ไปเล็กน้อย
“หากพวกเราทำเช่นนั้นจริง คนอื่นจะไม่รู้สึกว่าจวนปั๋วนั้นใจกว้าง แต่จะรู้สึกว่าจวนปั๋วยอมก้มหัวเพื่อไต่เต้าขึ้นไปหาคนที่อยู่สูงกว่า กลายเป็นพวกเกาะบุญบารมีของผู้อื่น”
“พูดซี้ซั้ว” เฝิงเหล่าฮูหยินรู้สึกหน้าร้อนผ่าว พลางตะโกนออกไป
สีหน้าของเจียงซื่อจริงจังขึ้นกว่าเดิม “ท่านย่า จวนปั๋วของเราเป็นฝ่ายบริสุทธิ์ หรือท่านจะให้คนนอกหัวเราะเยาะว่าตระกูลของเราเป็นพวกเห็นแก่ยศถาบรรดาศักดิ์ ถ้าเช่นนั้น เวลาคนของจวนปั๋วออกไปด้านนอก ก็จะโงหัวไม่ขึ้นแล้วนะเจ้าคะ
พอพูดถึงตรงนี้ เจียงซื่อกวาดสายตามองเจียงจั้นหนึ่งที “โชคดีที่พี่รองรู้ตัวเร็ว และแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจน ในขณะที่คนนอกยังไม่ได้คาดเดาเป็นอื่นจากคำบอกเล่าที่ได้ยินมา หากท่านย่าไม่เชื่อ ลองให้คนออกไปสืบดูก็ได้เจ้าค่ะ เพื่อนบ้านระแวกใกล้ๆ นี้จะต้องคิดว่าพวกเราทำถูกแล้ว ฉะนั้น หลานถึงบอกว่าพี่รองไม่ควรได้รับการลงโทษ แต่ควรได้รับรางวัลเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อพูดออกมาอย่างมีเหตุมีผล เฝิงเหล่าฮูหยินอยากโต้แย้ง แต่แทบไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้เลย ต่อหน้าธารกำนันจะให้เสียหน้าตำแหน่งท่านย่าก็มิได้ ก็ได้แต่โมโหจนหน้าซีด
“พูดได้เยี่ยมมาก!” เจียงอันเฉิงตบเข้าที่ขา เพียะ พอเห็นสีหน้าเฝิงเหล่าฮูหยินไม่สู้ดีนักจึงพูดปลอบ “ท่านแม่ใจเย็นก่อน ลูกจะเขียนจดหมายและสินสอดไปยกเลิกงานสมรสที่จวนอันกั๋วกงเดี๋ยวนี้!”
เฝิงเหล่าฮูหยินถึงกับจุกอยู่ที่คอพูดไม่ออก
เจียงอันเฉิงจึงใช้โอกาสนี้เตะเจียงจั้นหนึ่งที “ยังคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทำไม ลุกขึ้นไปช่วยข้าเตรียมของสิ!”
“ขอรับ!” เจียงจั้นขานตอบ พลางกะพริบตาให้เจียงซื่อ จากนั้นก็วิ่งตามเจียงอันเฉิงไปทันที
“นี่มัน” ความโมโหที่จุกแน่นอยู่ตรงออก ในที่สุดมันก็ถูกเปล่งออกมา แต่ตอนนั้นบุตรชายคนโตกับหลานชายคนรองหนีไปหมดแล้ว เหลือเพียงเจียงซื่อที่ยังระบายอารมณ์ต่อได้
เจียงซื่อกะพริบตาปริบๆ แล้วน้ำตาก็พลันเอ่อล้น พร้อมกับย่อตัวลงต่อหน้าเฝิงเหล่าฮูหยิน “ท่านย่า แม้หลานรู้สึกดีใจมากที่ได้ยกเลิกงานสมรสกับคนที่ไม่อยู่ในกรอบอย่างเขา แต่การที่สตรีหญิงถูกยกเลิกการสมรสก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดี… หลานรู้สึกไม่สบายใจเจ้าค่ะ ขอไปพักก่อนนะเจ้าคะ”
แล้วเจียงซื่อก็หายไปด้วยอีกคนในเวลาเพียงสั้นๆ เหลือไว้เพียงเฝิงเหล่าฮูหยินที่อารมณ์ยังค้างอยู่อย่างนั้น
“เฝิงเหล่าฮูหยิน งานแต่งงานนี้ยกเลิกแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ” คนที่เอ่ยถามคืออาสะใภ้รองเซียวซื่อของเจียงซื่อ
เจียงซื่อสูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก แล้วเจียงอันเฉิงไม่ได้แต่งงานใหม่ ฉะนั้นคนที่มีอำนาจดูแลจวนปั๋วทั้งหมดก็ตกเป็นของเซียวซื่อ
เซียวซื่อเป็นคนเก่ง แม้ฐานะทางตระกูลฝั่งแม่นั้นธรรมดา แต่นายท่านรองเป็นคนใจสู้ ได้เข้าสู่เส้นทางการเป็นขุนนาง จนได้สถานะเป็นจิ้นซื่อ[1] ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเส้าชิงในศูนย์พิทักษ์อาชา เจียงชังบุตรคนโตได้สืบทอดพรสวรรค์แห่งนักอ่านมาจากบิดา เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันแล้วถือว่าพอมีชื่อเสียงบ้างแล้วเล็กน้อย
หากนำมาเทียบกัน อำนาจของเรือนใหญ่ค่อนข้างน้อย เรื่องที่พอตัดสินใจได้ก็คงเป็นงานสมรสของเจียงซื่อ
แน่นอนว่าข้อได้เปรียบข้อนี้ก็ไม่มีแล้วเช่นกัน
เซียวซื่ออยากให้เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่เช่นนั้น ครอบครัวว่าที่สามีของเจียงซื่อจะต้องกดทับครอบครัวสามีของบุตรสาวของตนลงไปอีกแน่ๆ แต่นางเข้าใจดีว่านายท่านรองเจียงเองก็ให้ความสำคัญกับงานสมรสในครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงได้เอ่ยถามออกไปเช่นนั้น
เฝิงเหล่าฮูหยินได้สติ จึงสั่งบ่าวรับใช้ “ไปเรียกนายท่านรองกลับจากที่ทำการเดี๋ยวนี้!”
ในเรือนไห่ถัง เจียงซื่อเพิ่งจะได้ความสงบกลับมา แล้วอาเฉี่ยวก็พรวดเข้ามารายงาน “คุณหนู เหล่าฮูหยินส่งคนไปเชิญนายท่านรองแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อไม่รู้สึกแปลกใจ พลางสั่งอาหมานออกไป “ไปเชิญคุณชายรองมาหน่อย”
เวลาผ่านไปไม่นาน เจียงจั้นก็เดินเข้ามาท่าทางสบายใจเฉิบ
เจียงซื่ออดขมวดคิ้วไม่ได้ “เหตุใดพี่รองถึงทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนโจรเล่า”
พอได้สบตาอันแวววาวของน้องสาว ทันใดนั้น เจียงจั้นก็ไม่รู้จะเอามือเท้าวางไว้ที่ไหน ใบหูเริ่มเป็นสีแดงพลางเอ่ย “ท่านย่ากำลังโกรธข้าอยู่ ถ้ารู้ว่าข้ามาหาเจ้า จะพลอยทำให้เจ้าลำบากไปด้วย…”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ท่านย่าเป็นคนที่แบ่งแยกการลงโทษกับการให้รางวัลที่ชัดเจน เป็นคนจิตใจกว้างขวาง”
“เจ้าพูดจริงรึ” เจียงจั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจ
เจียงซื่อยิ้มอย่างแผ่วเบาหนึ่งที “พี่รองฟังไว้ก็พอเจ้าค่ะ”
“ข้าก็ว่า ท่านย่าใช่คนแบบนั้นที่ไหนกัน!” เจียงจั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองสายตาอันเงาวับของเจียงซื่อ
เมื่อก่อน เขาอยากทำความสนิทสนมกับน้องสาวมาก แต่มักรู้สึกว่าน้องสาวของตนเป็นคนที่หาถึงได้ยาก ถ้าคิดอยากจะพูดเสียงดังหน่อย ยังต้องคิดแล้วคิดอีก แต่ตอนนี้เขากลับพบว่าน้องสาวของเขาน่ารักขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
“พี่รองหยุดวิจารณ์ท่านย่าก่อนเถอะ หากแพร่งพรายออกไปจะกลายเป็นขี้ปากผู้อื่นได้”
ใบหน้ารูปงามของเจียงจั้นแสดงไว้ด้วยรอยยิ้มอย่างคนโง่ “ข้าจะพูดต่อหน้าน้องเท่านั้น ว่าแต่ น้องสี่เรียกข้ามาด้วยเหตุอันใดรึ”
“พี่รองนั่งลงเสียก่อน” เจียงซื่อชี้ไปที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง ส่วนนางนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
อาเฉี่ยวยกน้ำชาวางไว้ด้านหน้าเจียงจั้น
เจียงจั้นยกน้ำขาขึ้นดื่มหนึ่งอึก
แม้เขาไม่ชอบการชิมชาและแต่งกลอน แต่เพื่อไว้หน้าน้องสาว เขาย่อมยอมทำได้
“พี่รองไปหอนางโลมปี้ชุนบ่อยใช่หรือไม่” เมื่อคืนตอนที่เจียงซื่อลงน้ำไปช่วยคน ตอนนี้เล็บมือยังเย็นไม่หาย นางจึงถือถ้วยน้ำชาร้อนๆ เอาไว้พลางเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม
พรวด—— เจียงจั้นถึงกับสำลักน้ำชาออกมา
เจียงซื่อไม่ได้รีบร้อน ใช้มือกุมแก้วรอพี่ชายสงบสติอารมณ์
เจียงจั้นพยายามเก็บความรู้สึกอยากหนีเอาไว้ พลางเอ่ยด้วยสีหน้าตึงเครียดแต่ฝืนยิ้ม “ใช่ที่ไหนกัน ประตูหอนางโลมปี้ชุนอยู่ที่ไหนข้ายังไม่รู้เลย! ใครมาเป่าหูน้องสี่ล่ะ ถ้าข้ารู้ข้าจะลอกหนังมันออกมาให้หมด!”
อาหมานกับอาเฉี่ยวที่ยืนอยู่ข้างๆ พลันรู้สึกขนลุกซู่
ซึ่งคุณชายรองก็มักทำให้รู้สึกว่า เขาพร้อมที่ฆ่าปิดปากคนได้ตลอดเวลาเช่นกัน
เจียงซื่อวางถ้วยน้ำชาลงที่โต๊ะพลางถอนหายใจ “ก็นึกว่าพี่รองคุ้นเคยเป็นอย่างดี พอช่วยน้องได้บ้าง ถ้าเป็นเช่นนั้น น้องค่อยหาวิธีอื่นก็ได้เจ้าค่ะ”
เจียงจั้นพลันทำตาโต
น้องสี่หมายความอย่างไร ให้ตายเถอะ หรือน้องคิดจะปลอมตัวเป็นชายเข้าไปเที่ยวเล่นในที่แบบนั้นรึ
แล้วก็คล้ายว่าจะเป็นอย่างที่เขาคิด เจียงซื่อเอ่ยอย่างลำบากใจ “หรือถ้าไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ น้องคงต้องแวะไปด้วยตัวเองสักหน่อยแล้วล่ะ”
“อย่าเชียวนะ เดี๋ยวข้าไปให้เอง!”
“ท่านพี่ไม่รู้แม้กระทั่งประตูของหอนางโลมปี้ชุนอยู่ที่ไหนมิใช่รึ”
“ไม่ๆ ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี แค่กๆ ไม่ใช่ ข้าหมายความว่า แม้ข้าจะไม่คุ้นเคย แต่ก็เคยเดินผ่านน่ะ…” เจียงจั้นพลันรู้สึกยิ่งพูดยิ่งไปกันใหญ่ ใบหน้าเริ่มมีอาการร้อนผ่าว
“ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นข้าขอไหว้วานให้พี่รองช่วยไปที่หอนางโลมปี้ชุนให้ข้าหน่อย” เจียงซื่อหยิบสิ่งของชิ้นหนึ่งยื่นให้
[1] จิ้นซื่อ หมายถึง ชื่อคุณวุฒิของผู้ที่สอบผ่านระบบการสอบเข้ารับราชการระดับราชสำนัก หรือระดับราชวังที่จะจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี