ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 198 ชุนกุย
จู่ๆ ก็ถูกตาแก่ที่พ่วงด้วยตำแหน่งโอรสแห่งสวรรค์สั่งสอนโดยไร้เหตุผล อารมณ์ของเหล่าบรรดาองค์ชายจึงไม่ดีเท่าไหร่ ตอนเดินออกจากพระราชวังต่างก็เดินออกไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
อารมณ์ขององค์ชายห้านั้นแย่กว่าใคร
เขาไม่ได้ทำอะไรแต่กลับถูกจำกัดบริเวณสามเดือน และยังถูกหักเงินเดือนหนึ่งปี ที่สำคัญ ในพระทัยของเสด็จพ่อ ตนยังกลายเป็นผู้ต้องสงสัยที่ทำร้ายพี่น้อง นี่มันเป็นความซวยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจริงๆ
ในบรรดาองค์ชายทุกคนอวี้จิ่นคือคนที่นิ่งที่สุด
พอชำเลืองมองแล้วเห็นสีหน้าและอาการสบายใจของเขา องค์ชายห้ารู้สึกโกรธมากจึงก้าวฉับๆ เข้าไปใกล้ “หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
อวี้จิ่นมององค์ชายห้าหนึ่งทีพร้อมกับขยับปากขึ้นยิ้มให้ “ให้ความเคารพกับพี่น้องและมิตรสหาย”
องค์ชายห้ากลั้นความโกรธเอาไว้ จะกลืนลงไปก็ไม่เต็มใจ จะระบายออกมาก็ไม่กล้า
เพิ่งออกมาจากพระราชวัง หากว่าเขาทะเลาะกับเจ่เจ็ด เสด็จพ่อคงจะถลกหนังเขาออกเป็นแน่
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ในที่สุด องค์ชายห้าก็ทำได้เพียงทิ้งคำพูดนักเลง สะบัดชายเสื้อแล้วเดินจากไป
อวี้จิ่นยกมือขึ้นกดบาดแผลตรงแขน ตรงบาดแผลถูกพันไว้ด้วยผ้าสีขาว เป็นผ้าของเจียงซื่อ
เมื่อนึกถึงคำพูดเย็นชาของเจียงซื่อ อวี้จิ่นพลันรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาตรงบาดแผล
“น้องเจ็ด” เสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้น
อวี้จิ่นปฏิบัติกับคนอื่นอย่างเย็นชา “พี่สี่มีเรื่องอะไรหรือ”
องค์ชายสี่อัดอั้นจนเกือบขาดอากาศหายใจตาย หลังปรับอารมณ์เสร็จก็ยิ้มให้ “ด้านนอกไม่ปลอดภัย ไปพักที่เรือนข้าสักพักเถอะ วันนี้ พอได้ยินว่าเจ้าถูกลอบฆ่า ข้ากับพี่สะใภ้เจ้าเป็นห่วงเจ้ามาก…”
อวี้จิ่นยิ้มแต่ไม่พูด
เขาเพียงจะรอฟังว่าฝ่ายตรงข้ามจะแต่งเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร
องค์ชายสี่ไอเบาๆ หนึ่งที แล้วตบที่ไหล่ของอวี้จิ่น “ไปเถอะ”
อวี้จิ่นยกมือขององค์ชายสี่ออก “ไม่ดีกว่าขอรับ ข้าคุ้นเคยกับการอยู่คนเดียว”
สำหรับเขาแล้ว นอกจากอาซื่อแล้วนอกนั้นคือคนนอก เขาเป็นคนไม่ชอบอยู่กับคนนอก
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นเดินไปไกลแล้ว องค์ชายแปดที่มีความสัมพันธ์นับว่าพอใช้ได้ขยับเข้ามาใกล้องค์ชายสี่ แล้วเอ่ยด้วยคำพูดที่นำมาซึ่งความแตกแยก “พี่สี่ พี่นับเขาเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่เขากลับไม่คิดเช่นนั้นเลยนะขอรับ”
สายตาขององค์ชายสี่ยังคงจับจ้องอยู่กับแผ่นหลังตรงที่เดินออกไปไกล เขายิ้ม “น้องเจ็ดเติบโตอยู่ด้านนอกพระราชวังตั้งแต่เด็ก เขาไม่เหมือนกับพวกเราอยู่แล้ว ยังไงข้าก็หวังว่าพี่ๆ น้องๆ ทุกคนจะเข้าใจ”
“พี่สี่ช่างเป็นคนดีเสียจริง” องค์ชายแปดเบ้ปาก
องค์ชายสี่ไม่กล่าวสิ่งใดอีก แต่ภายในใจกลับยิ้มเย็นชา
จะเป็นคนดีหรือไม่ไม่สำคัญ เอาเป็นว่าการพูดสิ่งดีๆ ไม่เอา เจ้าเจ็ดยิ่งไร้เหตุผลมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งดูเป็นคนมีคุณธรรมมากเท่านั้น และสิ่งที่เสด็จพ่อต้องการเห็นมากที่สุดก็คือการให้ความเคารพกับพี่น้องและมิตรสหายมิใช่หรือ
……
อวี้จิ่นกลับมาถึงที่พักในตรอกซอยเชวี่ยจื่ออีกครั้ง พอกลับมาถึงก็ล้มตัวลงที่เตียงและมองขึ้นไปบนมุ้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ
หลงต้านแอบชะโงกหัวมาดู พร้อมกับพูดกับเหลิงอิ่งอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย “เจ้านายยังมีพิษตกค้างใช่หรือไม่ ข้าดูแล้วรู้สึกแปลกๆ”
“อืม”
หลงต้านกลอกตาขาว “ช่วยพูดภาษาคนหน่อยได้หรือไม่”
ให้มาพูดกับเหลิงอิ่งที่เป็นเหมือนกระบอกไม้ไผ่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา มิสู้ไปคุยกับเอ้อร์หนิวยังจะดีเสียกว่า
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าแปลกจริง” ไม่ง่ายเลยที่เหลิงอิ่งจะพูดออกมาหลายคำ
“หรือเจ้าเข้าไปปลอบดูหน่อย” หลงต้านคะยั้นคะยอเพื่อน
เหลิงอิ่งส่ายหัว เขาแค่เป็นคนพูดน้อย แต่ไม่ได้โง่ เวลานี้ถ้าเข้าไปปลอบก็เหมือนวิ่งเข้าหาความตาย
หลงต้านครุ่นคิดไปมา จึงกวักมือให้กับเอ้อร์หนิวที่ฟุบอยู่ตรงกำแพง “เอ้อร์หนิว ไปดูสิว่าเจ้านายเป็นอะไร ไปทำให้เจ้านายดีใจหน่อย ไว้ข้าจะทำเนื้อวัวตุ๋นให้กิน”
เอ้อร์หนิวมองหลงต้านอย่างเหยียดหยาม จากนั้นก็มุดเข้าไปในห้อง
ภายในห้องเงียบสงัด เอ้อร์หนิวมาถึงข้างเตียง ถีบขาหลังหนึ่งทีและกระโดดขึ้นไปนั่งลงข้างๆ อวี้จิ่น
อวี้จิ่นหันมองเอ้อร์หนิวครู่หนึ่งแล้วยิ้มออกมา จากนั้นลูบคลำขนที่หลังของมันพลางกล่าว “ต่อไป…เจ้าจะกระโดดขึ้นเตียงขาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้แล้วนะ เข้าใจไหม”
เอ้อร์หนิวเอียงหัวมองเจ้านาย “โฮ่ง!”
“ลงไปเร็ว ขนร่วงเต็มไปหมดแล้ว” อวี้จิ่นพูดด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
เอ้อร์หนิวไม่เคยกลัวใบหน้าที่นิ่งเรียบของอวี้จิ่น มันกัดชายเสื้อแล้วดึงลงใต้เตียง
“เอ้อร์หนิววว…” อวี้จิ่นเตือนด้วยการลากเสียงยาว
ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มาเล่นกับเอ้อร์หนิวจริงๆ
เอ้อร์หนิวยังคงดึงเขาให้ลงไป
อวี้จิ่นจึงลุกขึ้นด้วยสีหน้านิ่งและยอมให้เอ้อร์หนิวลากเขาไปถึงสวน
ใกล้จะเที่ยงวันแล้ว ใบไม้บนต้นเหอฮวนกลางสวนมีแสงสีขาวส่องแสงสว่างไสว สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของใบไม้ส่งเสียงชวนให้น่ากลุ้มใจ
เอ้อร์หนิววิ่งไปตรงมุมหนึ่งจากนั้นเริ่มขุด เวลาผ่านไปไม่นาน มันก็ขุดสิ่งของสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคาบเอาไว้และนำมายัดที่มือของอวี้จิ่น
นั่นคือลูกกลมๆ ที่ทำขึ้นจากหวาย แม้ว่ามันถูกฝังในดินจนดูเก่าไปบ้าง แต่ยังคงความประณีตงดงามเอาไว้
อวี้จิ่นจำได้แล้ว นี่คือลูกหวายสานที่เอ้อร์หนิวเห็นเด็กหลายคนเตะเล่นเมื่อตอนที่เพิ่งมาถึงเมืองหลวง มันเกือบสร้างเรื่องแย่งลูกนี้กลางถนน เขาจึงสั่งให้หลงต้านไปซื้อมาให้มันหนึ่งอัน
เอ้อร์หนิวชอบนำของรักฝังไว้ในหลุม แล้วลูกหวายสานก็เป็นสิ่งของหนึ่งในนั้น
อวี้จิ่นมองดูลูกหวายสานในมือ หัวใจที่เย็นเยือกก็อบอุ่นขึ้นมา
สาวน้อยใจร้ายนั่น หากทำให้เขาเสียใจอีก เขาอยู่กับเอ้อร์หนิวแทนก็แล้วกัน
เอ้อร์หนิวมองเจ้านายหนึ่งที
ไม่รู้ว่าเจ้านายคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอะไรอีก หากว่าเก่งจริงก็รีบๆ พานายหญิงกลับมาสักที มันจะได้หายห่วง เอ้อร์หนิวมองไปที่ประตูเรือน สมองที่คิดอะไรง่ายกว่าสมองมนุษย์พลันมีเหตุการณ์น่ากลัวบางอย่างแล่นผ่านไป
หลังจากที่เจียงซื่อเดินออกมาจากบ้านเช่านางไม่ได้กลับจวนตงผิงปั๋ว แต่นางไปที่สวนป่าแห่งหนึ่งบนภูเขา
วันนี้คือวันครีษมายัน เป็นวันที่นางเฝ้ารอมานาน นางเลือกที่จะออกจากหย่งชังปั๋ววันนี้ ซึ่งก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย วันครีษมายัน พลังหยินเพิ่ม พลังหยางลด วันนี้เป็นวันที่พลังหยินหยางอยู่ในจุดสมดุล มีความละเอียดอ่อน เป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตประหลาดบางอย่าง
นางจะเลี้ยงหนอนพิษกู่ชนิดหนึ่ง ร่างแม่ของหนอนพิษกู่จะเกาะอยู่บนต้นไม้ที่มีชื่อเรียกว่า ‘ไท่ผิง’ ตอนเกิดใหม่ มันจะนอนอยู่ที่โคนของต้นไม้ แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นไปบนยอดที่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุดในวันครีษมายัน หลังจากวันครีษมายันผ่านไป หากว่าไม่มีใครหยิบร่างแม่ของหนอนพิษกู่ที่เกาะติดเหมือนเป็นเนื้องอกบนต้นไม้ ร่างแม่ก็จะแตกออก และทุกอย่างจะกลับคืนสู่ฝุ่นธุลีอีกครั้ง
เจียงซื่อไม่อยากพลาดวันนี้แล้วรอใหม่ปีหน้า ต่อจากนี้ไปนางมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย การมีหนอนพิษกู่ชนิดหนึ่งอยู่ในมือ ก็ถือว่ามีวิธีมากขึ้นอีกหนึ่งวิธี
เจียงซื่อนั่งอยู่บนยอดไม้สูง นางหยิบร่างแม่หนอนพิษกู่มาไว้ในมืออย่างไม่ลังเล
หนอนพิษกู่ชนิดนี้มีชื่อไพเราะมากว่า ‘ชุนกุย’ สามารถเก็บมันเอาไว้ภายในมือด้วยวิธีพิเศษเหมือนหิ่งห้อยมายา และหล่อเลี้ยงมันด้วยเลือดเนื้อ
เมื่อชาติก่อนนางเคยเลี้ยงหิ่งห้อยมายา แต่ไม่เคยเลี้ยงหนอนพิษกู่
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจียงซื่อหัวเราะเยาะตนเอง ตอนนั้นนางคิดว่าไม่ถึงขั้นต้องใช้พิษกู่นี้ และดูถูกความสามารถของมัน พอคิดดูแล้ว นางช่างโง่เขลาเสียจริง
บนโลกนี้ไม่มีความสามารถใดที่ไร้ประโยชน์ มีแต่คนที่ไร้ประโยชน์
พิษกู่นี้ใช้ชีวิตอยู่ตรงฝ่ามือของเจ้านาย ตัวมันเล็กเท่ากับเหรียญเงินทองแดง แต่ความจริงมันมีจำนวนที่ไม่อาจประมาณได้ พวกมันสามารถเข้าไปอยู่ในร่างกายศพได้เหมือนกับฝุ่น ขยับศพให้มีการเคลื่อนไหวได้ตามเจตจำนงของเจ้านาย คนที่ไม่รู้จะคิดว่าผู้ตายฟื้นคืนชีพหรือแกล้งเป็นศพ มันจึงได้ชื่อว่า ‘ชุนกุย’
การได้ชุนกุยมาอย่างราบรื่น ทำให้เจียงซื่อวางใจลงได้อีกหนึ่งเรื่อง นางกระโดดลงจากต้นไม้เบาๆ ฝ่าเท้ากระทบกับพื้นที่มีหญ้าขึ้นหนาแน่นแต่แทบไม่มีเสียงดัง
นางขยับไปมาเพื่อทรงตัวจากนั้นยกมือขึ้นจัดผมเผ้าที่หลุดออกมา แต่แล้วการกระทำก็หยุดชะงัก
บริเวณไม่ไกลมีชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกำลังมองหญิงสาวที่ตกลงมาจากฟ้าด้วยสีหน้าตะลึงงัน