ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 12 บุรุษ
เมื่อเจียงจั้นหลับตารอความตาย จู่ๆ เสียงตุบ ก็ดังขึ้น ต่อด้วยเสียงมีดแทงเข้ากับสิ่งของบางอย่าง
เขาตะโกนร้องลั่น พลันเอามือจับท้องอิงกำแพง
แสงตะวันส่องไม่ถึงกำแพงในตรอกซอยลับตลอดปี แม้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ก็ยังเย็นและร่มรื่นอยู่เสมอ
เจียงจั้นหลับตาพร้อมเอามือดันกำแพงเอาไว้ เมื่อสัมผัสถึงของเหลวลื่นๆ หน้าเขาก็เริ่มซีดขาว
ตายแน่ๆ เลือดของเขาได้เปื้อนไปทั้งกำแพงแล้ว เขาตายแล้วใช่หรือไม่
มีสิ่งของบางอย่างกำลังดึงเสื้อของเจียงจั้น
เจียงจั้นได้ยินเสียง หวืด ดังขึ้นในสมอง
ยมบาลเขาวัวมารับเขาเร็วปานนี้เลยรึ
ไม่ได้ เขายังตายไม่ได้ น้องสี่ยังรอเขากลับไปรายงานอยู่เลย!
เจียงจั้นลืมตาขึ้น พลันได้สบตากับ ‘ยมบาลเขาวัว’ ที่ดึงเสื้อผ้าเขาพอดี
หูของมันตั้งขึ้น มีใบหน้ายาว แล้วมันก็พ่นลมหายใจออกทางจมูก มันยังมีขนสีเหลืองเข้มขึ้นเต็มตัว…
อืม รูปลักษณ์นี้ ต่างจาก ‘วัว’ ลิบลับ น่าจะเป็นหน้าม้ามากกว่า!
เจียงจั้นสำรวจอยู่พักใหญ่ แล้วจึงลงข้อสรุป
“พี่ม้า ข้ายังตายไม่ได้ ข้ามีท่านพ่อที่พิการ มีน้องสาวที่อ่อนแอ พวกเขาต้องพึ่งข้าในการใช้ชีวิต ได้โปรดปล่อยข้าไป ได้โปรดปล่อยข้ากลับสู่โลกเถอะ”
‘หน้าม้า’ แยกเขี้ยว โฮ่ง
เจียงจั้นพูดไม่ออกสักคำ ราวกับคนที่ถูกคนบีบคอเอาไว้ เพราะ ‘หน้าม้า’ นั่นเบิกตาโตจ้องเขาแล้วลั่นเสียง ‘โฮ่ง’
เหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“เอ้อร์หนิว กลับมา!” พลันมีเสียงเรียบดังขึ้น
เจียงจั้นตกใจสะดุ้ง พลันหันไปมอง จึงเห็นเป็นบุรุษคนหนึ่ง ซึ่งได้ยืนห่างออกไปราวสิบอิงฉื่อ
บุรุษคนนั้นอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปด แต่สูงกว่าเขาเกือบสองนิ้ว รูปคิ้วโค้งเรียวยาว ดวงตาสีดำเงางาม ใบหน้าเย็นชาแทบไม่แสดงสีหน้าใดๆ ราวกับดาบเลื่องชื่อที่ซ่อนไว้ในฝักมีด แทบไม่กล้าสบตาด้วย
“เจ้าเป็นใคร” เจียงจั้นตะลึงตกใจ
“ข้าเป็นคน” บุรุษตอบกลับ
“แล้วนั่นคือ——” เจียงจั้นก้มหัวอย่างลำบาก พลางชี้ไปยังเจ้า ‘หน้าม้า’ ที่เดินกะเผลกไปหาบุรุษผู้นั้นด้วยสีหน้าที่ดูซับซ้อน
บุรุษมองลึกเข้าไปในดวงตาของเจียงจั้น พลางเปล่าออกมาคำหนึ่ง ‘สุนัข’
ในเสี้ยวเวลานั้น เจียงจั้นสัมผัสได้ถึงความตลกที่มาจากบุรุษผู้นั้น
แค่กๆๆๆ เจียงจั้นใช้เสียงไอกลบเกลื่อนความอาย
บุรุษลูบหัวเจ้าสุนัขตัวนั้น พลางเอ่ยเตือน “ถ้าไม่กลับกันอีก เดี๋ยวคนๆ นั้นก็ตื่นหรอก”
เจียงจั้นก้มหัวลง ถึงได้พบว่าคนที่โจมตีเขาก่อนหน้านี้ล้มอยู่ตรงหน้าเขา
“เขาตายแล้วหรือ”
“ยัง แค่สลบน่ะ”
เจียงจั้นดูมือของตัวเอง พบว่าเปื้อนไปด้วยสิ่งของที่มีสีเขียว จึงบ่นงึมงำ “นี่มันอะไรกัน”
“ไถเสี่ยน[1]น่ะ” บุรุษตอบกลับอย่างเรียบๆ และยังใช้นิ้วชี้ให้ดู “จากบนกำแพง”
เจียงจั้นมองตาม ถึงได้เข้าใจว่า ของเหลวที่เขาสัมผัสโดนเมื่อครู่นี้ มันมาจากตรงนี้นี่เอง
ที่แท้ไม่ใช่เลือดของเขา แต่คือมอสส์!
การได้รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร มันทำให้เจียงจั้นถึงกับหน้าแดง พลางเอ่ยด้วยความเขิน “งั้นเรารีบหนีกันเถอะ”
“อืม หนีไปพร้อมกันเลย” บุรุษพยักหน้าหงึกๆ
ความคิดประหลาดๆ พลันแล่นขึ้นในหัวของเจียงจั้น
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด บุรุษคนนี้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนเข้าถึงยาก แต่เขากลับเป็นมิตรกับเขาเป็นอย่างมาก
ใบหน้ารูปงามก็กลายเป็นข้อดีได้อย่างนั้นรึ
ไม่น่าใช่ บุรุษคนนี้รูปงามกว่าเขาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
บางทีคงเป็นคนที่เข้าใจซึ่งกันและกันล่ะกระมัง
คนสองคนกับสุนัขหนึ่งตัว พากันวิ่งออกจากตรอกซอยลับอันยาวจนถึงหน้าถนนที่เต็มไปด้วยความคึกคักด้วยลมหายใจเพียงฮึดเดียว
ใต้แสงตะวันที่กำลังสาดส่อง เจียงจั้นพลันเกิดความรู้สึกเหมือนเป็นผู้รอดจากภัยพิบัติ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ กุมมือพร้อมกับยิ้มให้บุรุษผู้นั้น “ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าไว้ ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าอย่างไรหรือ”
บุรุษชะงักไปครู่หนึ่งถึงกล่าว “เจ้าเรียกข้าว่าอวี๋ชีก็ได้”
แนะนำตัวเสร็จ ก็ยังมิวายแนะนำสุนัขตัวใหญ่ข้างกายด้วย “มันชื่อเอ้อร์หนิว”
อายุของบุรุษคนนี้น่าจะมากกว่าตนหนึ่งหรือสองปี เจียงจั้นจึงเรียกขานออกไป ‘พี่อวี๋ชี’ จากนั้นโบกมือกับสุนัข “ว่าไง เอ้อร์หนิว”
สุนัขมองหน้าเจียงจั้นด้วยความมึนงง จากนั้นก็หันหน้าหนี
โดนสุนัขเมินหน้าหนีซะงั้น ข้าก็แค่เข้าใจผิดคิดว่าเป็น ‘หน้าม้า’ เอง ยังจำได้อยู่อีกหรือ!
เจียงจั้นส่งเสียง ฮึ่ม ใส่หนึ่งที แล้วเอ่ยถามอวี๋ชี “ไม่ทราบว่าเรือนของพี่อวี๋ชีอยู่ทางไหน ข้าน้อยจะขอเข้าไปเยี่ยมเพื่อแสดงความขอบคุณ”
หากพี่อวี๋ชีอยากทำความดีแบบไม่เปิดเผยชื่อ ไม่เปิดเผยที่อยู่อาศัยละก็ งั้นเขาก็จะรบเร้าให้ถึงที่สุดให้ได้
คนอย่างเจียงจั้นไม่ใช่คนไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณคนหรอกนะ
“ข้าพักอยู่ที่ตรอกเชวี่ยจื่อ ด้านหน้าประตูมีต้นพุทราคอหักตรงนั้นน่ะ”
เจียงจั้นถึงกับพูดไม่ออก
เหตุใดผู้มีพระคุณถึงไม่เดินตามบทล่ะ
“บังเอิญเชียว ตรอกเชวี่ยจื่ออยู่ไม่ไกลจากเรือนของข้า ข้าแซ่เจียง ชื่อจั้น เป็นลำดับรุ่นหลานลำดับที่สองของจวนตงผิงปั๋ว พักอยู่ตรงตรอกอี้เฉียน ไม่ไกลจากตรอกเชวี่ยจื่อนัก”
“เจียงจั้น” อวี๋ชีพูดซ้ำพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ๆ เจียงจั้นนั่นล่ะ” เจียงจั้นได้ยินบุรุษขานชื่อเขาด้วยเสียงใสชัดเจน ก็รู้สึกขนลุกไปทั้งหัว
คนๆ นี้นี่มันเป็นปีศาจที่โผล่มาจากไหนกันละเนี่ย เสียงไพเราะเสนาะหูมาก เขาที่เป็นผู้ชาย ฟังแล้วยังรู้สึกใจเต้นตึกตัก
โฮ่งง
เจียงจั้นสบตากับสุนัขด้วยหน้าดำคล้ำเครียด ปากกระตุกเล็กน้อย
สัตว์จอมทำลายบรรยากาศ
สุนัขไม่สนใจเมินหน้าหนีอีกครั้ง
“พี่อวี๋ ข้ายังมีธุระขอลากลับก่อน ไว้ข้าจัดการเสร็จแล้วข้าจะรีบไปเยี่ยมท่าน”
“อืม” อวี๋ชีตอบสั้นๆ พลางพยักหน้าเข้าใจ
“ปกติพี่อวี๋อยู่ที่เรือนเวลาไหนหรือ”
ริมฝีปากของอวี๋ชีเป็นรูปโค้งเล็กๆ “ข้าพร้อมต้อนรับทุกเวลา”
ไม่ได้ๆ ถ้าขืนคุยต่อ ต้องเกิดความสงสัยในตัวเองเป็นแน่ เจียงจั้นแสดงความขอบคุณอีกครั้ง แล้วจึงรีบกลับจวนทันที
ดอกไม้ในเรือนไห่ถังบานสะพรั่งเต็มสวน มีจิ้งหรีดตัวหนึ่งส่งเสียงไม่หยุด แต่ไม่รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหน
เจียงซื่อถือหนังสือไว้หนึ่งเล่มและพิงอยู่กับต้นไห่ถังต้นหนึ่ง แต่ใจกลับเหม่อลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เหตุใดพี่รองถึงยังไม่กลับมาอีก จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่นะ
“คุณหนู คุณชายรองกลับมาแล้วเจ้าค่ะ” อาเฉี่ยวเปิดประตูเรือนออก พร้อมกับพาเจียงจั้นเดินเข้ามา
“น้องสี่…”
เจียงซื่อส่ายหัว เพื่อให้เจียงจั้นหยุดพูดก่อน “เข้ามาคุยด้านในเจ้าค่ะ”
พอเข้ามาถึงด้านใน เจียงจั้นก็นั่งลงที่เก้าอี้ทันที จากนั้นก็หันไปบอกอาเฉี่ยวอย่างไม่เกรงใจ “รีบเทน้ำชามาบรรเทาความตกใจของข้าหน่อย”
อาเฉี่ยวมองหน้าเจียงซื่อหนึ่งที
เจียงซื่อพยักหน้าเบาๆ อาเฉี่ยวถึงยอมไปหยิบ และเดินกลับมาพร้อมถ้วยน้ำชาด้วยความรวดเร็ว
เจียงซื่อส่งสัญญาณให้อาเฉี่ยวออกไปรอข้างนอกก่อน นางรอเจียงจั้นดื่มน้ำชาไปครึ่งแก้วเพียงอึดใจเดียวอย่างอดทน แล้วจึงเอ่ยถาม “พี่รองเจอเรื่องอะไรมาหรือเจ้าคะ”
เจียงจั้นวางแก้วน้ำชาลงที่โต๊ะ หยิบผ้าออกมาเช็ดมุมปาก แล้วจึงเริ่มเล่า “น้องสี่ ทุกอย่างเป็นดั่งที่น้องสี่ว่าไว้จริงๆ มีคนไปหยิบของในกล่องร้องเรียนจริงๆ ด้วย”
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “แล้วพอพี่รองหยอดเสร็จ พี่ไม่ได้ออกจากตรงนั้นทันทีรึ”
ช่างเป็นพี่ชายที่เชื่อถือไม่ได้เสียจริง
เจียงจั้นหัวเราะด้วยความเขิน “ก็ข้าสงสัยนี่ ว่าจะมีคนมาจริงหรือไม่”
“หลังจากนั้นล่ะ”
“จากนั้นก็มีคนมาหยิบกล่องร้องเรียนไป แต่ข้ายังไม่ทันเดินจากไป ก็มีคนเข้ามาอีก!”
“มีคนมาอีกรึ เขาเห็นหน้าพี่รองแล้วอย่างนั้นรึ”
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ!” เจียงจั้นปฏิเสธอย่างฉับพลัน พอได้สบตากับเจียงซื่อ เขาจึงสารภาพ “ก็เห็น ไม่เพียงแค่เห็น แต่คนๆ นั้นยังคิดจะฆ่าข้าด้วย”
“แล้วพี่รองหนีมาได้อย่างไร” เจียงซื่อฟังจนเริ่มกลัว
เจียงจั้นดื่มน้ำชาที่เหลือจนหมดแก้ว เพื่อห้ามความอยากพูดโอ้อวดของตนเอาไว้ “ตอนนั้นข้านึกว่าช้าไป แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด แล้วก็มีคนเดินมาอีก!”
เจียงซื่อ “…”
พี่รองไม่ได้เรื่องขนาดนี้ นางเองก็รู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย
[1] ไถเสี่ยน หญ้ามอสส์