ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 141 ข้าโมโหมาก
องค์ชายแต่ละคนก้มหัวต่ำกว่าเดิมเมื่อได้ยินเสียงของจิ่งหมิงฮ่องเต้
“องค์ชายสี่ พวกเขาทะเลาะกันที่จวนของเจ้า เจ้าเป็นคนพูดก็แล้วกัน!”
องค์ชายสี่ลอบถอนหายใจ
เป็นไปตามคาด เจ้าของงานอย่างเขาอย่างไรก็หนีไม่พ้น
ภายใต้ความยำเกรงที่มีต่อฮ่องเต้ องค์ชายสี่ทำได้เพียงเล่าออกไป “วันนี้เป็นวันที่น้องแปดมีชันษาครบสิบแปดปี เดิมทีลูกคิดว่าไม่ง่ายเลยที่ปีนี้น้องเจ็ดได้กลับเข้ามาในเมืองหลวง ลูกก็เลยเรียกพี่น้องทุกคนมาร่วมฉลองด้วยกัน แต่ด้วยความที่น้องเจ็ดยังไม่มีจวน ลูกเลยเรียกทุกคนให้มาที่จวนลูกแทน…”
คำอธิบายขององค์ชายสี่ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เหมือนคิดบางอย่างขึ้นได้
พระองค์นึกออกแล้ว จนถึงบัดนี้ องค์ชายเจ็ดยังมิได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอ๋อง เขาจึงยังไม่มีที่อยู่อาศัย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ พอจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้มองอวี้จิ่นอีกครั้งก็ทำให้เกิดความรู้สึกผิดเล็กน้อย
ด้วยเหตุที่ดวงของลูกคนนี้กับฮ่องเต้ไม่สมพงษ์กัน ทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าลูกคนนี้ได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้ก็หาใช่ความผิดของเด็กไม่ แต่เป็นสวรรค์ต่างหากที่กลั่นแกล้งมนุษย์ สิ่งที่ควรให้อย่างไรเสียก็ต้องให้ ถึงจะมีลูกมากแค่ไหน สุดท้ายก็เป็นลูกของเขาอยู่ดี หาได้มาเพราะลมพัดพามาไม่
จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกคิดเงียบๆ พลางรู้สึกโมโหอยู่บ้าง
ข้าราชบริพาร เหล่านางกำนัลและนางใน นับตั้งแต่ภายในถึงภายนอก มีคนตั้งมากมายแต่กลับไม่มีใครตักเตือนเขาเรื่องนี้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ยอมรับหรอกว่าตนเองก็ลืม แต่กลับผลักความรู้สึกผิดเล็กน้อยนี่ออกไปเป็นไฟแห่งความโมโหและป้ายความผิดให้กับผู้อื่นแทน
“หลังจากนั้น พวกเราก็ดื่มกันมากไปหน่อย เลยเกิดการทะเลาะกัน…” องค์ชายสี่สีหน้าเริ่มเป็นสีเขียว เพราะทนพูดต่อไม่ไหว
สภาพตอนทะเลาะกันมันน่าขายหน้ามาก เขาเองก็รู้สึกอับอายเหมือนกัน
สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ครึ้มบ้างแล้วเล็กน้อย “ดื่มมากไปแล้วทะเลาะกันได้รึ ใครลงมือก่อน”
องค์ชายห้าสงบสติอารมณ์แล้ว จึงเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับปิดแผลบนศีรษะเอาไว้ “น้องเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ เจ้านั่นเอาไหสุราฟาดที่หัวของลูก!”
“เป็นเช่นนั้นจริงรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปยังอวี้จิ่น
อวี้จิ่นส่งเสียงอือแล้วตอบสั้นๆ “ขอรับ”
ไฟแห่งความโมโหของจิ่งหมิงฮ่องเต้พุ่งทะยานขึ้นสูง “เจ้าฟาดพี่เจ้าด้วยเหตุอันใด”
เวลานี้อย่าว่าแต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ แม้แต่เหล่าองค์ชายที่คุกเข่าเรียงรายกันอยู่ก็คิดถึงคำถามนี้เหมือนกัน เพราะเหตุใดกันนะ ตอนนั้นกำลังฟังองค์ชายห้าคุยโวยอยู่เลย ยิ่งฟังก็ยิ่งน่าสนใจแบบแปลกๆ แต่แล้วองค์ชายเจ็ดทำไมถึงต้องฟาดศีรษะองค์ชายห้าจนหัวแตก
อวี้จิ่นจับจมูก “ลูกดื่มมากไปพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าองค์ชายเซกันเป็นแถบ
“เจ้าแน่มาก!” จิ่งหมิงฮ่องเต้หรี่ตามองดูลูกชายแต่ละคนจนไม่รู้จะโมโหที่คนไหนก่อน “แล้วพวกเจ้าล่ะ องค์ชายห้าทะเลาะกับองค์ชายเจ็ด ทำไมพวกเจ้าถึงมีสภาพเป็นเช่นนี้ได้!”
เมื่อสายพระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้ตกอยู่ที่ตน องค์ชายหกที่เลือดอาบเต็มหน้าจึงกล่าวออกไปอย่างน้อยใจ “พี่ห้าชกจมูกของลูกจนเลือดออกพ่ะย่ะค่ะ!”
ตอนนั้นคนที่ดื่มหนักมากๆ ย่อมจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นคนลงมือก่อน องค์ชายห้าตะโกนขึ้นอย่างมั่นอกมั่นใจ “มันฟาดหน้าข้า!”
องค์ชายหกโกรธถึงขีดสุด “เจ้าชกจมูกข้าก่อน ข้าถึงได้ฟาดหน้าเจ้ากลับ!”
องค์ชายแปดช่วยพูดเสริม “พี่ห้าลงมือก่อน พี่ห้ายังเตะลูกจนกระเด็น แล้วลูกก็จับโดนเจ้าโลกของพี่สามโดยไม่ได้ตั้งใจ…”
“พรวด!” พวกขันทีที่ก้มหน้าลงต่ำ ในที่สุดก็มีคนหลุดขำออกมาด้วยความทนไม่ไหว โชคดีที่เหล่าเบื้องสูงทุกคนกำลังอยู่ในช่วงอารมณ์เดือดปุด จึงไม่มีใครทันสังเกต เขาถึงได้รอดไปได้อย่างโชคดี และไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
องค์ชายสามโมโหจนริมฝีปากซีดกลายเป็นสีขาว
เจ้าแปดสารเลว เรื่องน่าอายแบบนี้เดิมทีเขาคิดจะเก็บปากเงียบสนิท ต่อให้ตีให้ตายยังไงก็จะไม่พูดออกมา แล้วเป็นไงล่ะ เขาดันกลายเป็นตัวตลกของทุกคนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจมูกโดนชกจนเลือดออก ศีรษะโดนฟาดจนแตก แต่เมื่อเทียบเจ้าโลกเกือบถูกคนดึงจนขาดแล้วยิ่งไม่ควรเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
พวกไม่มีสมองทะเลาะกัน แต่คนที่อับอายขายหน้าที่สุดทำไมถึงต้องเป็นเขา??
ภายในใจขององค์ชายสามเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด เขากวาดสายตาแล้วหยุดลงที่องค์ชายสี่ จึงเอ่ยทันที “ลูกเองก็มีส่วนผิด พอลูกไม่ทันระวังก็ดันไปดึงกางเกงและกางเกงชั้นในของพี่สี่จนหลุดออก จนทำให้ก้นของพี่สี่โผล่ออกมา…”
องค์ชายสี่ “…” ข้าไปทำบาปกรรมอะไรไว้เนี่ย!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงกริ้วจนนวดเคราชี้ชัน “พวกไม่ได้เรื่อง!”
เหล่าองค์ชายก้มหน้าลงทันที “ลูกผิดไปแล้วขอรับ!”
“รู้ว่าผิดก็ดี!” สีพระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้มืดคล้ำดำสนิทราวกับก้นหม้อ “ไปพิจารณาตัวเองที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนเสีย ภายในสามวันนี้ ห้ามกินเนื้อสัตว์และธัญพืช ข้าว่าพวกเจ้าทะเลาะกันเพราะกินอิ่มมากไปน่ะสิ!”
ช่างได้เรื่องเสียเหลือเกินนะ ถ้าจะเป็นกันขนาดนี้ ทำไมไม่เปลื้องผ้าออกไปเล่นขี้ดินเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดยิ่งโมโห พลางกวาดสายหยุดลงที่ไท่จื่อที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขมวดคิ้วและตรัสออกไป “ไท่จื่อพิจารณาตัวเองที่ตงกงหนึ่งวัน!”
ไท่จื่อตะลึงงัน
การที่เขาต้องคุกเข่ารับโทษด้วยก็ไร้เหตุผลอยู่แล้ว เหตุใดยังต้องพิจารณาตัวเองด้วยอีกคน
ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี!
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังทรงพิโรธ พอเห็นสีหน้าไม่พึงพอใจของไท่จื่อ จึงหัวเราะเย็นชาพลางตรัสถาม “พวกเจ้ามีด้วยกันแปดพี่น้องคน มีหกคนอยู่รวมกันเพื่อฉลองวันเกิดให้เจ้าเจ็ด แต่ไม่มีเจ้าอยู่ด้วย มันเพราะเหตุใดล่ะ”
เป็นเพราะไท่จื่อคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น หรือเพราะเป็นคนสร้างความสัมพันธ์กับพี่น้องไม่เก่งจึงถูกพี่น้องคนอื่นทิ้ง?
ในสายพระเนตรของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ไม่ดีทั้งนั้น
ผู้สืบทอดบัลลังก์องค์ต่อไปนี้มีสภาพเป็นเช่นนี้ คงยากจะกระทำการใหญ่ได้ ฉะนั้น จะต้องลงโทษเขาด้วยอีกคน เพราะหยกที่ไม่ถูกเจียระไนจะไม่มีคุณค่า
“ลูก…ผิดไปแล้วขอรับ…” สีหน้าของไท่จื่อเดี๋ยวเป็นสีขาวเดี๋ยวเป็นสีแดง เขารู้สึกอึดอัดจนก้มหัวลง
องค์ชายสี่ส่งคำเชิญให้กับเขาแล้ว แต่เขามีสถานะเป็นอะไรล่ะ เหตุใดถึงต้องไปร่วมงานเลี้ยงองค์ชายเจ็ดที่แม้แต่เสด็จพ่อยังจำหน้าไม่ได้เล่า
แล้วองค์ชายสี่นี่อีก วันๆ เอาแต่แสดงว่าเป็นผู้ทรงคุณธรรม อยากเป็นไท่จื่อเองหรืออย่างไร ช่างหน้าใหญ่เสียจริงนะ!
เวลานี้ไท่จื่อไม่เข้าใจความตั้งใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้แม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกของการไม่ได้รับความเป็นธรรมและความน้อยใจ
เสด็จพ่อลำเอียงเหลือเกิน นั่นก็เพราะเสด็จแม่ด่วนจากไปเร็ว แล้วความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮองเฮาองค์ปัจจุบันก็ไม่สนิทกันมากนัก ในพระราชวังจึงไม่มีใครช่วยพูดออกหน้าแทนเขาเลยสักคน
“ไสหัวออกไปให้หมด!” ฮ่องเต้จิ่งหมิ่งสะบัดแขนฉลองพระองค์ ทันใดนั้นองรักษ์หลายนายก็เดินเข้ามาและนำตัวเหล่าองค์ชายออกไป
ภายในท้องพระโรงพลันโล่งว่างเปล่า
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงด้วยสีพระพักตร์หน้าดำคล้ำเครียด พานไห่ไม่กล้าแม้แต่เอ่ยเกลี้ยกล่อม จึงยืนอยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ
เรื่องภายในครอบครัวของฝ่าบาท เขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไร มิสู้รอให้ฝ่าบาทคลายอารมณ์ด้วยตนเองยังดีเสียกว่า
ไม่นาน นางสนมก็ทราบเรื่อง
เสียนเฟยเป็นพระมารดาขององค์ชายสี่กับอวี้จิ่น เมื่อได้ยินว่าอวี้จิ่นก่อเรื่องขึ้นในจวนของฉีอ๋องพลันเกิดความโมโหจนตัวสั่น
“มารผจญ ตั้งแต่เกิดมา มีแต่สร้างปัญหาให้กับข้าและจังเอ๋อร์ โตป่านนี้แล้วยังก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน สงสารก็แต่จังเอ๋อร์ของข้าที่ยังคิดเผื่อว่าจะจัดงานฉลองให้กับเขา…”
เวลานี้ไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย มีเพียงเสียนเฟยกับหมัวมัวผู้รู้ใจ
หมัวมัวเอ่ยเกลี้ยกล่อม “ใจเย็นๆ เพคะเหนียงเหนียง บ่าวว่า มันอาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นะเพคะ”
“เรื่องดี?”
“เพคะ เหนียงเหนียงลองคิดดูนะเพคะ องค์ชายเจ็ดมีชันษาครบสิบแปดปีแล้ว อันที่จริงก็ถึงเวลาที่ควรได้พบหน้ากับฝ่าบาทแล้ว แต่ฝ่าบาทไม่แม้แต่จะเอ่ยขึ้นมา คนอื่นๆ ก็เลยไม่กล้าเอ่ยถึงตามไปด้วย แล้วฝ่าบาททรงงานยุ่งมาก จู่ๆ จะให้นึกถึงองค์ชายเจ็ดขึ้นมาได้อย่างไร ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ไม่ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องหรือไม่ เวลานี้ฝ่าบาททรงจำองค์ชายเจ็ดขึ้นมาได้แล้ว”
เสียนเฟยหัวเราะอย่างเย็นชา “จำได้แล้วแล้วอย่างไรกันเล่า เจ้านั่นมันก็แค่สิ่งของตัวหนึ่งที่ดีแต่ก่อเรื่อง!”
“เหนียงเหนียงเพคะ ความตั้งใจของฉีอ๋องนั้นดีเพคะ ฮ่องเต้ทรงเข้าใจเป็นอย่างดี ถึงองค์ชายเจ็ดจะก่อเรื่องอีก ฝ่าบาทก็ไม่มีวันถือโทษมาถึงท่านอ๋องได้ ตอนนี้ฝ่าบาททรงจำองค์ชายเจ็ดได้แล้ว พระองค์ต้องแต่งตั้งให้เขาเป็นอ๋องตามกฎระเบียบเป็นแน่ พอถึงตอนนั้น ในอนาคตอาจเป็นสิ่งที่คอยช่วยเหลือท่านอ๋องได้นะเพคะ”
จากการเตือนของหมัวมัว ทำให้เสียนเฟยคิดตาม
องค์ชายเจ็ดก่อเรื่องเป็นการกระทำที่ตั้งใจใช่หรือไม่นะ?