ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 161 การตายของชิวลู่
สาวรับใช้ที่เอ่ยปากขึ้นมานั้นก็คือหนึ่งในสี่ของสาวรับใช้ของฮูหยินนามว่าซย่าอวี่ ท่าทางเมื่อครู่ของเจินซื่อเฉิงทำให้นางมีความกล้าหาญขึ้นแล้วกล่าวว่า “เมื่อวานก่อนประมาณเที่ยงวัน บ่าวกลับเข้าไปในห้องเพื่อรับใช้ฮูหยิน แต่กลับพบโดยบังเอิญว่าดวงตาของชิวลู่แดงเรื่อ ดูเหมือนเพิ่งจะร้องไห้มา”
“นั่นหมายความว่า บางทีฮูหยินอาจจะตำหนิติเตียนนางก่อนหน้านี้” เจินซื่อเฉิงทำการคาดเดา
“เป็นไปไม่ได้!” เซี่ยชิงเหยากล่าวขึ้นอย่างกระตือรือร้น “แม่ของข้าปฏิบัติต่อพวกนางอย่างดีและมีเมตตาเสมอมา ข้าไม่เคยเห็นท่านแม่โมโหใส่พวกนางเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงเหยาเช่นนั้น ซย่าอวี่จึงได้ก้มหน้าก้มตาลงไม่กล้าพูดอีก
เจินซื่อเฉิงไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้หันไปกำชับว่า “แม่นางเซี่ย ตอนที่ข้ากำลังสืบสวนคดีอยู่นั้นขออย่าได้เอ่ยแทรกขึ้นมา อารมณ์ของท่านอาจมีผลกระทบต่อการให้ปากคำของพวกนาง บัดนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการตรวจสอบให้พบกับความจริงใช่หรือไม่”
เซี่ยชิงเหยากัดริมฝีปากตนเอง ดวงตาของนางแดงเรื่อ
มารดาของนางจากไปอย่างน่าหดหู่ อีกทั้งยังอาจถูกตราหน้าว่าปฏิบัติต่อคนรับชายอย่างใจดำ เหตุใดนางจึงไม่ปวดหัวเล่า แต่ว่าใต้เท้าเจินก็กล่าวได้ถูกต้องแล้ว บัดนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความจริง มีเพียงความจริงเท่านั้นจึงจะสามารถปฏิเสธการคาดเดาต่างๆ นานาของคนภายนอกต่อมารดาของนางได้
“ซย่าอวี่ เจ้าคิดว่าปั๋วฮูหยินตำหนิติเตียนชิวลู่หรือไม่” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
ซย่าอวี่ดูลังเลเล็กน้อย
เจินซื่อเฉิงจึงมองไปทางเซี่ยชิงเหยา
เซี่ยชิงเหยารับรู้ได้ทันที นางจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ซย่าอวี่ เพียงแค่เจ้ากล่าวตามความจริง จะไม่มีผู้ได้ถือโทษเจ้า”
ซย่าอวี่จึงเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาของนางดูเป็นกังวลเล็กน้อยกล่าวว่า “เป็นจริงดังที่คุณหนูกล่าวไว้ ฮูหยินปฏิบัติต่อพวกเราอย่างดีเสมอมา และไม่เคยใช้น้ำเสียงอันแหลมคมดุด่าพวกเราเลย เพียงแต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน…”
ซย่าอวี่ชะงักลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนสังเกตจากท่าทางของชิวลู่แล้วดูเหมือนจะถูกตำหนิจริงๆ เจ้าค่ะ”
“หลังจากที่เจ้าเข้าไปด้านใน ฮูหยินได้เอ่ยอันใดกับชิวลู่หรือไม่”
“ฮูหยินสั่งให้ชิวลู่ออกไป”
“น้ำเสียงผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่”
“ในตอนนั้นน้ำเสียงของฮูหยินดูเยือกเย็นเล็กน้อย เมื่อชิวลู่ได้ยินก็ได้รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว”
เจินซื่อเฉิงน้ำมือขึ้นลูบเคราของตน
การที่ฮูหยินตำหนิติเตียนสาวรับใช้ จะทำให้นางนำไปเก็บเป็นความคับแค้นใจถึงขั้นลงมือฆ่านายหญิงได้หรือไม่ หลังจากที่นางฆ่าฮูหยินเรียบร้อยแล้วจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อรับโทษแล้วกระโดดน้ำอย่างนั้นหรือ
สตรีผู้ชันสูตรศพเดินทางเข้ามารายงานว่า “ใต้เท้าเจ้าคะ ผู้ตายมีดินโคลนอยู่ในจมูก เบื้องต้นคาดเดาว่านางจมน้ำตาย ไม่ใช่ถูกผลักลงไปในน้ำหลังจากสิ้นใจ”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าแล้วหันไปกล่าวกับหย่งชังปั๋วว่า “บัดนี้มีความเป็นไปได้อยู่สองประการ ประการแรกคือชิวลู่กระโดดน้ำตายเอง ประการที่สองคือนางอาจจะถูกใครบางคนผลักลงไป จากที่ข้าสังเกตดูแล้วบริเวณไม่ไกลจากสระบัวนี้มีห้องพักอาศัยอยู่ หากว่าชิวลู่ถูกใครบางคนผลักลงไปในสระจริง เสียงนางร้องเรียกขอความช่วยเหลือน่าจะมีคนได้ยินบ้าง”
“เมื่อคืนนี้พวกเจ้ามีใครได้ยินเสียงผิดปกติดังออกมาจากสวนดอกไม้นี้หรือไม่” หย่งชังปั๋วหันไปถามคนรับใช้
เมื่อถึงเวลากลางคืน ทางที่จะเดินไปยังเรือนหลังจะถูกปิด คนที่จะสามารถได้ยินความเคลื่อนไหว ได้คงจะมีแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ด้านเรือนหลังเท่านั้น
แต่ไม่มีผู้ได้ให้คำตอบกับหย่งชังปั๋วได้
บางทีคนเหล่านี้อาจจะไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใด หรือบางทีอาจจะได้ยินแต่ไม่ต้องการยอมรับออกมา เพื่อที่จะขจัดความวุ่นวายไป ต่อให้เป็นนายใหญ่แห่งจวนนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปอ้าปากพวกเขาได้หรอก
“ใต้เท้าเจินเจ้าคะ หากว่าตอนที่ชิวลู่ตกลงไปในสระน้ำนางหมดสติไปแล้ว ก็คงไม่มีแรงร้องให้ใครช่วยใช่หรือไม่” เจียงซื่อเอ่ยปากขึ้น
เจินซื่อเฉิงมองไปทางสตรีผู้ชันสูตรศพ
สตรีผู้ชันสูตรศพกล่าวขึ้นว่า “ในนิ้วมือของผู้ตายมีดินโคลนและหญ้าอยู่ ด้วยเหตุนี้สามารถตัดสินได้ว่าหลังจากที่ผู้ตายตกลงไปในน้ำแล้วนางพยายามที่จะฮึดสู้ นั่นหมายความว่าตอนนั้นนางยังมีสติอยู่”
เจียงซื่อหันไปมองดูสตรีผู้ชันสูตรศพผู้นี้อย่างตั้งอกตั้งใจ
อายุของสตรีผู้นั้นไล่เลี่ยกับนาง ผมดำขลับถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้าสีพื้น ช่างเป็นสตรีที่คล่องแคล่วและสะอาดสะอ้านเหลือเกิน
เมื่อเห็นเจียงซื่อมองมาเช่นนั้น นางจึงได้ยิ้มกลับไปเล็กน้อย
บัดนี้เจียงซื่อรู้สึกประทับใจยิ่งนัก
แต่ไหนแต่ไรมานางมักจะชื่นชมสตรีที่ใช้ความสามารถในการเลี้ยงชีพตน แม้ว่าในสายตาของคนอื่นอาจจะเป็นงานที่ไร้ค่าต่ำต้อย แต่การที่สตรีคนหนึ่งสามารถทำได้เก่งเช่นนี้ ก็นับว่าควรค่าแก่การชื่นชมแล้ว
เจียงซื่อจึงยิ้มกลับไปเช่นกัน
สตรีผู้ชันสูตรศพคาดไม่ถึงว่าแม่นางที่มาจากตระกูลสูงส่งจะไม่ได้มองนางด้วยท่าทางสายตาอันแปลกประหลาด หลังจากชะงักอยู่ชั่วครู่ นางก็เขินอายและก้มหน้าลง
“ครอบครัวของชิวลู่ยังมีผู้ใดอีก”
“มีมารดา พี่ชาย พี่สะใภ้และน้องสาวขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยขึ้น
คนเฝ้าประตูจึงได้กล่าวขึ้นว่า “เมื่อวานนี้ตอนกลางวัน น้องสาวของชิวลู่เดินทางมาหานาง จากนั้นชิวลู่ก็ติดตามน้องสาวเดินออกไปข้างนอกอย่างรีบร้อน”
“อืม ออกไปนานเท่าไหร่”
คนเฝ้าประตูครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ประมาณครึ่งชั่วยามเห็นจะได้ ชิวลู่เป็นบุตรสาวที่เกิดอยู่ในตระกูล ดังนั้นครอบครัวของพวกเขาอาศัยอยู่ในตรอกทางเหนือของจวนปั๋ว”
“เมื่อตอนที่ชิวลู่เดินทางกลับมาดูมีอะไรผิดปกติไปหรือไม่”
“ใบหน้าของนางเคร่งขรึม ดูเหมือนว่าอารมณ์ไม่ดีนักขอรับ” คนเฝ้าประตูกล่าว
“ในเมื่อชิวลู่เป็นผู้ที่เกิดอยู่ในตระกูล ดังนั้นพี่ชาย พี่สะใภ้และน้องสาวของเขาคงจะทำงานอยู่ในจวนด้วยใช่หรือไม่” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
พ่อบ้านจึงได้รีบกล่าวขึ้นว่า “พี่ชายของชิวลู่นั้นเป็นคนไม่เอาการเอางาน ในตอนแรกก็ได้ทำงานอยู่ในจวน แต่เขาบ่นว่างานหนักเหลือเกินและไม่ทำอีกต่อไป ส่วนพี่สะใภ้ของนางได้ให้กำเนิดบุตรชายอยู่ถึงสามคน จึงไม่สามารถออกมาทำงานได้ น้องสาวของนางเป็นสาวรับใช้ระดับสอง แต่เนื่องจากมารดามีอาการป่วยหนักจึงได้ขอลาและหยุดกลับไปดูแลแม่ เฮ้อ ดังนั้นทั้งครอบครัวจึงมีเพียงชิวลู่คนเดียวที่มีงานมีการทำ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจินซื่อเฉิงจึงได้เข้าใจว่าครอบครัวของนางล้วนอาศัยนางทำมาหากินเลี้ยงครอบครัว
“ท่านปั๋ว เชิญส่งคนไปตามครอบครัวของชิวลู่มาที่นี่เถิด”
ยังไม่ทันที่หย่งชังปั๋วจะสั่งให้คนเดินทางออกไปตาม ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นโหยหวนออกมาจากบริเวณที่ไม่ไกลนัก
“ชิวลู่! เหตุใดเจ้าจึงใจร้ายเช่นนี้ เหตุใดจึงจากไปเพียงลำพัง!” พวกเขาเหล่านั้นพากันเดินทางมาหยุดอยู่ตรงหน้าและร้องไห้ออกมา ผู้ที่ตะโกนออกมาเมื่อครู่เป็นสตรีวัยประมาณสามสิบต้นๆ
พ่อบ้านจึงกระซิบบอกกับเจินซื่อเฉิงว่า “นี่คือพี่สะใภ้ของชิวลู่ขอรับ”
“ท่านปั๋วเจ้าขา ชิวลู่ปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินมาเป็นเวลาไม่น้อย จะให้นางจากไปอย่างน่าหดหู่เช่นนี้มิได้นะเจ้าคะ” สตรีนางนั้นร้องห่มร้องไห้กับหย่งชังปั๋ว
หย่งชังปั๋วได้ยินดังนั้นก็โกรธจัดและตะโกนออกไปว่า “หุบปาก!”
บรรดาคนรับใช้ได้ยินดังนั้นจึงส่ายหัวเป็นนัยๆ คนที่อยู่ใกล้กับสตรีผู้นั้นจึงกระซิบบอกว่า “ฮูหยินสิ้นใจแล้ว”
สตรีผู้นั้นมองไปยังหย่งชังปั๋วและสีหน้าซีดเผือดด้วยสัญชาตญาณ
ซาเชียนเตานำเงินออกไปจากบ้านเพื่อไปเล่นพนันตั้งแต่เช้า ส่วนตัวนางเองก็วุ่นอยู่กับการดูแลลูกทั้งสาม แม้แต่เวลาว่างที่จะเดินออกมาสูดอากาศยังไม่มี หากไม่ใช่เพราะมีคนไปบอกว่าน้องสามีของนางสิ้นใจแล้วนางคงไม่รู้เรื่องอะไรเลย
เหตุใดจู่ๆ ฮูหยินจึงได้สิ้นใจเล่า
ช่างโชคร้ายเสียจริง เดิมทีนางยังคิดว่าชิวลู่รับใช้ฮูหยินอยู่ที่นี่เป็นเวลาไม่ใช่น้อยๆ เมื่อนางจากไปแล้วคงจะสามารถเรียกค่าเสียหายได้บ้าง แต่บัดนี้กลับสูญสิ้นไป…
“พี่สะใภ้ของชิวลู่ เมื่อวานนี้ชิวลู่เดินทางกลับบ้านไปเพื่อสิ่งใด” เจินซื่อเฉิงเอ่ยถาม
สตรีนางนั้นมองไปทางเจินซื่อเฉิง
“นี่คือใต้เท้าเจินแห่งศาลาว่าการพระนคร ใต้เท้าถามอะไรเจ้าก็จงตอบไปเช่นนั้น” หย่งชังปั๋วกล่าว
“โถ ใต้เท้าเจ้าคะ เหตุใดจึงถามเช่นนี้ ชิวลู่ของเรานั้น…”
เจินซื่อเฉิงเป็นผู้มีประสบการณ์มาก่อน เขารู้ดีว่าไม่ควรจะปฏิบัติอย่างเกรงอกเกรงใจต่อสตรีเช่นนี้จึงได้ทำสีหน้าบึ้งตึงแล้วเอ่ยว่า “ปั๋วฮูหยินถูกคนฆ่าตาย และเมื่อคืนนี้ชิวลู่เป็นผู้อยู่เวร กลับพบว่าบัดนี้ร่างของนางมาอยู่ในสระน้ำ หากเจ้าไม่สามารถให้ปากคำโดยละเอียดได้ เช่นนั้นชิวลู่ก็อาจจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าปั๋วฮูหยินตายแล้วกระโดดน้ำตายตาม เมื่อถึงเวลานั้น…”
สตรีผู้นั้นขาไร้เรี่ยวแรงทันที “ใต้เท้าเจ้าคะ ชิวลู่ ชิวลู่ไม่ได้ฆ่าฮูหยินอย่างแน่นอน เมื่อคืนนี้…เมื่อคืนนี้แม่สามีของข้าใกล้จะไม่ไหวแล้ว ดังนั้นข้าน้อยจึงให้ไฉ่จูมาตามชิวลู่กลับไป”
สตรีนางนั้นกล่าวจบก็ได้เดินไปผลักเด็กหญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักออกมาอยู่ตรงหน้าเจินซื่อเฉิงแล้วกล่าวว่า “ไฉ่จู เจ้ารีบบอกกับใต้เท้าผู้นี้ไปเร็วเข้าว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่”
เด็กสาวคนที่นามว่าไฉ่จูอายุได้เพียงสิบสามสิบสี่ปี ดวงตาทั้งสองข้างของนางแดงเรื่อและยังมีน้ำตาอยู่ เมื่อถูกนางผลักออกมาเช่นนั้นจึงได้ล้มลงสู่พื้น
เด็กสาวไม่ได้เอ่ยว่าเจ็บปวดแต่อย่างใดและไม่ได้พยายามจะคลานขึ้นมา นางได้แต่เงยหน้ามองดูเจินซื่อเฉิงกัดฟันแล้วกล่าวว่า “พี่สาวของข้าไม่ได้ฆ่าคนแน่นอน แต่นางถูกบีบบังคับจากพี่สะใภ้จนถึงแก่ความตาย!”