ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 191 ได้รับพิษ
มือของคนที่อยู่ด้านนอกประตูไหลลงคานประตูตามการเปิดประตู
ปฏิกิริยาแรกของอาเฟยคือมองดูรอบๆ ว่ามีคนพบเห็นเหตุการณ์นี้หรือไม่
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็รู้สึกโล่งอกไปที จากนั้นเขากล่าวงึมงำ “ช่างเป็นคนใจคดเสียจริง ถนนตั้งกว้างใหญ่ เป็นลมที่ไหนไม่เป็น มาเป็นลมที่หน้าจวนคนอื่น!”
อวี้จิ่นที่รอความช่วยเหลือ “…” คิดไม่ถึงเลยว่าบ่าวรับใช้คอยวิ่งเป็นธุระที่อาซื่อหามาจะเป็นคนเช่นนี้
ที่พักเรือนนี้อาซื่อเป็นคนเช่า เดิมทีเหล่าฉินอยู่ที่นี่ ภายหลังเหล่าฉินเข้าไปเป็นสารถีคอยขับรถม้าในจวนตงผิงปั๋ว ในทุกๆ วันอาเฟยจึงแวะมาอยู่พักหนึ่ง ด้วยเหตุผลประการที่หนึ่ง มีสถานที่ที่ปลอดภัยให้พักพิง สอง เวลามีเรื่องอะไรก็ติดต่อกับเหล่าฉินจะได้สะดวก
อวี้จิ่นเข้าใจสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เมื่อเขาได้รับยาพิษแต่เขาเลือกมาที่นี่แทนการกลับตรอกซอยเชวี่ยจื่อ
บ่าวรับใช้คอยวิ่งเป็นธุระให้อาซื่อเห็นสภาพของเขาเช่นนี้ จะต้องวิ่งไปบอกอาซื่ออย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นอาซื่อก็จะมาที่นี่ และเขาก็ไม่ต้องรอให้ถึงกลางคืนอีก
อาเฟยผู้ถูกองค์ชายอวี้ฝากฟังความหวังไว้โดยไม่รู้ตัวโดยชะโงกศีรษะอย่างลับๆ ล่อๆ จากนั้นก็โน้มตัวสอดแขนเข้าใต้วงแขนของเขา แล้วกล่าวเสียงเบา “ไม่ได้ ต้องรีบโยนคนนี้ไปไว้หน้าประตูเรือนผู้อื่นก่อน!”
อวี้จิ่น “…”เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงเงยหน้าขึ้นเพราะทนต่อไปไม่ไหว
อาเฟยตะลึงงันพลางขยี้ตา “เอ๊ะ หน้าคุ้นๆ!”
หนังตาอวี้จิ่นกระตุก เจ้าหนุ่มนี่ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นหน้าเขาเสียหน่อย คนที่มีใบหน้ารูปงามโดดเด่นกว่าใครอย่างเขา เจอครั้งเดียวยังไม่สามารถจำได้อย่างลึกซึ้งอีกหรือ
แค่กๆ… อวี้จิ่นไอค่อกแค่กอย่างแผ่วเบาสองคำ
อาเฟยนึกขึ้นได้ในทันทีทันใด “เขาเหมือนกับคนที่คุณหนูรู้จักเลยนี่”
เมื่อพูดคำนี้จบ อาเฟยกลับนิ่งไปอีกครั้ง
ลมพิษเกือบทะลวงหัวใจขององค์ชายอวี้ นึกออกแล้วเหตุใดถึงยังลังเลอีกเล่า!
“แต่ความสัมพันธ์ของคุณหนูกับคนนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร” อาเฟยยังคงลังเล
อวี้จิ่นตัวสั่นไปทั้งตัว ในลำคอพลันได้กลิ่นคาวเลือด
อยากจะกระโดดขึ้นมาบีบคอเจ้าหมอนี่ให้หักเสียจริง!
อาเฟยลังเลได้ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยเบาๆ “ช่างเถอะ ลากคนเข้ามาด้านในก่อน แล้วค่อยถามความเห็นคุณหนูอีกที”
ไม่ตัดสินใจเองโดยพลการเป็นข้อดีของอาเฟย
แม้ว่าอวี้จิ่นเป็นคนสูงโปร่ง แต่เขายังมีความผอมของคนวัยหนุ่มอยู่ อาเฟยลากเขาเข้ามาในเรือนได้โดยไม่ต้องใช้แรงมาก จากนั้นก็นำเรื่องราวไปบอกกล่าวกับเหล่าฉินต่อ
เหล่าฉินคุ้นเคยกับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มาก หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่า เพื่อเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับว่าที่ภรรยาที่กลับชาติมาเกิด ไม่ว่าจะมีชีวิตแบบไหน สำหรับเขาแล้วมันก็ไม่ได้แตกต่างกัน
เมื่อตอนอาเฟยเดินมาหา เขากำลังอาบแดดอย่างขี้เกียจ
อาเฟยอิจฉาอย่างที่สุด “เหล่าฉิน ข้าว่าชีวิตเจ้าสบายเกินไปแล้วกระมัง”
เหล่าฉินเก็บสายตาที่จับจ้องอยู่ที่ประตูใหญ่ที่เต็มไปด้วยผ้าสีขาวของจวนหย่งชังปั๋วกลับมา พลางยิ้มแต่ไม่พูดจาใดๆ
ตั้งแต่คุณหนูไปที่จวนหย่งชังปั๋ว เขาก็เฝ้าดูอยู่ที่นี่ทุกวัน เขาตามเข้าไปด้านในด้วยไม่ได้ แต่อย่างน้อยหากคุณหนูประสบปัญหาอะไร เขาก็สามารถรับรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อได้ฟังเรื่องราวของอาเฟยเสร็จ เหล่าฉินก็ทำการส่งต่อข่าวนี้ให้กับอาหมานอย่างรวดเร็ว
อาหมานฟังจบไม่กล้าเสียเวลาใดๆ พลันวิ่งไปยังเรือนไห่ถังอย่างรีบร้อน “คุณหนูเจ้าคะ เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อกลับเข้าจวนมาได้ไม่นาน ตามธรรมเนียมแล้วจะต้องชำระล้างความเฮงซวยออกก่อนถึงจะไปน้อมเคารพต่อผู้อาวุโสได้ นางกลับถึงเรือนไห่ถังเพิ่งจะได้นั่งพักหายใจจากความยุ่งวุ่นวาย
“เรื่องอะไรรึ” อาหมานร้อนลนจนสีหน้ากลายเป็นสีขาว พลอยทำให้เจียงซื่อใจเต้นไปด้วย
“คุณชายอวี๋เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
เจียงซื่อบีบแก้วน้ำชาในมือแน่นพร้อมกับเอ่ยถาม “เขาเป็นอะไรหรือ”
“คุณชายอวี๋หมดสติไปเจ้าค่ะ อาเฟยให้เหล่าฉินมาส่งข่าวกับคุณหนูเจ้าค่ะ”
พอเจียงซื่อคลายมือออก แก้วน้ำชาบนโต๊ะน้ำชาก็หมุน
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เจียงซื่อลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างรีบร้อน “อาเฟยล่ะ”
“รออยู่ด้านนอกจวนเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อยิ่งเดินยิ่งเร็ว ราวกับมีลมติดอยู่ใต้ฝ่าเท้า
อยู่ดีๆ เหตุใดเขาถึงเป็นลมหมดสติไป เป็นเพราะไม่สบายหรือมีเหตุผลอื่น แล้วอาเฟยรู้เรื่องได้อย่างไร
คำถามยาวเป็นหางว่าวทำให้เจียงซื่อแทบจะเริ่มวิ่งเหยาะ นางแทบอยากพบหน้าอาเฟยแล้วถามให้กระจ่างในทันทีทันใด
อาหมานที่วิ่งตามอยู่ด้านหลังแอบส่ายหัว
ที่แท้คุณหนูเป็นห่วงคุณชายอวี๋ถึงเพียงนี้เชียวรึ แล้วเวลาพบหน้ากันทุกครั้ง เหตุใดถึงต้องเย็นชาใส่ด้วยเล่า
เฮ้อ พลันรู้สึกว่าความคิดของคุณหนูเข้าใจยากยิ่งกว่าคดีฆาตกรรรมเหล่านั้นเสียอีก ไม่คิดแล้ว ต่อไปนี้หากนางมองคุณชายอวี๋เป็นเขยตระกูลเจียงคงไม่ผิดไปแน่
ตรงมุมหนึ่งบริเวณด้านนอกจวน ตอนที่อาเฟยกำลังรออย่างเบื่อหน่าย เขาพลันเห็นเงาร่างของคนคุ้นเคยจึงรีบโบกมือให้ เจียงซื่อเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหา จากนั้นเอ่ยถามออกไปโดยฝืนว่าใจเย็น “เกิดสิ่งใดขึ้นรึ”
“ข้าน้อยก็ไม่ทราบขอรับ พอเปิดประตูก็พบว่าคนนั้นล้มอยู่ที่ประตู พอข้าเห็นว่าเป็นคนที่คุณหนูรู้จัก จึงรีบมาบอกแก่คุณหนูเลยขอรับ”
“แล้วเขาล่ะ”
“อยู่ในเรือนเช่าขอรับ”
เจียงซื่อไปที่เรือนเช่าอย่างรวดเร็วพร้อมด้วยสีหน้าตึงเครียด ใจของนางว้าวุ่นตลอดทาง
อวี้ชีเป็นคนที่มีสถานะไม่เหมือนคนทั่วไป ปกติก็มีองครักษ์คอยคุ้มกัน แล้วเหตุใดถึงได้หมดสติลงตรงนั้นได้ ใกล้ถึงเวลาที่อวี้จิ่นจะได้แต่งตั้งให้เป็นอ๋องแล้ว เจียงซื่ออดคิดมากไม่ได้
พวกคนในราชวงศ์ที่ดูจากภายนอกเป็นคนสูงส่งดูดีสง่าสามารถชั่วร้ายได้ถึงเพียงใด เมื่อชาติที่แล้วนางมีประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมาก
เรือนที่เช่าไว้อยู่ห่างจากตงผิงปั๋วไม่ไกล เจียงซื่อเดินเร็วตลอดทางทำให้ไปถึงที่นั่นได้อย่างรวดเร็ว
“เหตุใดประตูถึงไม่ได้ลงกลอนไว้” เมื่อเห็นว่าประตูเรือนปิดไว้แบบหลอกตา เจียงซื่อมองอาเฟยหนึ่งที
อาเฟยเงยหน้ามองฟ้า… ชัดเจนขนาดนี้แล้วคุณหนูยังถามอยู่อีก ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ให้ความสนใจไงเล่า เขานึกว่าคนนี้ไม่สำคัญกับคุณหนู แต่ใครจะคิดว่าคุณหนูจะว้าวุ่นได้ถึงเพียงนี้! อาเฟยรู้สึกน้อยอกน้อยใจมาก
พอเจียงซื่อเดินเข้าไป ก็เห็นอวี้จิ่นฟุบอยู่ที่โต๊ะหินตรงใต้ต้นไม้อย่างไร้เสียงทันที
“ก็ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ข้าเลยไม่ได้พาเข้าไปในเรือน…” อาเฟยอธิบายออกไปอย่างทำตัวไม่ถูก
โชคดีที่ไม่ได้พาไปไว้หน้าประตูเรือนผู้อื่น หากทำเช่นนั้นลงไป เขาไม่สามารถอธิบายได้จริงๆ
ศีรษะของอวี้จิ่นพาดกับแขนข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ พลางกระตุกคิ้วเบาๆ
อาซื่อมาถึงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
“เป็นอย่างไรบ้าง” เจียงซื่อเดินมาถึงข้างๆ อวี้จิ่นพลางเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบา
อวี้จิ่นใช้แรงทั้งหมดที่มียกหัวขึ้นมองเจียงซื่อหนึ่งที
เมื่อเห็นสีหน้าที่คล้ำดำของฝ่ายตรงข้าม เจียงซื่อพลันตกใจสะดุ้งไปทีหนึ่ง จึงเอ่ยถามต่อทันที “เจ้าถูกพิษ?”
อวี้จิ่นยกมือขวาขึ้นอย่างลำบากพร้อมกับเอ่ยตอบอย่างอ่อนแรง “เหมือนว่า…ใช่”
เจียงซื่อเห็นรอยแผลที่ไม่ลึกมากตรงแขนของฝ่ายตรงข้าม คราบเลือดสีดำบริเวณแขนแข็งตัวแล้ว และส่งกลิ่นคาวจางๆ ออกมา
นางยื่นมือไปกดตรงรอบๆ บาดแผล
“อย่า…” อวี้จิ่นกล่าวออกมาคำหนึ่งอย่างยากลำบาก แล้วส่งยิ้มให้กับเจียงซื่อ “มันไม่น่าดู”
อาเฟยนั่งลงตรงมุมกำแพงอย่างเงียบๆ
แม้ในเวลานี้ รอยยิ้มของอวี้จิ่นยังคงเหมือนดั่งพระจันทร์สุกสกาว แต่มันกลับทิ่มแทงเข้าที่หัวใจของเจียงซื่อจนรู้สึกเจ็บ
เจียงซื่อจ้องเขม้นอวี้จิ่นหนึ่งทีอย่างเย็นชา “หยุดพูดเถอะ!”
ถึงเวลานี้แล้ว เขายังบอกนางว่ามันไม่น่าดูอีก?
เป็นบุรุษแท้ๆ คิดว่านางชอบเพราะรูปหน้าหรืออย่างไร
เจียงซื่อไม่เสียเวลาถามที่มาของบาดแผลของอวี้จิ่น พลันยกมือขึ้นแล้วทาบลงที่หน้าผากเพื่อดูอุณหภูมิร่างกาย จากนั้นทำการเปิดหนังตาตรวจดูดวงตา นางกัดริมฝีปากพร้อมกับหยิบสิ่งของสิ่งหนึ่งออกจากเหอเปา
เป็นกล่องหยกขนาดเท่าเม็ดซิ่งเหริน[1]ด้านบนมีรูเล็กๆ เป็นที่ระบายอากาศ
เจียงซื่อเปิดกล่องอย่างระมัดระวัง จากนั้นหยิบหนอนตัวอ้วนหนึ่งตัวออกมาด้วยสองนิ้ว
อวี้จิ่นถึงกับตาหดพร้อมกับเอ่ยออกไปอย่างมีกำลัง “นี่คือสิ่งใด”
“หนอนอย่างไรเล่า” คุณหนูเจียงตอบกลับอย่างหนักแน่น
—————————–
[1] ซิ่งเหริน อัลมอนด์