ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 170 ที่แท้ก็เป็นคนที่เคยรู้จัก
เมื่อได้ยินเจินซื่อเฉิงพูดเช่นนี้ หย่งชังปั๋วและคนอื่นๆ จึงเข้ามาดูใกล้ๆ
ผมยาวสองเส้นวางราบอยู่บนกระดาษทาน้ำมันสีเหลือง หนึ่งในนั้นเป็นสีดำ ส่วนอีกเส้นขาวไปมากกว่าครึ่งแล้ว ผมสองเส้นนี้มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดนั่นก็คือเป็นม้วนเหมือนเกลียวคลื่น
เส้นผมแบบนี้เป็นม้วนมาตั้งแต่กำเนิดพบเห็นได้ยากนัก หากบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงจะไม่มีใครเชื่อ
สายตาของทุกคนที่มองมายังนางเปลี่ยนไปในทันที มีความเกลียดชัง และความสงสัยใคร่รู้
เส้นผมที่ใต้เท้าเจินพบในที่ซ่อนตัวของฆาตกรเหมือนกับของโต้วเหนียงไม่มีผิด ฮูหยินต้องถูกโต้วเหนียงฆ่าตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าโต้วเหนียงที่เป็นเพียงแม่ครัวคนหนึ่งเหตุใดถึงต้องฆ่าฮูหยินด้วย ก็เห็นกันอยู่ว่าฮูหยินมีบุญคุณต่อนางเพียงใด
ทุกคนล้วนสงสัยในประเด็นนี้ และต่างก็จ้องมองไปที่นางตาไม่กะพริบ
มีแม่บ้านคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็ส่งเสียงร้องอ้อขึ้นมา
เจินซื่อเฉิงจึงมองไปที่แม่บ้านที่ส่งเสียงดังขึ้นมาทันที ”เจ้านึกอะไรขึ้นมาได้ใช่หรือไม่”
แม่บ้านมีท่าทางที่ไม่ค่อยแน่ใจ ลังเลและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“ไม่ว่านึกอะไรออกก็ล้วนพูดมันออกมาได้ ผิดพลาดก็ไม่เป็นอะไร ไม่มีใครสอบสวนเจ้าหรอก” ขณะที่เจินซื่อเฉิงโน้มน้าวใจแม่บ้านก็ขยิบตาให้กับหย่งชังปั๋วเล็กน้อย
ที่ผ่านมาเขาคิดว่าตนเองเป็นผู้ที่ทำร้ายภรรยาตนเอง จึงไปหาหญิงรับใช้ชิวลู่กับสาวใช้อุ่นเตียง ตอนนี้แม้ว่าจะลากตัวโต้วเหนียงออกมาแล้ว ทว่าสิ่งที่หย่งชังปั๋วต้องการจะรู้มากที่สุดในตอนนี้ก็คือแรงจูงใจในการฆ่าของโต้วเหนียง ด้วยเหตุนี้หลังจากที่เจินซื่อเฉิงขยิบตาเขาก็พูดขึ้นมาในทันที ”ที่ใต้เท้าพูดมาก็ถูก เจ้านึกอะไรได้ก็พูดออกมา พูดผิดก็ไม่เป็นไร หากเจ้าพูดสิ่งใดที่เป็นโยชน์ ข้าจะมีรางวัลตอบแทนให้ในภายหลัง”
แม่บ้านพอได้ยินดังนั้นก็ไม่เป็นกังวลอีกต่อไป กวาดสายตามองไปที่โต้วเหนียงอย่างรวดเร็ว ”พอได้เห็นเส้นผมของโต้วเหนียงแล้ว จู่ๆ บ่าวก็นึกถึงสาวใช้คนหนึ่งขึ้นมาได้ สาวใช้คนนั้นก็มีผมเป็นม้วนยาวแต่กำเนิด แต่ว่าสิบกว่าปีก่อนนางได้ถูกขับไล่ออกไปแล้ว”
เจินซื่อเฉิงที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตงิดใจขึ้นมา
ในบัญชีรายชื่อเขียนไว้ว่าปีนี้โต้วเหนียงอายุสามสิบสี่ปี อายุสอดคล้องกันกับสาวใช้เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว
“สาวใช้คนนั้นชื่อว่า…” แม่บ้านพยายามทบทวนความทรงจำ และจู่ๆ ก็ตบต้นขาขึ้นมา ”บ่าวนึกออกแล้ว สาวใช้คนนั้นชื่อว่าอาวาน!”
‘อาวาน’ สองคำนี้ถูกพูดขึ้นมา คนเก่าคนแก่ของจวนหย่งชังปั๋วก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมา
พ่อบ้านที่ก่อนหน้านี้ตอบคำถามเจินซื่อเฉิงตลอดมาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ”เจ้าคืออาวาน?”
ดวงตาของโต้วเหนียงสั่นไหว และค่อยๆ เบนสายตามองไปที่หย่งชังปั๋ว
เป็นแววตาที่เกลียดชังเข้ากระดูกดำ
คำพูดของพ่อบ้านใหญ่ทำให้แม่บ้านเข้าใจกระจ่างแจ้งในทันที ”ข้าถึงบอกอย่างไรเล่าว่ารู้สึกคุ้นหน้าโต้วเหนียงนัก สวรรค์! นางก็คืออาวานที่ถูกขับไล่ออกไปในปีนั้นนั่นเอง!”
เวลาสิบกว่าปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปจนคนอื่นจดจำไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนผู้นั้นเดิมทีก็ไม่ได้สนิทกับใครอยู่แล้ว สิบกว่าปีต่อมาเมื่อต้องมาพบกันอีก จะจำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรเลยสักนิด
แต่ว่าพอชี้ให้เห็นลักษณะเด่นอย่างชัดเจนแล้ว ความทรงจำของทุกคนก็หวนกลับมา
แม่บ้านที่มีท่าทีลังเลในตอนแรกท้ายที่สุดก็มั่นใจ ตบมือพลางกล่าว ”ไม่ผิดแน่ นางก็คืออาวาน!”
ฝูงชนต่างพูดคุยกัน
“อาวานคือผู้ใดหรือ” สาวใช้วัยเยาว์กล่าวถามอย่างสงสัย
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในจวนนแห่งนี้มีคนชื่อนี้ด้วย”
“ในเวลานั้นพวกเจ้ายังไม่ได้เข้ามาทำงานในจวนแห่งนี้เลย ข้าคลับคล้ายคลับคลาว่า สิบกว่าปีที่แล้วมีสาวใช้คนหนึ่งชื่ออาวาน นางถูกขับไล่ออกจากจวนไปเพราะทำให้นายท่านปั๋วกับฮูหยินไม่พอใจ แต่ว่าในปีนั้นนางไปเป็นบ่าวรับใช้ที่ไหนข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว…”
โต้วเหนียงยืนอยู่ตรงกลาง ปล่อยให้คนวิพากษ์วิจารณ์ไป แม้ว่านางจะยังคงมีสีหน้าที่นิ่งสงบ ทว่ามือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกลับสั่นเล็กน้อย
สุดท้ายก็ถูกคนจำได้จนได้สินะ ผมของนางถูกมัดไว้หนาแน่นถึงเพียงนั้น ใต้เท้าเจินท่านนี้มั่นใจได้อย่างไรว่าผมสองเส้นที่ร่วงในตู้เสื้อผ้าเป็นของนาง เพียงเพราะนางเป็นหนึ่งในสองคนที่อยู่ในครัวแล้วไม่ได้ออกมาอย่างนั้นหรือ
เจินซื่อเฉิงให้โต้วเหนียงหลบมาอยู่ด้านข้างชั่วคราว กล่าวถามแม่บ้านต่อไป ”เหตุใดในปีนั้นอาวานถึงได้ถูกขับไล่ออกไป”
แม่บ้านเหมือนจะยังจดจำอะไรบางอย่างได้ จึงมองไปยังหย่งชังปั๋วอย่างขออนุญาตในทันที
หย่งชังปั๋วจดจำอาวานไม่ได้เลย สาวใช้ที่ถูกขับไล่ออกไปตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้วเขาจะไปจำได้อย่างไรเล่า จากนั้นเขาก็ตะคอกเสียงดังในทันที ”พูด!”
แม่บ้านจึงกล่าวอย่างแน่วแน่ ”ในเวลานั้นฮูหยินกำลังตั้งครรภ์บุตรชาย ต้องเลือกสาวใช้อุ่นเตียงมาคอยปรนนิบัติรับใช้นายท่านปั๋วหนึ่งคน ตอนนั้นฮูหยินคัดเลือกมาหลายคน ท้ายที่สุดผู้ที่ถูกเลือกก็คือชุนเหมย ใครจะคาดคิดเล่าว่าจู่ๆ อาวานจะวิ่งไปหยุดอยู่เบื้องหน้าฮูหยิน บอกว่านายท่านปั๋ว...ได้เสียกับนางแล้ว ฮูหยินคิดว่าอาวานต้องการจะเป็นสาวใช้อุ่นเตียงจึงพูดจาเหลวไหลให้นายท่านต้องเสียชื่อเสียง คิดว่ามันไม่ถูกต้อง จึงขับไล่นางออกไปจากจวน…”
หย่งชังปั๋วขมวดคิ้วพลางฟังไปด้วย เหมือนจะคลับคล้ายคลับคลาขึ้นมาบ้างแล้ว
สิบปีที่แล้ว ดูเหมือนว่าจะมีสาวใช้คนหนึ่งวิ่งไปร้องไห้คร่ำครวญอยู่ต่อหน้าฮูหยิน แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย แม้กระทั่งสาวใช้ผู้นั้นมีชื่อว่าอะไรเขาก็ไม่ได้สนใจเลย
หรือจะบอกว่า เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในวันนี้นั้นมาจากต้นตอปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
ในเวลานี้เองที่มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเดินเข้ามา
“ใต้เท้า หาเจอแล้ว!” เจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการคนหนึ่งรีบเดินไปหยุดอยู่ต่อหน้าเจินซื่อเฉิงแล้วยื่นสิ่งของที่อยู่ในมือให้แก่เขา
มันคือรองเท้าของสตรี ดูแล้วค่อนข้างจะเก่า ที่บริเวณหนังหน้ารองเท้ามีคราบน้ำมัน เหมาะเจาะพอดีกับผู้ที่ทำงานในครัวที่จะสวมใส่
“ใต้เท้า นี่คือรองเท้าที่นำออกมาจากในกล่องที่อยู่ในห้องของนาง โดยใช้ชุดนี้ห่อหุ้มเอาไว้” เจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการหยิบชุดที่ดูไม่เก่าไม่ใหม่ชุดหนึ่งขึ้นมาแล้วกล่าว
ห่อรองเท้าเก่าๆ คู่หนึ่งด้วยเสื้อผ้า เห็นได้ชัดว่ามันดูไม่สมเหตุสมผล
ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็พลิกรองเท้าอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นพื้นรองเท้า ”ใต้เท้าขอรับ ท่านดูนี่สิ!”
ที่พื้นรองเท้ามีเส้นตื้นๆ อยู่ เส้นเหล่านั้น มีคราบฝังอยู่ในข่องว่างระหว่างเส้น บางตำแหน่งก็เป็นสีน้ำตาล
เจินซื่อเฉิงจ้องมองไปที่สีน้ำตาลเหล่านั้นพลางหรี่ตาลง
จากประสบการณ์ของเขา นี่คือรอยที่เหลืออยู่จากการเหยียบย่ำไปบนเลือด
เจินซื่อเฉิงยื่นรองเท้าไปที่ด้านหน้าของโต้วเหนียง ”โต้วเหนียง บางทีเจ้าอาจจะหาข้อแก่ต่างให้ผมสองเส้นนี้ได้ แล้วรองเท้าที่เปื้อนคราบเลือดนี้ด้วยเล่าเจ้าจะว่าอย่างไร”
เขาส่งลูกน้องไปยังที่พักของนางเพื่อหาเบาะแสก่อน เน้นการหารองเท้าเป็นพิเศษ เหตุผลก็ง่ายๆ…
ก่อนจะก่อเหตุฆาตรกรรมโต้วเหนียงอาจจะสวมใส่เสื้อคลุมด้านนอกไว้สองชั้น หลังจากก่อเหตุแล้วก็ถอดเสื้อคลุมด้านนอกที่เปื้อนเลือดออกไปฝัง บนตัวก็กลับมาสะอาดอีกครั้ง แต่เป็นไปได้มากว่านางจะไม่เตรียมรองเท้าเอาไว้สองคู่ แบบนั้นมันไม่ค่อยจะสะดวกมากนัก เช่นนั้นโต้วเหนียงจึงไม่อาจฝังรองเท้าไว้กับชุดที่เปื้อนเลือดได้ มิเช่นนั้นหากนางกลับห้องด้วยเท้าเปลือยเปล่า เจอคนอื่นพบเห็นเข้าระหว่างทางแล้วจะอธิบายว่าอย่างไรเล่า
รองเท้าคู่หนึ่งที่ใช้สวมใส่ในตอนก่อเหตุฆาตรกรรม ผู้ที่ละเอียดรอบคอบอย่างโต้วเหนียงย่อมจะไม่สวมใส่ออกมาอย่างแน่นอน แต่เพราะเวลากระชั้นชิดจึงไม่ทันได้ทำลายมันทิ้งไป การเก็บซ่อนเอาไว้ชั่วคราวจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
และความจริงก็พิสูจน์ให้เห็นชัดแล่วว่าการคาดการณ์ของเขาไม่ผิด
“ใต้เท้า ยังมีสิ่งนี้อีก” เจ้าหน้าที่จากศาลาว่าการ หยิบถุงเงินธรรมดาๆ ยื่นให้เจินซื่อเฉิง ”สิ่งนี้ถูกพบในปลอกหมอนของโต้วเหนียง ข้าได้กลิ่นหอมแปลกๆ และเห็นว่าถุงใบนี้ถูกซุกซ่อนไว้บางทีอาจจะมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล จึงได้นำกลับมาด้วยขอรับ”
เจินซื่อเฉิงหยิบถุงเงินขึ้นมาดมเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย้ยหยัน ”โต้วเหนียง กลิ่นที่ยังหลงเหลืออยู่ในตู้เสื้อผ้าเหมือนกับถุงเงินใบนี้เลย ตอนนี้เจ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
ริมฝีปากของโต้วเหนียงซีดขาวจ้องมองไปยังถุงเงินใบนั้น รู้ว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแล้ว จึงยิ้มอย่างเศร้าๆ ”ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก เพียงเกลียดที่หย่งชังปั๋วไม่ได้ฆ่าตัวตายเพราะละอายใจคิดว่าตนเป็นฆาตกรฆ่าภรรยา สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมกับข้าจริงๆ!”