ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 110 ยอมรับผิด
ในสายตาของผู้บัญชาการ ความนิ่งของเสวียนฉือเป็นเพียงแค่การฝืนทำเท่านั้น เขายิ้มอย่างเย็นชา “อาจารย์เสวียนฉืออย่าเพิ่งร้อนตัวไป ขอข้านำตัวพยานออกมาก่อน”
เมื่อเขาพูดจบก็พยักหน้าให้กับลูกน้อง ไม่นานหญิงชราท่านหนึ่งก็ถูกนำตัวเข้ามา
เสียงตื่นตระหนกดังขึ้นจากฝูงชนทันที “นี่มันท่านป้าหวัง!”
“อาซ้อบอกเรื่องความสัมพันธ์ของท่านกับตระกูลหลิวมาเถิด ยังมีท่านรู้อยู่อีกคน”
หญิงชรารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเนื่องจากมีสายตาของผู้คนจำนวนมากมองมา จึงอดมองไปที่ผู้บัญชาการไม่ได้
ผู้บัญชาการส่งยิ้มให้กำลังใจ
ในสายตาชาวบ้าน การมีทางการเป็นฝ่ายรับผิดชอบมันทำให้มั่นใจขึ้นเยอะเลย หญิงชราเอ่ยพูดขึ้น “ยายเป็นเพื่อนบ้านตระกูลหลิวมาหลายสิบปี เป็นคนที่เห็นแม่ของหลิวเซิ่งแต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่ พ่อกับแม่ของเขาแต่งงานอยู่กินกันมาสิบกว่าปีโดยไม่มีบุตร ทะเลาะกันกี่ครั้งต่อกี่ครั้งล้วนอยู่ในสายตา…”
หญิงชราตกอยู่ในห้วงความทรงจำ “นึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ แม่ของหลิวเซิ่งที่อายุสามสิบกว่าปีจะคลอดหลิวเซิ่งออกมา ตอนนั้นยายก็ดีใจแทนพวกเขานะ ทว่าต่อมากลับพบว่านี่มันไม่ถูก…”
“ไม่ถูกอย่างไร?” ผู้บัญชาการถามขึ้นอย่างประจวบเหมาะ
หญิงชราถอนหายใจออกมา “ตอนที่ให้กำเนิดหลิวเซิ่งได้ครึ่งปีนั้น สองสามีภรรยาใกล้ชิดสนิทสนมกันมาก แต่มีอยู่วันหนึ่งพ่อของหลิวเซิ่งทุบตีแม่ของเขาอย่างรุนแรง ตั้งแต่นั้นมาการที่แม่ของหลิวเซิ่งถูกทุบตีก็กลายเป็นเรื่องปกติ สุดท้ายมีอยู่ครั้งหนึ่งยายเจอแม่ของหลิวเซิ่งกับอารองของเขา…”
หญิงชราส่ายหน้าไปมา “พวกเจ้าดูสิจะไม่โดนทุบตีได้อย่างไร ต่อมาพ่อของหลิวเซิ่งไม่อยู่แล้ว แม่ของเขาจึงไม่ถูกทุบตีอีก ใบหน้าเริ่มยิ้มแย้ม พอยายเห็นอารองของหลิวเซิ่งดีกับหลิวเซิ่งขนาดนั้นก็เลยเข้าใจได้ทันที เพียงแต่ว่าถ้าคิดจะเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา แม่ของหลิวเซิ่งคงไม่เหลือทางรอด ดังนั้นก็เลยไม่เคยพูดถึงเลย”
กล่าวถึงตรงนี้ หญิงชราก็ถอนหายใจออกมา “ตอนนี้คนก็ไม่อยู่แล้ว แถมยังตายไปอย่างไม่สงบ ยายรู้สึกว่าไม่อาจปิดบังได้อีกต่อไป คงไม่อาจปล่อยให้ทุกคนเชื่อเรื่องปลอมๆ นี้ได้อีก”
“ที่แท้หลิวเซิ่งก็เป็นลูกของอารองเขานี่เอง!” คนที่มุงดูต่างก็พูดเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวขึ้นมา
ผู้บัญชาการมองไปที่เสวียนฉืออย่างเย็นชา
เสวียนฉือยังคงรักษาสีหน้าที่นิ่งสงบไว้เหมือนเดิม “แม้หลิวเซิ่งจะเป็นลูกของอารองเขาและอาตมากับอารองเขาเป็นสหายเก่ากัน แต่สิ่งที่อาตมาพูดว่าจะฟื้นฟูวัดหลิงอู้ให้เจริญรุ่งเรืองในปีนั้น โยมก็ไม่สามารถยืนยันว่าอาตมาเป็นคนฆ่าหลิวเซิ่งได้”
“ฮ่า ฮ่า ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะอาจารย์เสวียนฉือ” ทันใดนั้นผู้บัญชาการเดินรุดไปข้างหน้า เข้าประชิดตัวเสวียนฉือ
ในที่สุดสีหน้าของเสวียนฉือก็ดูระแวดระวังมากขึ้น
ผู้บัญชาการยื่นมือออกมาอย่างรวดเร็ว คว้าหมับเข้าที่แขนเสื้อทางด้านซ้ายของเสวียนฉือแล้วถลกขึ้น
“เจ้าจะทำอะไร!” ซื่อไห่ตะเบ็งเสียงด้วยความโกรธ สายตาบังเอิญสะดุดลงที่บริเวณแขนของเสวียนฉือ เขารู้สึกตกใจออกมาอย่างอดไม่ได้
แสงไฟกลางลานสว่างจ้า รอยข่วนลึกที่ยังมีคราบเลือดติดอยู่บริเวณแขนของเสวียนฉือสะดุดตาเป็นพิเศษ
“มีอะไรรึ” พวกที่มุงดูต่างมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่เนื่องจากอยู่ไกลจึงเห็นไม่ชัด
“ข้าคอยจับตาดู เห็นอาจารย์เสวียนฉือใช้มือซ้ายหมุนลูกประคำอยู่ตลอด” น้ำเสียงพูดของผู้บัญชาการในยามวิกาลดูเยือกเย็นเล็กน้อย “ซื่อเจี้ยถนัดซ้าย อาจารย์เสวียนฉือก็ถนัดซ้ายเช่นกัน เรื่องบังเอิญเช่นนี้มีอยู่จริง แต่พบได้น้อยมาก ทว่าถ้าเปรียบเทียบกันขึ้นมาข้าเชื่อในการคาดคะเนของตัวเองมากกว่า ตอนที่หลิวเซิ่งพยายามต่อสู้ดิ้นรนคงจะข่วนโดนตรงมือขวาของท่านสินะ!”
“อมิตพุทธ ท่านเข้าใจผิดแล้ว รอยข่วนที่มือของอาตมามาจากแมวป่า”
“อาจารย์เสวียนฉือยังนิ่งเฉยได้อยู่อีกรึ!” ผู้บัญชาการยื่นมือออกมาพลางแสยะยิ้มถามขึ้น “ถ้าอย่างนั้นนี่ล่ะ?”
ในมือของเขามีลูกประคำเม็ดหนึ่ง ลูกประคำเม็ดเล็กๆ กลับทำให้สีหน้าของเสวียนฉือเปลี่ยนไปภายในพริบตาเดียว
ผู้บัญชาการหัวเราะออกมาเบาๆ “ลูกประคำต้นจันทน์แบบนี้ไม่ใช่ของที่พระสงฆ์ธรรมดาใช้กัน ข้าสังเกตมานานมาก ท่ามกลางพระท่านที่อยู่ในลานนี้มีเพียงแค่ลูกประคำของอาจารย์เสวียนฉือเท่านั้นที่เป็นลูกประคำต้นจันทน์”
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่ผู้บัญชาการพูด ต่างก็มองมายังลูกประคำที่ห้อยอยู่บนตัวของเสวียนฉืออย่างอดไม่ได้ มันเป็นลูกประคำต้นจันทน์จริงๆ ด้วย
ผู้บัญชาการชูลูกประคำในมือขึ้นสูงแล้วตะโกนเสียงดัง “ลูกประคำเม็ดนี้เจ้าหน้าที่ตรวจการเจอที่บริเวณใกล้บ่อน้ำ ซึ่งไม่ใช่พระธรรมดาทุกท่านที่ไปตักน้ำจะมีเด็ดขาด อาจารย์เสวียนฉือ ว่ากันว่าต้องให้ความสำคัญกับจำนวนเม็ดของลูกประคำ ถ้าดูด้วยตาเปล่าลูกประคำเส้นที่ห้อยอยู่บนตัวท่านก็ควรจะมีหนึ่งร้อยแปดลูก!”
เสวียนฉือทำหน้าขรึมไม่พูดไม่จา มือซ้ายหมุนลูกประคำเร็วขึ้นกว่าเดิม
“เข้ามาปลดลูกประคำของอาจารย์เสวียนฉือ แล้วนับจำนวนดูให้ชัดเจน!”
“อมิตาพุทธ อาตมายังอยู่ในตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ท่านอาศัยเพียงแค่ลูกประคำเม็ดเดียวมากล่าวหาอาตมามีเจตนาอันใด หรือว่ามีอคติในใจต่อวันหลิงอู้ของอาตมา มิฉะนั้นทำไมท่านถึงบังเอิญมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ล่ะ”
“อย่ามากล่าวหาอาจารย์อาเสวียนฉือนะ!” พระสงฆ์จำนวนหนึ่งตะโกนออกมา โดยเฉพาะซื่อไห่ตะโกนออกมาเสียงดังที่สุด ทว่าก็มีพระสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งนิ่งเงียบ
“ข้ากับวัดอันเลอค่านี้ไร้ซึ่งความแค้นต่อกัน แถมข้ายังเคยมาจุดธูปบูชาที่วัดด้วย ไม่ได้มีเจตนากล่าวร้ายอันใด ตอนนี้เบาะแสต่างๆ ล้วนชี้โยงไปที่อาจารย์เสวียนฉือ ถ้าหากว่าอาจารย์เสวียนฉือไม่ได้ทำสิ่งที่ต้องละอายแก่ใจ นี่เป็นโอกาสดีที่จะพิสูจน์ตนเอง แล้วเหตุใดถึงต้องมาขัดขวาง” ผู้บัญชาการกวักมือขึ้น “ยืนซื่ออยู่ทำไม ปลดลูกประคำของเสวียนฉือออก!”
มีลูกน้องที่ขมับเส้นเลือดปูดนูนคนหนึ่งเข้ามากดเสวียนฉือลงพลางปลดลูกประคำออก แล้วยื่นให้ผู้บัญชาการอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้พระท่านต่างก็ไม่มีใครว่าอะไร
ผู้บัญชาการลูบลูกประคำไปมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่งมันให้หลี่เจิ้ง “หลี่เจิ้ง เจ้านับดูว่าลูกประคำเส้นนี้มีกี่ลูก”
หลี่เจิ้งหน้าแดงระเรื่อ “ข้าน้อยนับเลขไม่เป็น…”
แค่ก แค่ก ท่านผู้บัญชาการที่สงบเยือกเย็นสำลักออกมาทันที
“นายท่านให้เจ้าซื่อบื้อนั่นนับดู เด็กนี่มันหัวดี” หลี่เจิ้งชี้ไปที่เด็กหนุ่มข้างกาย
ผู้บัญชาการจะพูดอะไรได้ เขาได้แต่พยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มข้างกายท่าทางตื่นเต้นมากที่ได้รับหน้าที่สำคัญ เขารับลูกประคำมาด้วยความระมัดระวัง ทุกครั้งที่นับก็ตะโกนเสียงดังลั่น “ลูกที่หนึ่ง สอง…หนึ่งร้อยเจ็ด”
เมื่อนับเสร็จแล้วตะโกนออกมาว่า ‘หนึ่งร้อยเจ็ด’ ทั่วทั้งลานกว้างก็เงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ
“ยังมีผู้ใดที่นับเลขเป็นอีกหรือไม่ เปลี่ยนคนมานับอีกรอบ”
สักพักก็มีคนอาสาออกมาเอง สุดท้ายยังคงนับได้หนึ่งร้อยเจ็ดลูก
“อาจารย์เสวียนฉือมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
“ลูกประคำหายไปตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงมาโผล่ที่บริเวณบ่อน้ำได้ อาตมาไม่รู้เรื่องจริงๆ” เสวียนฉือพูดไปพลางเหลือบมองพระที่รับหน้าที่กวาดพื้น จากนั้นก็เอ่ยชี้เป็นนัย “บางทีอาจจะเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ใส่ร้าย? ตั้งแต่ปีนั้นอาตมาเป็นลูกศิษย์ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาจนมาถึงตอนนี้ได้เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาส ไม่แน่อาจจะมีพวกศิษย์พี่และศิษย์น้องอิจฉาก็ได้”
การกวาดพื้นมานานสิบกว่าปีทำให้เสวียนอันสงบมาก จึงได้ยินเพียงแค่เสียงเขาเอ่ยบทสวด
ผู้บัญชาการยิ้มร่า “นี่มันเปิดโลกข้าจริงๆ ไม่นึกเลยว่าเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วท่านยังจะไม่ยอมรับผิดอีก! ถ้างั้นท่านจะอธิบายเรื่องคราบเลือดที่อยู่บนเชือกร้อยลูกประคำอย่างไร”
ผู้บัญชาการดึงลูกประคำออกเผยให้เห็นเชือก “คราบเลือดพวกนี้ยังเป็นสีแดงเข้ม เห็นได้ชัดว่ามันเป็นรอยเลือดที่พึ่งเลอะติดไม่นาน แถมยังมีลูกประคำที่ตกหล่นอยู่ในที่เกิดเหตุ มีเรื่องราวอันเลวร้ายในปีก่อนๆ ที่ถูกเปิดเผย มีศิษย์คนสนิทปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของหลิวเซิ่งพร้อมกับลงมือฆ่าแม่ของหลิวเซิ่ง…เสวียนฉือ ท่านยอมรับผิดเถอะ อย่าเห็นทุกคนเป็นคนโง่!”
เสวียนฉือเซถอยหลัง ในที่สุดก็ยอมรับความผิด
สิ่งที่ทำให้ทุกคนเลื่อมใสก็คือ ไม่นึกเลยว่าการคาดคะเนของผู้บัญชาการจะคล้ายกับข้อแก้ต่างของเสวียนฉือ
ค่ำคืนอันมืดมิดได้ล่วงเลยผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว เสวียนฉือถูกคุมตัวไปไว้ที่โรงฟืน คนที่มุงดูต่างก็พากันทอดถอนหายใจด้วยความโกรธจากนั้นก็สลายตัวไป เดาว่าพรุ่งนี้หลังจากข่าวแพร่สะพัดไปแล้วมันจะเป็นมรสุมใหญ่แน่
พระท่านต่างก็รู้เลยว่าหลังจากวันนี้ไปจะต้องลำบากมากแน่นอน จึงแยกย้ายกันไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
ก่อนที่ผู้บัญชาการจะเข้าไปพักผ่อนก็ได้ไปหาเจียงซื่อ แล้วคำนับนางหนึ่งที “ขอบใจแม่นางมากที่ช่วยเหลือ”
เจียงจั้นตกตะลึง
น้องสี่ทำอะไร ทำไมเขาถึงไม่รู้