ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 164 ผู้ต้องสงสัย
หย่งชังปั๋วมองสาวใช้อุ่นเตียงทั้งสองที่ไม่ได้จับตาดูมานาน ก็ระงับอารมณ์เอ่ยขึ้นว่า “นี่คือใต้เท้าเจินผู้ตรวจการศาลาว่าการ ใต้เท้าเจินถามอะไรพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องตอบไปตามความจริง รู้หรือไม่”
ชุนเหมยสาวใช้อุ่นเตียงที่มีค่อนข้างอ่อนโยนมองหย่งชังปั๋วด้วยความละโมบ คุกเข่าคำนับเจินซื่อเฉิงกับหย่งชังปั๋ว แล้วเอ่ยว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ” ท่าทางอยู่ในกฎอยู่ในเกณฑ์
เฉาอวิ๋นไม่มองใครทั้งนั้น นางคำนับตามชุนเหมยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่ส่งเสียงใดออกมาสักคำ
“ทั้งสองพักอยู่ที่ใดหรือ” เจินซื่อเฉิงถาม
“ข้าน้อยพักที่เรือนด้านข้างฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ” คล้ายรู้ว่าเฉาอวิ๋นไม่อยากส่งเสียง ชุนเหมยจึงเอ่ยขึ้นเอง “ส่วนเฉาอวิ๋นพักที่เรือนด้านข้างฝั่งตะวันตก”
“เมื่อคืนวานพวกเจ้าเข้านอนยามใดหรือ”
“เพิ่งจะเข้ายามไฮ่[1]ข้าน้อยก็หลับแล้วเจ้าค่ะ” ชุนเหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันตัวเอง “เพราะไม่มีอะไรให้ทำ”
วันแล้ววันเล่า นานวันไป ทั้งไร้บุตรคอยอยู่เป็นเพื่อน และไร้บุรุษคอยปกป้อง ไม่ให้นอนจะให้ทำอะไร
ชุนเหมยกำลังครุ่นคิด ก็ใช้หางตามองหย่งชังปั๋วอย่างอดไม่อยู่
ปีนั้นฮูหยินตั้งครรภ์ ได้ยินว่าจะเลือกสาวใช้อุ่นเตียงให้ท่านปั๋ว นางแทบจะปรีดาเหลือแสน ถึงแม้ว่าท่านปั๋วกับฮูหยินจะไม่อนุญาตให้สาวใช้อุ่นเตียงมีทายาทก็ตาม แต่นางก็ยังให้พ่อแม่ผลักดันเรื่องแต่งงานที่กำลังหารือกันอยู่ให้นางกลายเป็นสตรีของท่านปั๋วสมดังปรารถนา
ตอนสาวๆ มักจะไม่ยอมแพ้ อยากจะอาศัยความสวยและนิสัยที่เข้าอกเข้าใจคนอื่นมาอบอุ่นดวงใจของท่านปั๋ว ภายหน้ามีบุตรหรือไม่ก็ธิดาสักคน ลูกนางก็จะได้เป็นเจ้าคนนายคนแล้ว
แต่วันเวลาล่วงเลยไปจึงได้รู้ว่าท่านปั๋วรับสาวใช้อุ่นเตียงมาล้วนให้มาอุ่นเตียงในยามที่ฮูหยินไม่สะดวกเท่านั้น ในหัวใจของท่านปั๋วเกรงว่าพวกนางไม่ค่อยต่างกันกับตาสีตาสาเท่าใดนัก
ปีแล้วปีเล่าพ้นผ่าน ความมุ่งมาดปรารถนาเหล่านั้นได้มลายหายไปนานแล้ว ความไม่พอใจอาจมีบ้าง แต่เสียใจภายหลังนั้นไม่มี
ตอนนั้นพี่น้องเหล่านั้นที่แต่งงานกับบ่าวรับใช้ไม่เคยมีชีวิตสบายอุราอย่างนางเลย มีไม่น้อยที่แต่ละวันโดนฝ่ายชายทุบตีหรือไม่ก็กลัดกลุ้มกับหนทางหาเลี้ยงชีพ นางมีชีวิตอย่างสุขสงบในเรือนใหญ่อย่างน้อยก็มีอาหารเครื่องนุ่มห่มให้ไม่ขัดสน พ่อแม่พี่น้องก็พลอยได้อานิสงส์ไปด้วยไม่น้อย…
“สาวใช้ที่รับใช้เจ้าเล่า”
ไม่นานสาวใช้สองนางก็เข้าไปคำนับเจินซื่อเฉิง
“เมื่อคืนพวกเจ้ารับใช้อนุหลับนอนหรือ”
สาวใช้อาภรณ์เขียวคนหนึ่งเอ่ยว่า “เมื่อวานบ่าวอยู่โยง พักอยู่ปลายเท้าอนุเจ้าค่ะ”
หย่งชังปั๋วไม่เคยยกสาวใช้อุ่นเตียงสองนางมาเป็นอนุ แต่ลูกชายโตแล้ว ยามเหล่าคนรับใช้เอ่ยถึงสาวใช้อุ่นเตียงของท่านปั๋วทั้งสองด้วยคำว่าอนุ ก็ไม่มีใครรู้สึกว่าแปลก
“ระหว่างนั้นมีความเคลื่อนไหวใดบ้างหรือไม่”
สาวใช้อาภรณ์เขียวเอ่ยโดยไม่ต้องคิดว่า “ไม่มีเจ้าค่ะ บ่าวหลับไม่ลึก อีกทั้งยังหลับอยู่ปลายเท้าอนุ หากมีความเคลื่อนไหวใดบ่าวย่อมทราบได้แน่ บ่าวหลับจนถึงเช้าจึงได้ตื่น เป็นบ่าวกับเถาหงที่ไปเอาน้ำล้างหน้ามาให้อนุเจ้าค่ะ”
สาวใช้อีกคนพยักหน้ายืนยันทันที
เจินซื่อเฉิงเปิดบัญชีรายชื่อพลิกไปมา ก็รู้ได้ว่าสาวใช้สองนางที่รับใช้อนุนั้นคนหนึ่งชื่อเถาหง อีกคนชื่อเถาลี่ว์ สาวใช้ทั้งสองต่างเป็นคนที่โดนย้ายให้มารับใช้อนุเหมยที่เรือนด้านข้างฝั่งตะวันออกเมื่อสามปีก่อน
สามปีก่อน…
เจินซื่อเฉิงมองไปยังหย่งชังปั๋วอย่างห้ามไม่อยู่
ช่วงเวลานั้นเป็นตอนที่เฉาอวิ๋นมีครรภ์แล้วแท้งพอดี จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ฟันธงได้ว่านี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
หย่งชังปั๋วมองเฉาอวิ๋นแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนนั้นรู้สึกว่าคนเรือนท้ายจิตใจไม่สงบจึงเปลี่ยนสาวใช้ของพวกนางใหม่ทั้งหมด”
เฉาอวิ๋นตั้งครรภ์ขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ หย่งชังปั๋วสงสัยว่าสาวใช้ที่นางซื้อมาจะเปลี่ยนน้ำแกงคุมกำเนิด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องพรรค์นี้ในอนาคตอีก จึงได้เปลี่ยนพวกคนรับใช้ที่รับใช้ใหม่ทั้งหมด
เขาไม่อยากสัมผัสกับความเจ็บปวดที่ต้องออกคำสั่งให้กำจัดเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองอีกแล้ว
“สาวใช้ทั้งสองเป็นภรรยาที่เลือกมาให้ ล้วนเป็นลูกบ่าวไพร่ในเรือน คำพูดของพวกนางเชื่อถือได้”
เจินซื่อเฉิงฟังแล้วก็พยักหน้า
ในเมื่อสาวใช้ทั้งสองเป็นลูกของบ่าวไพร่ที่ฮูหยินปั๋วเลือกมา ครอบครัวของพวกนางต้องใช้งานได้ดีในสายตาของฮูหยินปั๋วแน่นอน เช่นนั้นแล้วความเป็นไปได้ที่พวกนางช่วยอนุเหมยวางแผนทำร้ายนายหญิง หรือปกปิดความผิดให้อนุเหมยนั้นจึงต่ำมาก
เจินซื่อเฉิงมองไปยังเฉาอวิ๋น ถามคำถามเดียวกันว่า “เมื่อคืนเจ้านอนไปยามใดหรือ”
เฉาอวิ๋นเงียบไปนานจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ยามไฮ่”
สาวใช้คนสนิทของเฉาอวิ๋นก็มีสองคนเช่นกัน แต่สาวใช้สองคนนี้พอได้ยินเจินซื่อเฉิงถามอนุว่าเข้านอนยามใดก็หันมองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
หย่งชังปั๋วแค่นเสียงเย็น
สาวใช้สองนางก้มหน้าลง เอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่า “เมื่อคืนอนุหลับนอนอยู่คนเดียวเจ้าค่ะ”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป สายตาที่ทุกคนมองไปยังเฉาอวิ๋นก็พลันลุ่มลึกขึ้น กระทั่งมีคนไม่น้อยต่างนึกไปถึงเรื่องที่เฉาอวิ๋นแท้งเมื่อสามปีก่อน
สาวใช้อุ่นเตียงทั้งสองไม่มีการเคลื่อนไหวมาหลายปี ข่าวการตั้งครรภ์ของเฉาอวิ๋นแพร่สะพัดออกมาทั่วทั้งจวนก็ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่ คิดว่าในที่สุดเฉาอวิ๋นก็อดทนจนสำเร็จแล้ว ตำแหน่งอนุอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ ใครจะรู้ว่าไม่ทันไรฮูหยินก็ล้มป่วยลง ท่านปั๋วกลัวว่าจะกวนใจฮูหยินจึงได้สั่งให้คนไปทำแท้งให้เฉาอวิ๋นโดยไม่ลังเล
แต่นั้นมาเสียงร้องไห้ของเฉาอวิ๋นก็ลอยมาจากเรือนด้านข้างฝั่งตะวันตกเสมอ นางต้องมีใจเคียดแค้นแน่ ดังนั้นจึงได้ทำร้ายฮูหยินจนตาย
เมื่อสามปีก่อนเซี่ยชิงเหยารู้ความมากแล้ว ยามนี้นึกย้อนไปถึงเรื่องเหล่านั้นก็ก้าวเข้าไปถามอย่างอดไม่อยู่ว่า “อนุอวิ๋น เจ้าเป็นคนทำร้ายแม่ข้าจริงหรือ”
เฉาอวิ๋นมองเซี่ยชิงเหยาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดไม่จาสักคำ
“เจ้าพูดมาสิ!” เซี่ยชิงเหยาเอ่ยเสียงสูงขึ้น “แม่ข้าไม่เคยปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีเลยสักครั้ง ยามนี้นางตายอย่างอนาถเพียงนั้น เจ้าไม่อยากพูดอะไรแม้แต่คำเดียวเลยหรือ”
“ข้าเปล่าเจ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดเซี่ยชิงเหยาไปสะกิดอารมณ์เฉาอวิ๋นเข้า หรือว่ารู้แก่ใจว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงไปได้ท่ามกลางสายตาที่จดจ้องของทุกคนกันแน่ ในที่สุดก็เอ่ยปากขึ้น
สี่คำสั้นๆ เข้าสู่โสตของทุกคน เห็นได้ชัดว่าไร้เรี่ยวแรงอยู่เล็กน้อย
“อนุนอนอยู่คนเดียวตลอดเลยหรือ” เจินซื่อเฉิงไม่ได้รับผลกระทบใดแม้แต่น้อย เขาถามขึ้นมาอีกครั้ง
สาวใช้นางหนึ่งเอ่ยว่า “สองปีมานี้อนุนอนไม่ค่อยหลับ ไม่ชอบให้พวกเราอยู่เป็นเพื่อนเจ้าค่ะ”
เจินซื่อเฉิงลูบเครา “เช่นนั้นแล้ว เมื่อคืนพวกเจ้าก็ต่างไม่รู้ว่าอนุนอนหลับอยู่ในห้องตลอดหรือไม่น่ะสิ”
สาวใช้ทั้งสองสบตากัน สาวใช้ที่เพิ่งตอบคำถามส่ายหน้า “บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ไม่ได้ยินเสียงใดเลยนะเจ้าคะ”
แต่ไหนแต่ไรมานางนอนหลับลึกตลอด เสียงฟ้าร้องยังไม่ได้ยิน เสียงอื่นก็อย่าได้พูดถึงเลย
สาวใช้อีกคนกลับลังเลขึ้นมา
“ทำไมรึ เจ้าได้ยินการเคลื่อนไหวใดหรือไร” เจินซื่อเฉิงรีบถามขึ้น
“บ่าว…” สาวใช้มองเฉาอวิ๋นแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว
หย่งชังปั๋วพลันตวาดขึ้นว่า “มีอะไรก็พูดมา มองนางเพื่ออะไร อนุอวิ๋นให้เงินเดือนเจ้าหรือ”
สาวใช้คุกเข่าลงอย่างห้ามไม่ได้ ก้มศีรษะหมอบต่ำอย่างมาก “อนุ…อนุน่าจะเผากระดาษเมื่อคืนเจ้าค่ะ…”
“เผากระดาษอะไร” หย่งชังปั๋วได้ยินสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเดือดดาล
สาวใช้ก้มหน้าต่ำลงยิ่งกว่าเดิม “เป็นกระดาษที่เผาให้คุณชายน้อยที่ยังไม่ทันได้ลืมตาดูโลก…”
ที่แท้ตั้งแต่เฉาอวิ๋นเสียลูกไป พอถึงวันทำแท้งในทุกๆ ปีก็จะเผากระดาษให้ลูกที่ยังไม่ได้ออกมาดูโลก สาวใช้คนนี้เคยเห็นในปีแรก แม้เมื่อคืนจะไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวใด แต่เมื่อเช้านี้พบเถ้าที่เหลืออยู่เล็กน้อยมุมหนึ่งของลานบ้าน
“ปีแรกที่เจ้าไปเรือนด้านข้างฝั่งตะวันตกเจออนุเผากระดาษ เป็นยามใดหรือ”
สาวใช้นึกย้อนไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “ยามเหม่า[2]เจ้าค่ะ”
สาวใช้คนหนึ่งเอ่ยด้วยความตกใจว่า “ไอ้หยา บ่าวจำได้แล้ว ลูกของอนุอวิ๋นตกฟากในวันนี้เมื่อปีนั้นตอนยามเหม่า!”
—————————————————
[1] ยามไฮ่ ช่วง 21.00-23.00 น.
[2] ยามเหม่า ช่วงเวลา 05.00-07.00 น.